บันทึกคดีความนรก ของหนังสือเทวราชโองการ

จากอารามฉีเซิง

2024-05-04 09:04:44 - mindcyber

อู๋จั้นซี ชาวเจียงซี เป็นพ่อค้าละโมบ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ลึกลับยากที่จะหยั่งถึง แต่ละปีเขาจะนำผ้าแพรจากหมิ่นจงไปขายที่ซันจั่ว ทุกครั้งจะนำตัวอย่างผ้าที่ทำให้ลูกค้าดูแล้วรู้สึกพอใจออกมาขาย เมื่อลูกค้าสั่งซื้อแล้ว ช่วงมอบสินค้าก็จะนำสินค้าคุณภาพต่ำมอบให้ กรรมวิธีในการสับเปลี่ยนสินค้าหลากหลายมาก ทำให้พ่อค้าขายผ้าจำนวนมากถูกจั้นชีหลอก

เจียงซีมีพ่อค้าผ้าท่านหนึ่ง วานเพื่อนไปซื้อผ้ากับจั้นชีสุดท้ายถูกจั้นชีหลอกนำสินค้าคุณภาพต่ำมามอบให้ พ่อค้าท่านนั้นโกรธเคืองเพื่อนเขามาก ด่าทอเพื่อนยกใหญ่ เพื่อนเขาก็บันดาลโทสะจึงตอบไปว่า “เก่งจริงไปซื้อเองซิ จะได้ไม่ถูกหลอก” พ่อค้าท่านนั้น ก็ตอบว่า “แน่นอน ข้าจะไปซื้อเองถ้าถูกหลอก จะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีก

วันถัดมา พ่อค้าท่านนั้นไปซื้อผ้ากับจั้นชีด้วยตนเองเห็นตัวอย่างม้วนผ้าเป็นที่พอใจมาก จึงตกลงซื้อ และยึดผ้าตัวอย่างพับนั้นนั่งทับไว้ จั้นซีเห็นเช่นนี้ก็กระวนกระวายรีบเดินออกมาจากร้าน โดยทางลับเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเดินมาที่หน้าร้าน แล้วยิ้มคำนับพ่อค้าท่านนั้นคล้ายกับคนที่รู้จักกันมานาน พ่อค้าจำจั้นซีไม่ได้ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทจึงลุกมาที่หน้าร้านโค้งคำนับตอบ ในเวลานั้นเอง จั้นซีให้พนักงานในร้านแอบสับเปลี่ยนผ้า พ่อค้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่ได้สังเกตความเรียบร้อย ก็หอบผ้ากลับมาอวดเพื่อนอย่างดีใจ เพื่อนแกะสินค้าออกดู เนื้อผ้าก็เช่นเดียวกับที่เขาไปซื้อมา คุณภาพผ้าต่ำ หน้าบางไม่สม่ำเสมอ เพื่อนพ่อค้าจึงเยาะเย้ยพ่อค้าว่า “เป็นไง ไปซื้อเองแล้วเป็นไง?”

พ่อค้าท่านนั้น ไปซื้อด้วยตนเองยังถูกหลอกได้ของคุณภาพต่ำ ซ้ำถูกเพื่อนหัวเราะเยาะ อับอายขายหน้า ยิ่งคิดถึงคำพูดที่ตัวเคยกล่าวไว้เลยตัดสินใจไปผูกคอตาย

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการค้าจั้นซี เพื่อผลประโยชน์ไม่คิดถึงผลกรรม ใช้สารพัดเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงผู้อื่น

กลางปีเทียนฉี่ จั้นซีเกิดเจ็บป่วยระหว่างเดินทางจากนั้นบอกเห็นภูตผีมาไล่ต้อนเข้าไปขุมนรกต่างๆ ร้องเสียงเอะอะโวยวายทั้งวันทั้งคืน ช่วงจั้นซีป่วยหนัก ชอบนอนบนเสือไผ่ แล้วตะโกนร้องเรียก “ช่วยข้า ช่วยข้า เขามาผูกข้าอยู่บนเตียงไฟแล้ว” คนรอบข้างเห็นแล้วต่างจนปัญญาช่วย

จั้นซีตะโกนเรียกลูกเขา “เอาน้ำมาราดตัวข้า” ลูกชายเขาจนปัญญาเอาน้ำพ่นทั่วตัวพ่อ เวลาผ่านไปสักพักใหญ่จั้นซีก็บอกว่า “เขาปล่อยข้าแล้ว” จากนั้นโชว์แผ่นหลังให้คนดูมีรอยไหม้เป็นแนวๆ

เวลาผ่านไปสักพัก จั้นซีตะโกนขึ้นมาอีกว่า “ฟ้าช่วยด้วยทำไมเอาตัวข้าไปชั่ง ทั้งยังเอาตาขอมาเกี่ยวหลังข้าอีก” คนที่มุงดูยิ่งรู้สึกแปลกแต่ช่วยอะไรไม่ได้ จึงปล่อยเขาเอะอะร้องเรียกไปเรื่อยๆ สักพักใหญ่จั้นซีก็พูดว่า “เขาปล่อยข้าแล้วพร้อมอวดแผ่นหลังให้คนดู เห็นมีรอยถูกตาขอเกี่ยวปูดนูนขึ้นนิ้วกว่า แล้วร้องเรียกอยากกินน้ำ ลูกชายเขาต้มยาให้เขาทานแต่ไม่ยอมรับ ชงน้ำชาให้ดื่มก็ไม่ยอมดื่ม กลับตะโกนว่า“ข้าไม่ต้องการน้ำพวกนี้” เมื่อถามว่าต้องการน้ำอะไร กลับตอบว่า “ต้องการน้ำครำในท่อน้ำเสียนอกบ้าน”ลูกชายจั้นซีเห็นพ่อพูดเช่นนั้น อับอายชาวบ้านจนไม่ยอมตอบ จั้นซีเห็นลูกไม่ทำตามที่ขอ ทุบเตียงด่าลูกว่าเป็นลูกอกตัญญู ลูกเนรคุณ

เวลานั้นมีหนุ่มทะเล้นคนหนึ่ง ไปตักน้ำครำในท่อน้ำเสียมาหยอกล้อจั้นซี จั้นซีเห็นน้ำครำดีอกดีใจ รับน้ำครำแล้วรวดเดียวดื่มจนหมดเกลี้ยง พร้อมชมว่า “นี่เป็นน้ำเลิศรสที่สุด”

จั้นซีมีอาการดังกล่าวเป็นเวลาหลายวัน ทั่วร่างกายเกิดรอยไหม้เกรียม และบอกกล่าวต่อทุกคนว่า “รอยไหม้เหล่านี้คือรอยโทษทัณฑ์ของขุมนรกต่างๆ”

สุดท้ายจั้นซีก็เสียชีวิตอย่างน่าเวทนา นี่คือคำที่ว่า“ตกนรกทั้งเป็น”

ยุคกลางรัชกาลหงจื้อ (ค.ศ.1488-1505) โก่งหงส์ผู้ว่าเอี่ยนโจว เป็นผู้ศรัทธาหนังสือเทวราชโองการมาก ได้ยินข่าวท้องที่ที่เขาปกครองมีศาลเจ้าบูรพาบรรพต มีชื่อเสียงโด่งดังด้านอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ พอตกเวลากลางคืน จะปรากฏมีเสียงแซ่โบยตีนักโทษดังอยู่ในศาลเจ้าเสมอ

วันหนึ่ง โก่งหงส์ไปนมัสการเทพเจ้าที่ศาลเจ้าบูรพาบรรพตแต่เช้า ศาลเจ้าเงียบสงบไม่มีอะไรผิดปกติ ลูกน้องที่ติดตามไปแจ้งให้นายทราบว่า อยากทราบข้อเท็จจริง ขอให้มาช่วงกลางคืน

โก่งหงส์ทำตามคำแนะนำของลูกน้อง หลังพระอาทิตย์ตกดินก็แวะไปที่ศาลเจ้าอีกครั้ง พอเปิดประตูเข้าไป เห็นพนักงานภูตผีถือเหล็กนาบที่เผาไฟจนร้อนแดง จี้หลังของภิกษุองค์หนึ่ง

ถามหาสาเหตุ ได้รับคำตอบว่า ภิกษุองค์นี้เป็นพระสงฆ์ของวัดวัดหนึ่ง เที่ยวเรี่ยไรเงินชาวบ้านในนามมาบูรณะวัดแต่กลับนำเงินไปเที่ยวสตรี กินเหล้าเมายา ฉะนั้นต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้

โก่งหงส์กลับจากศาลเจ้า สั่งลูกน้องไปสืบหาวัดดังกล่าวปรากฏว่าจริงดังผีบอก มีพระสงฆ์รูปหนึ่งมีความประพฤติเช่นนั้นจริง และเร็วๆ นี้ พระสงฆ์รูปนั้นกลางหลังเกิดฝีฝักบัว สุดท้ายมรณภาพ

ไต้จี่เหยิน เป็นชาวอำเภออู๋ (คำว่าจี่เหยินคือการ เรียกผู้ที่เคยสอบได้ที่หนึ่งของหมู่บ้าน) เป็นคนก่อกรรมทำเข็ญเนืองๆ แต่เป็นคนชอบไหว้เจ้าแม่กวนอิม และจะสวด“มหากรุณาธารณีสูตร” ทุกวัน

เมื่อไต้จี่เหยิน เจ็บป่วยจนสิ้นชีพไปไม่กี่วัน ข้างบ้านเขาก็มีคนเสียชีวิตแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ เล่าเหตุการณ์ที่เขาไปนรกภูมิให้ทุกคนทราบว่า

เมื่อเขาถึงนรกภูมิ ยมบาลตรัสกับเขาว่า “เจ้าอายุขัยสิ้นแล้ว แต่เนื่องจากสามวันก่อน เจ้าได้ช่วยไกล่เกลี่ยสามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังจะหย่าร้างกันให้คืนดีกันใหม่ ฉะนั้น ยมโลกเพิ่มอายุขัยให้เจ้าอีกหนึ่งรอบ” (หนึ่งรอบอายุขัยคือ 12 ปี)

จากนั้นคนนี้ ก็เล่าเรื่องที่เขาพบไต้จี่เหยินในยมโลกให้ทุกคนทราบว่า ไต้จี่เหยินถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนและขื่อคา มีผีที่ถูกเขาปรักปรำทำร้ายจำนวนมากเป็นพยาน ห้อมล้อมเขา ยมบาลตัดสินความว่า “เจ้าก่อกรรม ทำ

เข็ญ ข่มขืนชำเราสตรี เข่นฆ่าผู้อื่น ควรลงทัณฑ์ด้วยตกนรก

กระทะทองแดง”

เมื่อพนักงานผี แบกกระทะทองแดงออกมา สุมไฟจนน้ำมันเดือดพล่านแล้ว บังคับไต้จี่เหยินโดดลงกระทะไต้จี่เหยินตกใจดิ้นไม่ออก มีแต่ปากท่อง “นำโม โอรา”คัมภีร์มหากรุณาธารณีสูตร ทันใดนั้น ทั่วตำหนักสั่นไหว กระทะทองแดงแตกสลายกลายเป็นดอกบัวสีขาวผุดขึ้นจากธรณี

ยมบาลลุกขึ้นยืน กล่าวกับผีอาฆาตเหล่านั้นว่า “เมื่อเขาสามารถสวดพระสูตรนี้ ไม่มีขุมนรกไหนสามารถกักขังเขาได้ ให้เขาไปเกิดใหม่แล้วค่อยลงโทษทีหลัง” (ขุมนรก เมื่อเจอผีที่สามารถสวดมหากรุณาธารณีสูตร จะส่งผีตนนั้นไปเกิดใหม่เพื่อให้ลืมพระสูตรทั้งหมด กำหนดให้เกิดใหม่แล้วเสียชีวิตแต่เล็ก จากนั้น ค่อยจับผีตนนั้นมาเพิ่มโทษและลงโทษทีหลัง)

เหล่าผีอาฆาตต่างยืนกรานไม่ยอม ยมบาลจึงพูดว่า“เมืองเจียซิงมีคนแซ่อู๋คนหนึ่ง เป็นคนทำแต่กรรมชั่ว ช่วงเร็วๆ นี้ เนื่องจากต้องการมีลูก จึงกลับมาสร้างความดี ฉะนั้นให้ผีตนนี้ไปเกิดเป็นลูกเขา เพื่อให้ลืมพระสูตรทั้งหมด ค่อยจับเขามาลงโทษทีหลัง”

เมื่อข้าพเจ้าฟื้นคืนชีพใหม่ ต้องไปเมืองเจียซิงบ้านแซ่อู๋ดูว่า มีกำเนิดบุตรชายจริงหรือไม่

ต่อมา เขาไปเมืองเจียชิงบ้านแซ่อู๋ ปรากฏกำเนิดบุตรชายคนหนึ่งจริง

ราชบัณฑิตเจียง เป็นผู้พิพากษาในมณฑลซันตงพิพากษาคดีพี่น้องแย่งชิงมรดก ผู้พี่ติดสินบนเงิน 200 ตำลึงผู้น้องติดสินบนเงิน 300 ตำลึง สุดท้ายตัดสินผู้เป็นน้องได้รับมรดก ผู้เป็นพี่เสียใจจนตรอมใจตาย

ต่อมาราชบัณฑิตเจียงเสียชีวิต ไม่นานที่หมู่บ้านเดียวกันมีขุนนางเก่าท่านหนึ่งก็เสียชีวิต แต่ขุนนางเก่าท่านนี้เสียชีวิตไปได้ 3 วัน ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ และมาบอกกล่าวกับบุตรชายราชบัณฑิตเจียงว่า “ข้าพเจ้าไปยมโลกได้เห็นบิดาเจ้ากลายเป็นลา ไปเกิดในบ้านนาย ก. ของหมู่บ้านนี้บุตรชายราชบัณฑิตเจียงไม่เชื่อ ขุนนางเก่าท่านนั้นกล่าวอีกว่าบิดาเจ้าช่วงที่เป็นผู้พิพากษา ตัดสินคดีแย่งชิงมรดกระหว่างพี่น้อง เนื่องจากรับสินบนจึงตัดสินคดีมิชอบ ถ้าเจ้าไม่เชื่อไปถามบ่าวไพร่เก่าคนนั้น ก็จะทราบเรื่องทั้งหมด”

เมื่อบุตรชายเจียงไปถามหาบ่าวไพร่ ก็พบเป็นเรื่องจริงดั่งที่ขุนนางท่านนั้นกล่าว บุตรชายเจียงจึงไปถามท่านขุนนางเก่าว่าพ่อเขามีสั่งเสียอะไรหรือเปล่า ท่านขุนนางเก่ากล่าวว่า “พ่อเจ้าวานข้ามาบอกเจ้าว่า ควรนำเงินที่รับสินบนมาไปคืน

ให้ลูกหลานเขา จากนั้นช่วยพิมพ์หนังสือเทวราชโองการออกแจกจ่าย จะสามารถช่วยเขาพ้นโทษ”

บุตรชายราชบัณฑิตเจียง ทำตามความประสงค์ของบิดาทุกรายการ ทั้งยังไปซื้อลาตัวที่เชื่อว่าบิดามาเกิดใหม่ไปเลี้ยงไว้ที่อารามปล่อยสัตว์หยางโจว พร้อมสั่งบ่าวไพร่สองคนไปดูแลความเป็นอยู่ลา” เป็นประจำเวลาผ่านไป 3 ปี “ลา”ก็เสียชีวิต

ที่ซันอินอำเภอผิงหูมีคนแซ่เส้า รัชกาลคังซีปีติงเหม่า(ค.ศ.1687 ) สอบได้จี่เหยิน เคยรับค่าจ้างเงิน 200 ตำลึง ทำลายการวิวาห์ระหว่างตระกูลหลิว กับตระกูลลู่ สาวตระกูลหลิวถูกปรักปรำจนตรอมใจผูกคอตาย หนุ่มตระกูลลู่ผิดหวังความรักยืนหยัดไม่แต่งงาน สุดท้ายไร้ผู้สืบสกุล

หลังจากเส้าจี่เหยินสิ้นชีพ ลูกและเมียได้ฝันเห็นเส้าจี่เหยินพร้อมกัน และเส้าจี่เหยินมากล่าวกับลูกเมียว่า“คดีตระกูลหลิวและลู่ ทำลายวาสนาขุนนาง และบั่นทอนอายุขัยข้าจนหมดสิ้น ทั้งยังไม่สามารถหลีกหนีความผิดปัจจุบันข้าไปเกิดใหม่เป็นสุกร พวกเจ้าไปดูคอกหมูที่โรงฆ่าหมู ตัวที่ลำตัวขาวครึ่งดำครึ่ง มี 5 หางก็คือข้าพเจ้า”

วันรุ่งขึ้น ลูกเมียเส้าจี่เหยินไปเยือนโรงฆ่าหมู เห็นหมูขาวดำ 5 หางจริงดั่งในฝัน จึงซื้อหมูตัวนั้นไว้ แล้วนำไปฝากเลี้ยงที่อารามแห่งหนึ่ง ต่อมายายเฒ่าในอารามแห่งนั้นเผลอเผยความลับของหมูตัวนั้น ทำให้ชาวบ้านแห่กันไปดูหมูจนเนืองแน่น และเรียกหมูตัวนั้นว่า “เส้าจี่เหยิน”

ที่เหาโจว มีคนชื่อเจียงเฉิง ฉายาเลี้ยนถิง เป็นคนฉลาดและเต็มไปด้วยไหวพริบ แต่เป็นคนละโมบปลิ้นปล้อนชั่วชีวิตทำแต่สิ่งเลวทรามต่ำช้า เห็นคนพูดดีทำดีก็หาว่าเขาเสแสร้งเห็นใครสร้างกุศลกรรม ก็มักไปขัดขวาง เยาะเย้ยเขาหาว่าทำสิ่งเหลวไหล

เจียงเฉิงอายุ 31 ปี ก็ยากจนข้นแค้น และร่างกายซูบผอมลงทุกวันๆ เที่ยวคุ้ยเขี่ยหากินตามชนบท จู่ๆ วันหนึ่งหัวของเจียงเฉิงกลายเป็นหัวสุนัข หลังจากนั้นไม่กี่วัน ลำตัวก็กลายเป็นสุนัข เหลือแต่มือเท้ายังเป็นคนเหมือนเดิม และอยู่ในสภาพเช่นนี้เกือบปีจึงเสียชีวิต

ม่อเหยี่ยซู เป็นคนนิสัยดุดัน ใจคอชั่วร้าย ชั่วชีวิตทำแต่เรื่องฝืนฟ้าขัดศีลธรรม ตอนอายุ 40 กว่า เกิดโรคที่ยากแก่การรักษา นอนแช่กองอุจจาระปัสสาวะ อยู่บนเตียงเป็นเวลาสิบๆ ปี อยู่มาวันหนึ่ง ม่อเหยี่ยซู จู่ๆ เรียกลูกชายไปนำหญ้าฟางหลายมัดมาไว้ในห้อง จากนั้นไล่คนออกนอกห้องให้ปิดประตูไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ไม่นานลูกชายเขาได้ยินเสียงเคี้ยวหญ้าฟางในห้อง พอเปิดประตูเข้าไปดู พ่อของเขากลายเป็นวัวนอนเคี้ยวหญ้าอยู่ในห้องนั่นเอง

คนแซ่หวังที่อำเภออู๋ซิง เป็นคนเหี้ยมโหดดุร้าย มักใช้เล่ห์เพทุบายหลอกซื้อที่นาชาวบ้าน เมื่อเจ้าของที่ดินนำโฉนดที่มามอบให้ จะจ่ายแค่ครึ่งราคาไปก่อน เงินที่เหลือจะใช้กลเม็ดต่างๆ บ่ายเบี่ยงลากยาวจนไม่ต้องใช้ ถ้าใครปฏิเสธมอบที่ให้ก็จะอาศัยโฉนดเป็นหลักฐานเข้ายึดครองอย่างเหี้ยมโหดเวลาปล่อยเงินกู้เป็นต้น พร้อมดอกเบี้ยคิดอย่างถี่ถ้วน แถมร้ายบางรายเมื่อคืนเงินต้นพร้อมดอกเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ได้ทวงสัญญากู้หนี้คืนทันที ก็จะนำสัญญาฉบับเก่าไปทวงเงินอีกต่อไป

เนื่องจากคนส่วนใหญ่ กลัวความโหดร้ายป่าเถื่อนของคนแซ่หวัง จึงไม่มีใครกล้าเข้าต่อกรกับเขา

วันหนึ่ง คนแซ่หวังจู่ๆ เกิดตายอย่างฉับพลัน และไม่นานแม่วัวข้างบ้านก็คลอดลูกวัวออกมาตัวหนึ่ง เจ้าของวัวเข้าไปดูลูกวัวตัวนั้นเกิดพูดขึ้นมาว่า “ข้าคือคนแซ่หวง เนื่องจากข้าไปหลอกซื้อที่นาของเจ้า ยมโลกจึงลงโทษข้ามาเกิดเป็นวัวเพื่อชดใช้ความผิด ช่วยไปเรียกลูกข้าพเจ้ามา ข้าจะสั่งให้เขาชดใช้เงินทองแก่ท่าน” เจ้าของวัวตกใจมาก รีบไปเรียกลูกชายนายแซ่หวังมาดู

ลูกชายคนแซ่หวังมาถึง ก็เอะอะว่า “ไหน? วัวอยู่ที่ไหน?เจ้าวัวน้อยก้มหน้านิ่งเฉย ทำเป็นละอาย ลูกชายคนแซ่หวังโกรธเจ้าของวัวคนข้างบ้านมาก หาว่าเขามาใส่ร้ายพ่อ จึงกำหมัดรี่เข้าไปจะทุบตีเจ้าของวัว เวลานั้นวัวน้อยพลันพูดขึ้นว่า“หยุดนะอย่าเกเร การลงโทษของยมโลกสาหัสสากรรจ์มาก”จากนั้นวัวน้อย ก็เล่าเรื่องแต่ต้นมาคดโกงราคาที่นาคนอื่นกี่เจ้า สัญญาเงินกู้ที่ลูกหนี้จ่ายหนี้เสร็จแล้ว ไม่ยอมคืนมีกี่ฉบับ เก็บอยู่หีบใบไหนบอกให้ลูกทราบหมด และเรียกลูกต้องนำสิ่งของเหล่านี้ไปชดใช้เขา จะได้ช่วยปลดโทษให้ตัวเอง พูดจบวัวน้อยร้องไห้ และพูดขึ้นอีกว่า “ข้าอยู่ยมโลกรับโทษทัณฑ์ทรมานแสนสาหัสเวลานี้ยังมาเกิดเป็นวัว ข้าจะไปพบหน้าใครได้อีก?” พูดจบวัวน้อยก็เอาหัวพุ่งชนรั้วกั้นคอกตายอย่างน่าอนาถ

นายหยวนซิ่ว เป็นเศรษฐีที่มีเงินถึงสี่แสนตำลึง มีลูกชายถึง 4 คน หยวนซิ่วเป็นคนที่มีอนุภรรยามากมาย แต่เขารักแต่ลูกเมียหลวง 4 คน เมียน้อยคนไหนคลอดบุตรออกมาไม่ว่าชายหญิง จะสั่งบ่าวไพรจับเด็กน้อยห่มผ้าแล้วไปฝังทั้งเป็น

วันหนึ่ง นายหยวนซิ่วฝันเห็นผีน้อยหลายสิบตนมาไล่ฆ่าเขา ว่าจะมาทวงชีวิตกับไอ้ฆาตกรเหี้ยมโหด หยวนซิ่วตกใจตื่น แต่สองมือสองเท้าของเขากลายเป็นขาวัวทั้งสี่ขา เขาไม่กล้าลงจากเตียง ร้องครวญครางอยู่บนเตียง 3 วัน จนหัวขาดตาย

ต่อมา ลูกชายหยวนซิ่วทั้ง 4 คนล้วนตกเป็นอาชญากรสมบัติทั้งหมดถูกหลวงยึดเข้าคลัง

หวีเซิงแห่งอำเภอเจียงอีน เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเปี่ยมไปด้วยความสามารถ รัชกาลเฉียนหลงเข้าสอบระดับหมู่บ้านผลสอบยังไม่ทันประกาศ ก็เก็บเสื้อผ้าลาเพื่อนกลับบ้านด้วยสีหน้ารันทดโศกสลด เพื่อนร่วมสอบเห็นสภาพเช่นนี้จึงพยายามถามหาสาเหตุ ที่สุดได้คำตอบว่า “บรรพชนข้าพเจ้ารับราชการเป็นขุนนางมาครึ่งชีวิต สุดท้ายถูกปลดออกจากราชการ ช่วงไม่สบายใกล้เสียชีวิต ได้เรียกพวกเราสี่พี่น้องไปสั่งเสียว่า “ข้าชั่วชีวิตไม่เคยทำเรื่องขัดต่อมโนธรรม มีแต่ช่วงที่เป็นนายอำเภอ เคยรับสินบน 2,000 ตำลึงประหารนักโทษที่ไม่สมควรประหารไป 2 ชีวิต เมื่อคืนฝันถึงถูกจับตัวไปเข้าเฝ้ายมบาลเพื่อยืนยันคดีความ ยมบาลตรัสว่าตามกฎต้องถูกลงโทษไร้ทายาทสืบสกุล แต่เนื่องจากบรรพบุรุษได้สั่งสมผลบุญหนุนช่วย จึงตัดสินให้เจ้ามีลูกชายสืบสกุลเพียงคนเดียว และจะเป็นลูกโทน พร้อมมีถานะต่ำต้อยยากจนชั่วชีวิตถึง 5 ชั่วคน ข้าพเจ้าคงหลีกหนีไม่พ้นต้องไปรับทุกข์ทรมานในนรกภูมิ ถ้าลูกหลานข้าคิดริอ่านจะไปสอบเป็นขุนนาง หวังชื่อเสียงลาภยศ เงินทองพูนสุข มีแต่จะเพิ่มความผิด เพิ่มโทษทัณฑ์ให้แก่ข้าพเจ้า ลูกหลานคนนั้น

ก็คือผู้อกตัญญู” เมื่อบิดาพูดจบก็สิ้นใจตาย

ต่อมา พี่น้องข้าพเจ้าอีกสามคน ก็เสียชีวิตติดตามกันไปเหลือแต่ข้าพเจ้าคงเหลืออยู่คนเดียว

การสอบคัดเลือกระดับหมู่บ้าน ที่ผ่านมาทั้งสองครั้งข้าพเจ้าสอบตก เที่ยวนี้เป็นการสอบครั้งที่สาม ข้าพเจ้าหวังว่าจะสอบผ่าน แต่เมื่อเที่ยงคืน ข้าพเจ้าฝันเห็นบิดาข้ามาฉีกหมายเลข และชื่อข้าพเจ้าออกจากกระดานประกาศผลพร้อมตำหนิข้าพเจ้าว่า “เจ้าไม่สั่งสมผลบุญกุศลให้สูงเทียมฟ้า ไฉนจะมาขัดคำสั่งข้า ทำให้ข้าพเจ้าต้องเพิ่มโทษทัณฑ์เพราะวิ่งเต้นมาพบเจ้า ไอ้ลูกเณรคุณ” บิดาข้าพูดจบ เอาโซ่กุญแจมือตีเทียนให้ดับแล้วจากไป

ข้าพเจ้าเที่ยวนี้สอบตกอีกข้าไม่เสียใจ แต่สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือทำให้บรรพชนต้องถูกคุมขังอยู่ในแดนนรก ข้าพเจ้าจะขึ้นเขาไปบวชเป็นพระสงฆ์ ศึกษาท่านพระโมคคัลลานะเถระช่วยบรรพบุรุษหลุดพ้นจากบ่วงกรรมในแดนนรก

เพื่อนร่วมสอบฟังการเล่าของหวีเซิงต่างตกใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพื่อนร่วมสอบท่านหนึ่งชื่อเฉินฝูชิง อาลัยหวีซิงถึงแต่งกลอนส่งหวีเซิงออกบวช

More Posts