หนังสือเทวราชโองการ ครอบคลุมคำสอนของพุทธศาสนา

2024-05-04 07:34:43 - mindcyber

คัมภีร์พระศูรางคมธารณีสูตร มีคำกล่าวว่า “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อย่าว่ากรรมไม่ตามสนอง เพียงขึ้นอยู่กาลเวลาของกรรมเท่านั้น”

บทรัตนคันฉาย บันทึกไว้ว่า

สวรรค์เลิศล้ำอย่าโกหก ใจไม่ทันคิดจิตสูรู้

กรรมดีกรรมชั่วตามสนอง ช้าเร็วขึ้นอยู่กรรมกำหนด

หนังสือบันทึกกฎแห่งกรรม มีคำกล่าวว่า “ถ้าเราอยากทราบว่าชาติก่อนเราเคยสร้างกรรมอันใด ให้ดูชาตินี้ตัวเราได้รับผลบุญผลกรรมเช่นไรก็จะรู้ ถ้าอยากทราบชาติหน้าเราต้องไปเกิดเป็นอะไร ให้ดูความประพฤติของชาตินี้ย่อมเข้าใจ เวลาแม้ผ่านไปพันหมื่นกัป แต่บุญกรรมตามสนองยังติดตามตัวเราอยู่เสมอ ทุกสิ่งขึ้นกับวาสนาและโอกาส ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เมื่อมีโอกาสสร้างกุศลกรรมจงอย่าละเลยบุญกรรมตามสนอง ย่อมไม่คาดเคลื่อน”

คัมภีร์นิพพานสูตร มีคำกล่าวว่า “กรรมตามสนองมี 3 ชนิด คือ

1. กรรมปัจจุบัน ก็คือในชาตินี้เราสร้างกรรมอันใดไม่ว่าบุญหรือบาป ก็จะได้รับตอบสนองไม่ว่าสุขหรือทุกข์ให้เห็นในชาตินี้ (อย่างเช่น คุณเป็นคนขยันหมั่นเพียร วิริยะอุตสาหะ ประหยัดมัธยัสถ์ ทำมากใช้น้อย และเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถึงไม่สามารถเป็นเศรษฐี แต่ก็ไม่อับจน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น)

2. กรรมภพชาติ ก็คือ กุศลกรรมหรือวิบากกรรมของชาติก่อน จะมาปรากฏผลบุญหรือเคราะห์กรรมในชาตินี้หรือบาปกรรมที่ก่อขึ้นในชาตินี้จะตามสนองในภพหน้า

3. กรรมปัจจุบันทันด่วน ก็คือ ก่อกรรมเวลานี้ ก็เกิดกรรมสนองทันทีหรือในเวลาอันใกล้ (เช่นเราไปฆ่าคนตายไม่นานจะจำนนด้วยกฎหมาย หรือถูกศัตรูตามมาฆ่าล้างแค้นเป็นต้น) ทุกท่านควรทราบต่อมนุษย์ในใต้หล้า ฟ้าดินไม่ลำเอียง ชาติก่อนสร้างกรรมต่างกัน ชาตินี้ย่อมมีผลสนองที่ไม่เหมือนกัน

เถรจารย์ฮุ่ยหย่วน กล่าวว่า “ความฉลาดไม่สามารถเอาชนะบาปกรรม ความร่ำรวยหนีไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิด”

พระเถระส่งหยัน กล่าวว่า “ คนเรามีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก ฐานะต่ำต้อย โดดเดี่ยวเดียวดาย หรือโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าอยู่เสมอ หรือมักมีเคราะห์กรรมเภทภัยมาเยือนหรือเกิดมาร่างกายไม่สมประกอบ มือเท้าพิการหรือใบ้บอดหูหนวกเป็นต้น สาเหตุมาจากชาติที่แล้วก่อกรรมทำเข็ญ เสวยสุขเกินควร หรือมาจากชาตินี้ในช่วงวัยหนุ่มไม่ถนอมผลบุญ เมื่อเติบใหญ่ก็ใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย กระทำในสิ่งผิดต่อศีลธรรม ผิดต่อมโนธรรม ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ไร้ความสามารถ ต้องรับทุกข์นานาประการ นี่ก็คือกรรมปัจจุบัน บางท่านมีดวงชะตาที่ควรจะสมบูรณ์พูนสุขอายุยืนยาว แต่เขาเสวยสุขได้ไม่นานกลับกลายเป็นคนยากจนข้นแค้น โรคภัยรุมเร้า บางท่านอาจมีดวงชะตาที่ต้องรับทุกข์รับภัย แต่เขาหมั่นสร้างกุศล เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เขากลายเป็นคนที่มีชีวิตพูนสุข อายุยืนยาว การเปลี่ยนแปลง

เหล่านี้ ล้วนขึ้นกับความเมตตาของฟ้าดิน มิใช่วิสัยมนุษย์กำหนดได้ ฉะนั้น จิตของคนควรยึดมั่นคุณธรรม เพื่อสอดคล้องกับเมตตาธรรมของฟ้า

พระทีปังกรพุทธเจ้า กล่าวว่า “ให้ความเมตตาแก่ผู้อื่นถึงเป็นกุศลอันน้อยนิด ก็ควรส่งเสริมให้ปฏิบัติ เรื่องอกุศลถึงมีบาปแค่เสี้ยวเดียว ก็ควรแนะนำเขาอย่าพึงกระทำคนเราร่ำรวยมีจน ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา กินอยู่อย่างพอเพียงย่อมมีความสุข ไปหาหมอดูทำไม่ดีไปเสี่ยงทายดวงชะตาทำไม รังแกผู้อื่นก็คือเคราะห์ อภัยผู้อื่นย่อมได้บุญ สวรรค์มีตา กรรมสนองรวดเร็วนัก เมื่อฟังคำกล่าวของเราแล้วพึงสังวร อย่าทำลายตัวเอง ถ้ายังดื้อดึงหลงผิด มิยอมสำนึกสุดท้ายหนีไม่พ้นตก 6 วิถีสัตว์” บทสวดเทพจารย์ผู่อั้น กล่าวไว้ว่า

“เดรัจฉานแท้จริงเกิดมาจากมนุษย์ ตั้งแต่โบราณกาลมา มนุษย์ และเดรัจฉานผลัดเปลี่ยนเวียนว่ายตายเกิดมาจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ตัวเองหัวมีเขา ตัวคลุมด้วยขน ก็จงอย่าให้เกิดจิตเป็นเดรัจฉานเถิด”

พระเถระเจี๋ยซื่อ กล่าวไว้ว่า “นรกมีจริง” เหตุเพราะใจคนมีจิตมุ่งไปทางกุศล จิตจะสว่างสดใส สภาพจิตจะเบาลอยบริสุทธิ์ก็สามารถขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ถ้าจิตมุ่งไปทางอกุศลจิตจะโสโครกมืดมิด สภาพจิตมืดมัวหนักหน่วง ก็จะตกลงสู่นรก เราสังเกตได้ว่า เมื่อคนเราป่วยหนักใกล้ตาย มักจะเห็นคนที่ล่วงลับไปแล้ว หรือภูตผีปีศาจ หรือได้ยินเสียงโซ่ตรวน หรือเสียงกระทบของเหล็กสามง่าม เลยรีบสั่งลูกหลานญาติมิตรให้เผากระดาษเงินกระดาษทอง หรือบนบานศาลกล่าว ถึงเวลานั้นชีวิตใกล้ตายก็เสมือนเปลวเทียนอยู่ท่ามกลางพายุ เมื่อยมทูตมาถึงแล้วมนุษย์จะไม่มีที่หลบซ่อนวิญญาณถูกจับไปลงนรกภูมิ แม้จะก้มกราบขอร้องอย่างไรก็หนีไม่พ้นถูกผ่าท้องลากไส้ โยนเข้ากระทะทองแดงรับทุกข์เวียนว่ายไปเกิดในวิถีเดรัจฉาน ที่ต้องเป็นเช่นนี้ล้วนเกิดจากใจบาปของมนุษย์ทั้งสิ้น ถ้าคนเราไม่รีบสำนึก มาเกิดความกลัวช่วงยมทูตมาถึง ถึงจะก้มกราบวอนขอกอดขาพระก็ไม่เกิดประโยชน์”

พระเถระเจี๋ยซื่อยังกล่าวอีกว่า “ชาวโลกคนไหนถ้าถูกลิขิตว่าไม่มีบุตรสืบสกุล ถึงจะมีภรรยามากมายก็ไม่มีบุตรหรือถ้าเกิดตั้งครรภ์มีบุตรก็จะแท้งก่อนเกิด หรือไม่ก็ตายทั้งกลม หรือคลอดออกมาแล้วบุตรจะเสียชีวิตแต่เยาว์วัยสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากภูมิเดิมตื้นเขินบอบบาง กรรมเก่าตามรังควาน ทำให้ต้องไปเกิดในครรภ์อื่น ส่วนพ่อแม่ที่มีบุตรหลานอยู่กับเราจนตัวแก่เฒ่า ไม่ว่าจะเป็นลูกกตัญญูหรือลูกอัปรีย์ก็ตาม ล้วนอยู่ที่บุญวาสนาหรือกรรมเวรของปางก่อนผ่านการเปรียบเทียบชดเชย ใครสร้างกุศลมากก็สามารถบ่มเพาะรากฐานหนักแน่น จะบ่มเพาะรากฐานให้หนักแน่นก่อนอื่นต้องสำนึกผิดขมาบาป นี่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งควรจดจำเอาไว้”

พระบรมยมศาสดา (พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เจ้า)ตรัสว่า “ชาวโลกผู้ใดไม่สอนบุตรหลานเรียนหนังสือ(มีการศึกษา) ทำให้บุตรหลานกลายเป็นคนไร้คุณธรรมกระทำในสิ่งผิด แต่กลับไปอันเชิญพระสงฆ์องค์เจ้ามาสวดอภิธรรมขมาบาป เข้าใจว่าการไหว้พระไหว้เจ้าอธิษฐานขอพรก็คือกุศล แท้จริงแล้วนี่มิใช่กุศล คำว่ากุศลนั้น คือการปฏิบัติตามเหตุตามผล ถือธรรมะเป็นหลัก ปฏิบัติตามธรรมแห่งฟ้า ไม่เพียงแต่ตัวเองต้องครองอยู่ในศีลในธรรม ยังชี้แนะผู้อื่น ปฏิบัติตามศีลธรรม ถ้าปฏิบัติได้เช่นนี้ ฟ้าดินย่อมสนองท่านด้วยกุศลกรรม

เรามักได้เห็นผู้ที่ตัวเองไม่สร้างกุศลกรรม มักเข้าใจว่าการสร้างกุศลกรรมเป็นสิ่งลำบากคดเคี้ยว ถอยออกห่างจากการกุศล ใช้ท่าทีไม่กุศล (ไม่กตัญญูกตเวที) ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด เมื่อบุพการีเสียชีวิต ก็ว่าต้องตกนรกหาว่านอกจากพระภิกษุ หรือนักพรตแล้ว ใครก็ไม่สามารถช่วยพ่อแม่ไปผุดไปเกิด ด้วยเหตุนี้ จึงมีภิกษุนักพรต ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ อย่าง เช่น พิธีกรรมทะลวงขุมนรก ทะลายบ่อโสโครกด้วยเลือด ฝากเงินทองเข้าคลัง ชดเชยหนี้กรรมหรือรายการเบิกสรวงสวรรค์ เป็นต้น ลองคิดดู ประตูขุมนรกคุณใช้ไม้ไผ่อันเล็กๆ ก็สามารถเปิดออกได้หรือ? ถ้าทำเช่นนี้ได้ พวกเศรษฐีคนรวยสร้างบาปทำกรรมไว้มากมาย เมื่อสิ้นชีวิตแล้วนิมนตร์พระมาสวดคัมภีร์ไม่กี่เล่ม ท่องคาถาไม่กี่บทก็สามารถทำให้ผู้ตายพ้นทุกข์ ถ้าทำเช่นนี้ได้ แล้วผู้ยากไร้ไม่สามารถจ้างคนทำกงเต๊ก นิมนต์พระมาสวดอภิธรรมจะรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าทำเช่นนี้ได้สวรรค์ก็ลำเอียง

กล่าวถึงพุทธองค์ ท่านนั่งอยู่บนปทุมอาสน์สงบสุขยิ่งเมื่อคนรวยสร้างบาปแล้วมาร้องขอให้ช่วย ท่านไหนจะยื่นมือเข้ามาช่วย? เราว่าจิตใจคือ พุทธะ จิตใจคือ สวรรค์จิตใจงามรักษาธรรม คล้อยตามฟ้าพ่อแม่ของเขาก็พ้นทุกข์ได้ไปผุดไปเกิด ถ้าจิตอกุศลฝืนฟ้าขัดหลักธรรมพ่อแม่ก็ไม่สามารถผุดเกิดตลอดไป ถึงจะทุกวันๆ ร้องขอพระพุทธองค์ให้ช่วย พุทธองค์ท่านก็ช่วยไม่ได้ เราก็คือพุทธโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เหตุและผล ธรรมกับอธรรม เราย่อมแยกแยะ ผู้สร้างกุศลกรรม ไม่ต้องขอร้องพุทธองค์ พุทธองค์ก็จะปกป้องเขาเอง ถ้าผู้ก่อกรรมทำเข็ญถึงจะวอนขอร่ำร้องโขกจนศีรษะแตกก็ไม่เกิดประโยชน์

เราอยากให้ชาวโลกรีบสำนึก ปฏิบัติตามครรลองครองธรรมอย่าทำในสิ่งที่ฝืนต่อคุณธรรม อย่าคิดชั่วสร้างบาปอย่าเป็นคนเหลวไหล เราย่อมพิทักษ์ไม่ต้องไปเชิญพระเชิญพรตมาขมาบาปกับเรา

แนบบันทึกบททูลเหนือหัวของพระอาจารย์เหวียนเฝินแห่งวัดหงส์ฝู ของนครถังซึ่งนำมาจากทิเบตวันขมาบาปทั้ง 12 เดือน (ตามปฏิทินจีน) ของถังไท่จง

ฮ่องเต้ (กษัตริย์องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ถัง ครองราชย์ ค.ศ.627 ถึง ค.ศ.649)

วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ยามฟ้าสาง

หันหน้าไปทางทิศใต้ไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 100 กัป

วันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 2 ยามไก่ขัน

หันหน้าไปทางทิศใต้ไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 100 กัป

วันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ยามดึก

หันหน้าไปทางทิศตะวันตกไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 100 กัป

วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 เที่ยงคืน

หันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 100 กัป

วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 ยามเย็น

หันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 100 กัป

วันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 เที่ยงคืน

หันหน้าไปทางทิศใต้ไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 400 กัป

วันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ยามเย็น

หันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหว้ 4 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 300 กัป

วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 เที่ยงวัน

หันหน้าไปทางทิศใต้ไหว้ 9 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 300 กัป

วันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 เที่ยงวัน

หันหน้าไปทางทิศใต้ไหว้ 9 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 1000 กัป

วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 เที่ยงวัน

หันหน้าไปทางทิศใต้ไหว้ 9 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 1000 กัป

วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 ยามเย็น

หันหน้าไปทางทิศตะวันตกไหว้ 9 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 1000 กัป

วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 12 ยามเย็น

หันหน้าไปทางทิศตะวันตกไหว้ 9 ครั้ง

ปฏิญาณสร้างกุศลกรรม ลดโทษ 1000 กัป

เนื่องจากวันเวลาดังกล่าว เป็นวันชุมนุมของเหล่าทวยเทพโพธิสัตว์ ถ้าสามารถทำพิธีขมาบาปในวันเวลาดังกล่าวชั่วชีวิตทำงานราบรื่น บุตรหลานเจริญรุ่งเรือง

ทางทิศตะวันตกของมณฑลจื้อเจียง มีสามัญชนคนหนึ่งชื่อใช่จี่วหยู เนื่องจากคนในครอบครัวไม่รักใคร่ปรองดองกัน วันๆ มีแต่เรื่องราวทำให้กลัดกลุ้ม ระทมใจนานวันเข้าจนมาถึงฤดูร้อนปีเหยินซี (ค.ศ.1922) จู่ๆ เกิดอาการคล้ายไข้จับสั่น เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนทุกวัน เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน จะเกิดความหนาวเหน็บที่ขั้วหัวใจ และความหนาวนี้จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ต้องคลุมโปงห่มผ้าหลายชั้นก็ยังไม่หายหนาว ต้องนอนระทวยครางอยู่บนเตียงจนถึงเที่ยงคืนจึงจะหายหนาว วันๆ หนึ่งจะทานอาหารได้เฉพาะมื้อเช้า มื้อเทียง และมื้อเย็นทานอาหารไม่ลงร่างกายนับวันอ่อนแอ ทั่วตัวไม่มีเรี่ยวแรง และอาการเช่นนี้จะเป็นๆหายๆ เจ้าตัวก็ไม่ค่อยใส่ใจ จนกระทั่งปีถัดมาฤดูใบไม้ผลิของปีกุ่ยไห้ (ค.ศ.1923) สีหน้าของใช่จี่วหยูเหลืองซีดขาและเท้าบวม หน้าอกคล้ายมีเสมหะอัดแน่น นานวันเข้าใต้อกช่วงลิ้นปี่คล้ายมีก้อนเนื้อโตเท่าไข่นกพิราบ เมื่อก้อนเนื้อนี้ดันขึ้น จะมีอาการปวดใจอย่างแสนสาหัส ยิ่งใกล้หน้าหนาวอากาศก็ยิ่งรุนแรง ปวดร้าวทั่วทั้งตัว อาการบวมที่ขาและเท้ามากขึ้น ใบหน้าเหลืองซีด และเกิดอาการบวมเช่นกันจนถึงปีถัดมา ฤดูร้อนปีเจี่ยจื่อ (ค.ศ.1924) อาการของใช่จิ่วหยูยิ่งสาหัส นอนครางโทรมอยู่แต่บนเตียง นายแพทย์ที่มีชื่อเสียง ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าหมดปัญญารักษาคนไข้ อย่างเก่งมีชีวิตอยู่ไม่ถึงกินข้าวใหม่ในฤดูในไม้ร่วงก่อนถึงฤดูใบไม้ร่วงไม่กี่วัน คนไข้อาการไอหอบหนักมากจนไม่สามารถทานข้าวติดต่อกันถึงสามวันเต็ม สุดท้ายก็หมดสติไป และในระหว่างหมดสตินั้น จู่ๆ คนไข้ก็นึกถึงเรื่องพิมพ์หนังสือเทวราชโองการออกเผยแผ่จะช่วยชีวิตได้ เลยสั่งภรรยาไปจุดธูปกลางแจ้ง อธิษฐานว่าจะจัดพิมพ์หนังสือเทวราชโองการ 1,000 เล่ม ออกเผยแผ่ ขอให้เทพเจ้าช่วยปกปักรักษาให้โรคหาย หลังจากภรรยาจุดธูปอธิษฐานเสร็จไม่นาน คนไข้ก็หายจากอาการไอแล้วนอนหลับอย่างสบาย

นี่แสดงให้เห็นว่าเทพเจ้ามีจริง แม้อยู่ในความเงียบหรือยามมืดมิดกลางวันหรือกลางคืน สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคอยสอดส่อง และตรวจตราอยู่ตลอดกาล ท่านอนุตตรเทพไท่ซั่งกล่าวว่า “บุญกรรมตามสนอง เร็วดั่งเงาตามตัว เป็นเรื่องจริงมิต้องสงสัย” วันรุ่งขึ้น ภรรยารีบไปร้านหนังสือสั่งพิมพ์หนังสือเทวราชโองการ 300 เล่ม แล้วนำไปให้ศาลเจ้าโรงเจช่วยนำออกแจกจ่าย ต่อจากนั้นสั่งพิมพ์เพิ่มอีก 700 เล่มเพื่อเผยแผ่สู่ชาวโลก หนังสือเทวราชโองการเล่มนี้เมื่อเทียบกับหนังสือธรรมะเล่มอื่นแล้ว จะยิ่งทำให้ผู้อ่านสะพรึงกลัวผู้พิมพ์แจกเมื่ออธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มักได้ผลสมใจนึกร้านจัดพิมพ์หนังสือธรรมะหงส์ต้าเรียกราคาย่อมเยา หวังเพื่อนร่วมชาติทำตามอัตภาพตัวเอง พิมพ์แจกชาวบ้านใช้จ่ายไม่มาก แต่จะได้ผลบุญอย่างคาดไม่ถึง มนุษยชาติมาถึงปลายยุคแห่งกัป เพื่อขัดเกลาจิตใจคน และจิตใจตัวเองหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเป็นสิ่งประเสริฐสุด

สาธารณรัฐจีนปี 13 กลางฤดูหนาวปีเจี่ยจื่อ

ใช่จี่วหยูบันทึก ณ บ้านพักนครหนันจิง

More Posts