ชุยเมิ่งหลินบันทึกหลักฐานกรรมสนอง ของหนังสือเทวราชโองการ

2024-05-04 08:56:27 - mindcyber

บทบันทึกของชุยเมิ่งหลิน คนอ่วนผิง มีบันทึกตอนหนึ่งว่า

หยางไฉ่เจา เป็นคนอำเภอเจ่าเฉียง เนื่องจากเกิดทุพภิกขภัย จึงย้ายถิ่นฐานมาทำมาหากินที่เมืองหลวง ไฉ่เจาเป็นคนตรงแต่ชอบดื่มเหล้า

วันหนึ่งของฤดูวสันต์ปีที่ 14 ของรัชกาลเจียชิ่ง(ค.ศ.1809) ไฉ่เจียวเก็บตั๋วแลกเงินใบหนึ่งได้ ณ หน้าศาลเจ้าเจินอู่ ใกล้จวนผู้บังคับการทหารประจำมณฑลที่ซอยเมาอื๋อ เป็นตั๋วแลกเงินที่ระบุจำนวนเงินแปดพันกว่าอีแปะพอเดินมาถึงซอยงาดำ เห็นผู้ชายคนหนึ่งคว้าคอเสื้อเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ แล้วลงมือทุบตีเอาทุบตีเอา จึงเดินเข้าไปถามหาสาเหตุ ได้ยินว่าเด็กหนุ่มคนนี้ ไปขโมยตั๋วแลกเงินของผู้ชายไฉ่เจา จึงถามจำนวนเงิน และวัน เดือน ปี ในใบตั๋วแลกเงินตรงกับจำนวนเงิน และวันเดือนปีใบตั๋วแลกเงินที่เขาเก็บได้ไฉ่เจาจึงนำตั๋วแลกเงินที่เขาเก็บได้ คืนให้กับผู้ชายคนนั้นอย่างใจกว้าง

ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวที่เล่าขานเรื่องนี้ ในใจนึกชมเชยความซื่อตรง และใจนักเลงอย่างเช่นไฉ่เจา แต่ก็ไม่รู้จักไฉ่เจาคือใคร

เดือน 9 ของปีนี้ ไฉ่เจาไปที่บ้านข้าพเจ้าเพื่อสอบถามและค้นหาหลักฐานยืนยัน เรื่องราวเกี่ยวกับกรรมสนองของกฎแห่งกรรม ข้าพเจ้าจึงถามเรื่องราวรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้ความว่า

กลางเดือน 3 ของปีนี้ ไฉ่เจาเนื่องจากเป็นไข้หวัดใหญ่อาการหนักจนหมดสติไป ในช่วงหมดสติ เขาได้เห็นบิดาที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นมาพาไฉ่เจาไปที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นตำหนักวิมานที่สูงตระหง่าน บนประตูใหญ่หน้าตำหนักเขียนอักษร 3ตัวว่า “ตำหนักบูรพาบรรพต”สองข้างประตู มีกลอนคู่บทหนึ่งอักษรแต่ละตัวใหญ่เกือบฟุต เขียนด้วยสีทองสว่างโชติช่วงว่า“ทุจริตเหี้ยมหาญของชาวโลก ก่อกรรมทำเข็ญละเมิดฟ้า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากการกระทำของตนทุกข์กรรมสนองในยมโลก จากโบราณจนถึงปัจจุบัน ถามว่ามีใครหลีกหนีได้พ้น”

เมื่อก้าวเข้าไปในตำหนัก ได้เห็นเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง แท้จริงคือพ่อตาเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว พ่อตาเขาในช่วงมีชีวิตอยู่เป็นบัณฑิตหลวง ท่านเล่าให้ฟังว่าตามชะตาฟ้าลิขิตเขาต้องมีอายุขัยถึง 59 ปี แต่เนื่องจากไปรับหญิงที่มีสามีมาเป็นเมียน้อย ถูกยมโลกทอนอายุขัย 10 ปี จากนั้นยังเสนอแนะอาหญิงคนในตระกูลเดียวกันไปแต่งงานใหม่ เลยถูกทอนอายุไปอีก10 ปี เมื่ออายุ 39 ก็เสียชีวิต หลังจากเสียชีวิต เนื่องจากยมบาลตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดอื่นใด ยมโลกจึงคัดเลือกเขาไปเป็นเจ้าหน้าที่บัญชีของยมโลก

พ่อตาไฉ่เจาสั่งพนักงานผีท่านหนึ่ง พาไฉ่เจาไปชมสถานทัณฑนิคมเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกมัดไขว้อยู่กับเสาต้นหนึ่งผู้ควบคุมผีกำลังผ่าอกควักหัวใจออกมา ผู้หญิงคนนั้นร้องเสียงลั่นจนแก้วหูแทบแตก ไฉ่เจาจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียของพ่อบ้านสกุลชิ่ง คนหนึ่ง ณ ที่นี้ไม่สะดวกที่จะเอ่ยชื่อเขา

เมื่อท่องมาถึงอีกที่หนึ่ง เห็นคนผู้หนึ่งถูกมัดติดกับเสาโรง ผู้ควบคุมผีกำลังใช้ไฟเผาที่สันหลังเขา เพ่งมองให้ชัดคนคนนั้นคือยามเฝ้าบ้านตระกูลชิ่งหันเอ้อนั่นเอง เห็นอีกคนหนึ่งใช้เชือกสองเส้นมัดอยู่รอบซี่โครง ถูกจับแขวนห้อยโตงเตงอยู่กลางขื่อบ้าน เสียงร้องอันเจ็บปวดน่าสงสารทำให้คนไม่อยากได้ยิน ที่หัวปักธงเขียนว่า “หวังอีหลงคนหลบเลี่ยงภาษี” คนคนนี้ไฉ่เจารู้จักดี เขาคือคนขายเหล้าเถื่อน เกลือเถื่อน ในละแวกเหอเจี้ยนนั่นเองมีชื่อว่าหวังหนิวจื่อ แต่ไม่รู้ว่าเขามีฉายาหวังอีหลง และเห็นอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติของไฉ่เจาแซ่หลิน ที่ลำคอมัดร้อยด้วยแถบตะปูคู่

ท่องมาถึงอีกสถานที่หนึ่ง เห็นหอระฆังที่มีแต่ขื่อเสาแต่ยังไม่มุงหลังคา แขวนระฆังขนาดใหญ่มากหลังหนึ่งไฉ่เจาอยากทราบระฆังใหญ่ขนาดไหน จึงเดินเข้าไปกางสองแขนโอบ เห็นบนระฆัง สลักชื่อคนจำนวนมาก ในนั้นมีชื่อของตัวเอง หยางไฉ่เจาบริจาคเงินสร้างระฆัง 5 อีแปะ ผู้บอกบุญ (คนแนะนำให้ทำบุญ) ชุยเมิ่งหลิน

ท่องมาถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เห็นคนคนหนึ่งที่อยู่บนหลังวัว ใช้แซ่เฆี่ยนวัว แต่พอลงแซ่ถูกตัววัว ตัวเองกลับร้องด้วยความเจ็บปวด และพูดเสียงดังว่า “นี่คือกรรมสนองที่ตัวเองเมื่อมีชีวิตอยู่ชอบทานเนื้อ”

เมื่อเที่ยวชมมาถึงที่อีกแห่งหนึ่ง พบบนธวัชรัตนฉัตรวางคัมภีร์วัชรสูตร และคัมภีร์พระหฤทัยสูตร อย่างละ 1 เล่มมีสาธุชนชายหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนถีอประคำนั่งสวดภาวนาเดินมาถึงด้านหลัง เห็นขุนเขาสูงตระหง่าน ปีนถึงยอดเขามองออกไป กลายเป็นทะเลน้ำทมิฬอันเวิ้งว้าง ตกใจสุดขีด รู้สึกในอกแผดร้อนจนอดกลั้นไม่ไหว เห็นมีตุ่มน้ำตั้งอยู่ข้างๆ ในนั้นมีน้ำใสอยู่ครึ่งตุ่มพร้อมกระบวยตักน้ำ จึงตักน้ำขึ้นมาดื่มหลายอึก รู้สึกเย็นสดชื่นเข้าขั้วหัวใจ พลันสะดุ้งตื่น เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง ถามคนในบ้านบอกว่านอนสลบมาเป็นเวลา 17 วัน 17 คืนแล้ว

ไฉ่เจาถามเรื่องเมียเจ้าบ้านตระกูลชิ่ง คำตอบคือปวดใจจนสิ้นชีพไปแล้ว ถามถึงคนยามหันเอ้อ คำตอบคือแผ่นหลังเกิดฝีขนาดใหญ่อาการสาหัสไม่กี่วันก็เสียชีวิต

เมื่อเดือน 7 มีโอกาสพบคนหมู่บ้านเดียวกันที่รู้จักกับหวังหนิวจื่อจึงถามหาสภาพของหวังหนิวจื่อ ได้รับคำตอบว่า“ตายไปแล้ว เป็นการตายแบบแปลกประหลาดมาก ก่อนตายเกิดโรคประหลาด ซี่โครงกระดูกสองข้างเจ็บปวดจนร้องทุกข์ระงมทั้งวันทั้งคืน ทนไม่ไหวจนต้องเรียกคนในบ้านไปนำเชือกมามัดไว้รอบซี่โครง แล้วจับแขวนห้อยโตงเตงอยู่กลางขื่อบ้านจึงรู้สึกค่อยสบายขึ้น และเป็นเช่นนี้หลายวันจนตาย”

ส่วนคนแซ่หลินที่ลำคอผูกร้อยตะปูคู่นั้น ทำงานราชการในแถบมณฑลหูกว่าง เดือนนี้มีจดหมายมาแจ้งให้ทราบเป็นโรคปากเปื่อยอยู่จนเสียชีวิต

หลายเรื่องที่เห็นในยมโลก ในโลกมนุษย์มีพยานหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นชัด แต่เรื่องที่เห็นชื่อตัวเองปรากฏอยู่ในระฆังหลังใหญ่ในยมโลกนั้นยังไม่สามารถเข้าใจ

หลังหายจากป่วยไข้ ไฉ่เจาครุ่นคิดถึงมีชื่อข้าพเจ้าสลักอยู่ในระฆัง เชื่อว่าข้าพเจ้าคงจะเข้าใจ จึงมาถามข้าพเจ้าว่านี่คือมรรคผลอันใดของกฎแห่งกรรม

เมื่อข้าพเจ้าถูกถามเช่นนี้ ช่วงแรกรู้สึกงุนงงมาก แต่มาทบทวนนึกคิดอีกทีจึงจำได้ว่าเมื่อ 3 ปีก่อน อารามหลิงจิ้วประสงค์หล่อระฆังใหญ่ 1 หลัง มอบซองทำบุญร้อยซองให้ข้าพเจ้าช่วยบอกบุญเพื่อนฝูง ข้าพเจ้าจึงไปบอกบุญกับเพื่อนพ้องพี่น้อง รวบรวมได้เงิน 20 พันอีแปะ แต่ตัวข้าพเจ้าไม่ได้บริจาคเงินแม้อีแปะเดียว ไม่นึกเลยว่าแค่บอกบุญสร้างกุศลยมโลกยังจารึกชื่อเอาไว้ หวนคิดขึ้นมาเป็นสิ่งน่ากลัวยิ่งนัก

เวลานี้อ่านถึงกรรมสนองต่างๆ ในหนังสือเทวราชโองการ ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ด้วยเหตุนี้ จึงน้อมบริจาคเงินร่วมพิมพ์ หนังสือเทวราชโองการออกแจกจ่าย หวังว่าท่านผู้มีใจศรัทธาเช่นเราทุกท่าน มาร่วมกันหมั่นสร้างกุศลกรรมเทอญ

ชุยเมิ่งหลินบันทึก ณ วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 รัชกาลเจียชิ่งปีที่ 20 (ค.ศ.1815)

More Posts