จิตหลง

2022-08-13 10:10:49 - mindcyber

     ท่านหลื่อโจ้วกล่าวว่า “ชาวโลกนับมหากัปป์เป็นต้นมา จิตแท้หลงลืมจนไม่คืนกลับ หวังเพียงทรัพย์หล่อเลี้ยงกายเนื้อ หารู้ไม่ว่ากายเนื้อนี้เป็นของปลอม ในที่สุดก็จะเน่าสลาย หากเป็นมหาธรรมโอสถทอง ชีวิตอมตะไม่ดับ ไม่มีการเกิดไม่มีการตาย อันว่าโอสถทองนั้น ไม่ใช่เหมือนพวกนอกรีดที่เล่นแร่แปรธาตุหลอกลวงประชาชนทำให้บ้านแตกแยกสลายไม่มีทางสำเร็จแล้วยังเป็นอันตรายอีกด้วย        

        เทพเซียนที่บำเพ็ญโอสถนั้นที่แท้ก็คือการบำเพ็ญใจ ทุก ๆ คนล้วนมีโอสถทองเสียดายที่ตนเองไม่ยอมฝึกฝน จึงไหลไปตามกัปสู่การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีวันได้หลุดพ้นชั่วนิรันดร์”          

กลอนว่า “นับกัปเกิดนับพันจึงได้เป็นคน

           ควรรู้ตนปลูกเหตุชาติปางก่อน

           ชาตินี้ไม่ฉุดช่วยคอยผัดผ่อน

           เมื่อไรหนอจะแน่นอนช่วยกายนี้”


        ฟ้าดินดุจชายหญิงเกี่ยวพันกัน สว่างมืดสลับกัน หนึ่งปีที่เกี่ยวเนื่องไม่เสียวิถีทาง ปีแล้วปีเล่า ตะวันจันทราเหมือนวิญญาณกับสังขารที่เกิดกันมา ความสุดยอดที่มีมา หนึ่งเดือนที่เกี่ยวเนื่องไม่เสียวิถีทางเดือนแล้วเดือนเล่า มนุษย์ที่เกี่ยวเนื่องอยู่ที่กลางวันหนึ่งคืนน่าเสียดายที่มนุษย์ไม่รู้เวลาที่เกี่ยวเนื่อง อีกทั้งไม่มีวิธีเก็บเกี่ยว สูญเสียก็ไม่แก้ไขชดเชยเวลาที่เหมาะก็ไม่เก็บเกี่ยว เวลามืดก็ไม่แก้ให้สว่าง เวลาสว่างก็ไม่แก้ให้มืด กลางเดือนไม่รู้จักเสียหรือได้ กลางวันก็ไม่ถือปฏิบัติ ผ่านไปหนี่งปีก็หายไปหนึ่งปี ผ่านไปหนึ่งวันก็หายไปสองวัน ก็ไม่ได้ถือปฏิบัติทั้งยอมให้เจ็บป่วย เสียเวลาไปเปล่า ๆได้แต่นั่งรอตาย     

   

        พระอาจารย์เนยแซกล่าวว่า “เกิดเป็นคนยาก เมื่อเกิดเป็นคนแล้วก็ยังไม่รู้จักปฏิบัติบำเพ็ญเรื่องสำคัญมาก จะไม่น่าเวทนาน่าเสียดายหรือ ควรรู้ว่า ถ้าสูญเสียความเป็นคนแล้วนับหมื่นกัปจะได้เกิดเป็นคนอีก” กล่าวอีกว่า “ตามที่บรรพจารย์ว่า แต่ละคนก็มีปราณแห่งฟ้าปางก่อน (สรรพสัตว์ล้วนมีพุทธจิต) ปราณหนึ่งแห่งฟ้าปางก่อนนี้ สูญหายไปได้ง่ายคนทั่วไปไม่รู้จักหลักธรรมปฏิบัติ จึงมักจะไหลออกไปสู่ภายนอก ไหลออกไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปราณแห่งฟ้าปางก่อนนี้จึงกลายเป็นธุลีดิน ชีวิตคนเหมือนโคม้าวิ่ง ดู ๆเหมือนคนเแต่ที่แท้ก็เป็นศพเดินได้ ที่แท้ถูกอายตนะภายนอกดึงไป มืดมัวหลงใหล คนพวกนี้น่าสงสารที่สุด”   

     

        เนี้ยเจ็กเอี้ยงกล่าวว่า “ระหว่างฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดคือธรรมะ สิ่งที่รู้สึกไวมากที่สุดคือคน สิ่งที่เร็วที่สุดคือเวลา สิ่งจำเป็นที่สุดคือบำเพ็ญจริง เวลารอใคร เวลา 10 ปี เหมือนชั่วประเดี๋ยว เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ตอนนั้นรู้สึกเสียใจก็ไม่ทัน ก็เพียงแต่รอความตาย ใครรู้จักบ้างการบำเพ็ญคือตำรับยาที่ไม่ตาย ผู้ที่รู้แจ้ง มีตำรับวิเศษที่มีวิธีต่อชะตาสรรพสิ่งเหมือนพวกต้นหญ้าต้นไม้ที่สามารถคืนกลับสู่รากฐานแล้วก็ฟื้นคืนชีวิตสืบทอดมายาวนาน คนนับเป็นนสิ่งที่รู้สึกไวที่สุด เคลื่อนที่ได้พอตายแล้วก็ยังสู้พวกต้นหญ้าต้นไม้ไม่ได้ จะไม่ละอายหรือถึงแม้จะมีความรู้สึกไวมากที่สุด แท้ที่จริงกลับโง่ที่สุด น่าเสียดายไหม”  

        

        ตั้งเกี่ยวเฮี้ยกล่าวว่า “โลกปัจจุบันนี้เพราะใจคนหลงลืม ไม่เข้าใจถึงต้นตอการเกิดการตาย หมกมุ่นอยุ่ในกิเลสชื่อเสียงผลประโยชน์หลงผิดเสียเวลาไปชั่วชีวิต จนกระทั่งอ่อนแอแล้วก็ป่วย สิ้นลมก็ตาย แล้วก็เปลี่ยนกายไปสัตว์อื่น ก่อวิญญาณในเปลือกอื่น ทั้งยังไม่สามารถตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง น่าเวทนายิ่งนัก”          

        กอเกี้ยซิ่งชื่อกล่าวว่า “ท่ามกลางเรือชีวิตของพวกเรา ควรต้องพิจารณาถึงเป้าหมายของชีวิต ควรฝึกฝนมโนวิญญาณของคนไม่ขาดทำให้มันจุดประกายดุจประทีปที่สว่าง ให้เป็นเรือนำร่องของเส้นทางชีวิตจะได้ไม่หลงทิศทาง สูญเสียความหมายอันแท้จริงของชีวิต มีควนจำนวนมากถูกคววามอยากในวัตถุชี้นำจึงต้องทนทุกข์อยู่กับการเกิดแก่เจ็บตายจึงหลงลืมความเป็นคนในชาตินี้ไปว่า ต้องการมาบำเพ็ญธรรม จึงใช้ชีวิตที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ จึงล่วงสู่ในอ่างของเวียนว่ายตายเกิด”  

        

        ยังกล่าวต่อว่า “มนุษย์ต้องบำเพ็ญบารมีไม่ให้ขาด ทำให้ตนเองเข้ากับมหาธรรมชาติหวนคืนสู่ธรรมชาติ ทำไมจึงต้องบำเพ็ญเล่า เพราะว่าสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะคนแล้วล้วนเป็นผู้ถือคุมพลังสร้างสรรสิ่งของซึ่งยังไม่ได้เพิ่มการสำแดงออก ได้แต่เพียงหมุนเวียนเกิดดับอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ค้นไม่พบถึงชีวิตนิรันดร์ของจักรวาล”          

        ซีแซ่ง้อกล่าวว่า “ผู้ยังไม่เข้าถึง ด้วยใจยังฟุ้งซ่าน ทำไมจึงฟุ้งซ่านด้วยสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่รู้ตั้งต้นแต่แมื่อไรมา หลงลืมใจแท้จึงไม่ตรัสรู้ ดังนั้นจึงหมุนเวียนบ้าคลั่งเข้ามาสนุก”    

      

        กิ้วซิวเพียงกล่าวว่า “พุทธจิตไม่แตกต่างกัน ปุถุชนไม่เห็นจิตเดิมจึงหลงแบ่งแยก ทุก ๆ คนมีพร้อมมูล ต่างก็กลมสมบูรณ์ ที่จริงคือพุทธะไม่ต่างไปจากพุทธะ เพียงแต่เมาหลงกับตรัสรู้ต่างกัน ดังนั้นจึงมีโง่กับปัญญา เมาหลงคือพุทธะเป็นเวไนย์สัตว์เมื่อตรัสรู้เวไนย์สัตว์เป็นพุทธะ พุทธะคือใจทำขึ้น คนเมาหลงก็ค้นหาจากหนังสือ คนตรัสรู้ก็ตรัสรู้จากใจ คนเมาหลงบำเพ็ญสร้างเหตุรอผล คนตรัสรู้ใจสิ้นสุดไร้รูปลักษณ์ คนเมาหลงยึดถือวัตถุรักษาตัวว่าเป็นของตน คนตรัสรู้ใช้ปัญญาเห็นข้างหน้า คนเมาหลงยึดความว่างคือความมีอยู่เกิดเยื่อใย เมาหลงกับตรัสนรู้ ต่างกันที่ตรงนี้        

        ท่านจอหงวนหล้อกล่าวว่า “ไม่มียายืดตำแหน่งสังขารอายุ มีเงินซื้อให้บุตรหลานฉลาดไม่ได้ ผ่านไปวันแล้วก็วันเล่า วันหนึ่งว่างสบายก็เป็นเซียนวันหนึ่ง ดิ้นรนตรากตรำแสวงหา ร้อน ๆ หนาว ๆ ผ่านขวบปีเช้าค่ำวางแผนหาเงิน สลัว ๆ มัว ๆ ผมหงอกขาว ถูก ๆ ผิดๆ จะจบลงวันไหน วุ่น ๆ วาย ๆ หยุดพักเมื่อไร สว่าง ๆสะอาดทางสายหนึ่ง อย่างไรเสียก็ยังไม่ยอมบำเพ็ญ เป็นคนไม่หวนกลับไม่ได้ ชื่อเสียงเงินทองวีรชนมีวันหยุดลง ร้อยอารมณ์ร้อยเคียดแค้น เกียรติยศส่วนหนึ่งก็ทุกข์ส่วนหนึ่ง อาคารสูงโลกโลกีย์แผนการณ์ร้อยปี เนินดินชายป่ากระดูกขาวโพน พบหน้าเจาะเจอควรถามไถ่ เพื่อใครไม่สิ้นสุด ทุกข์เพื่อใคร”  

        

        เล็กเพ้งจั้วกล่าวว่า “ต้องแต่มีคนเกิด ก็มีแผนการณ์ชีวิต หนึ่งปีถึงยี่สิบปีแผนการณ์เพื่อเจริญวัย ยี่สิบปีถึงสามสิบปีแผนการณ์สร้างครอบครัว สามสิบถึงสี่สิบปีแผนการณ์เพื่อลูกหลาน ห้าสิบถึงหกสิบปีแผนการณ์ยามชรา หกสิบถึงเจ็ดสิบปีแผนการณ์เพื่อตาย ท่ามกลางการทำมาหาเลี้ยงชีพหรือหวนระลึกที่ผ่านมา หรือคาดการณ์อนาคตภายนอกก็ลำบากกายที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงาน ถือเป็นผู้วางแผนดี สรุปคือ ชีวิตเหน็ดเหนื่อย หากแผนการณ์ยังไม่เสร็จชีวิตสิ้นลงเสียก่อน คิดแล้วทำไมถึงสังขารอยู่ไม่ได้ สมมุติเป็นบิดาผู้ยิ่งใหญ่ ทุกวันทำงานบากบั่นไม่หยุด แสวงหาเก็บสะสมหลายทิศทาง ที่สุดแล้วก็ตายลง        

กลอนว่า “เตือนคนบำเพ็ญไม่ยอมบำเพ็ญ

           ทุกข์เข็ญลอยเท้งเต้งเพื่ออะไร

           ร่ำรวยร้อยปีดุจสายฟ้าไหล

           ลมหายใจหยุดลงหยุดทุกสิ่ง”

        ท่ายเว่ยหล่างว่า “โพธิญาณเป็นปัญญา ชาวโลกมีกันทุกคนด้วยใจหลงไม่สามารถตรัสรู้ ต้องอาศัยผู้มีมหาปัญญา ชี้นำให้เห็นจิตต้องรู้จักคนโง่ฉลาด พุทธจิตแท้ไม่แตกต่างกัน เพียงเมาหลงหรือตรัสรู้ที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงมีคนโง่และคนฉลาด

More Posts