ขอนมัสการหลวงพ่อ และแสดงความเคารพต่อพระเถระ พระอนุเถระทุกรูป ขอแสดงความเคารพต่อเพื่อนสหธรรมิกทุกๆคน ขอเจริญพรญาติโยมทุกๆคน
วันนี้มีโอกาสมาแสดงธรรมและให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ซึ่งความจริงเป็นโอกาสที่เหมาะสำหรับอาตมาเอง เพราะเพิ่งมาถึงวัดอมราวดีเมื่อวานนี้เหมือนกัน ก่อนนั้นกลับไปอยู่ที่บ้านประมาณอาทิตย์หนึ่ง เมื่อวานนี้ระหว่างที่นั่งรถกลับมาวัดอมราวดีนั้น อาตมานั่งคุยกับโยมแม่ถึงเรื่องสมัยก่อนเมื่ออาตมายังเป็นเด็กอยู่ โยมแม่บอกว่า ถ้าแม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่ หรือที่จะดำเนินชีวิตเสียใหม่ คิดว่าจะไม่เปลี่ยนลูกเลย ลูกสามคนเป็นที่พอใจของแม่มาก แต่ถ้าจะเปลี่ยนคงจะเปลี่ยนตัวเองเสียมากกว่า โดยเฉพาะรู้สึกว่าเมื่อก่อนแม่จุกจิกจู้จี้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ มากเกินไปเพราะ ตอนนั้นแม่ประมาท ไม่ได้คิดว่าอีกไม่กี่ปี ลูกจะต้องจากไป ลูกคนที่สองจะต้องไปอยู่เมืองไทย ๑๒ ปี เห็นหน้ากันแค่สองสามครั้ง เมื่อก่อนนั้นไม่ค่อยได้คิดเรื่องอนาคต หมกมุ่นและกังวลแต่ความบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเรื่องว่าลูกแต่งตัวอย่างไร ผมของลูกยาวเกินไป ลูกแต่งตัวเกะกะไม่เรียบร้อย เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เราเลยเสียเวลากับอารมณ์ที่เศร้าหมอง แล้วต่อมานานๆ จึงได้พบกันครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกเสียดายว่าสมัยก่อนเราไม่ได้ใช้เวลาให้ดีกว่านั้น
อาตมาก็นั่งชมแม่ว่าเป็นผู้ที่คิดเป็น คือคิดไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่โทษสิ่งภายนอก แต่โทษความประมาทของตัวเอง แต่ว่าความคิดของแม่อย่างนี้ไม่ถึงกับเป็นปัญญา เพราะ ปัญญาคือความรู้เท่าทัน และความรู้ของโยมแม่ในครั้งนี้ไม่ทันเหตุการณ์
อาตมาเองก็รู้สึกว่าสมัยยังอยู่ที่บ้าน เราดื้อรั้นในเรื่องเล็กๆน้อยๆ สร้างความทุกข์ให้กับพ่อแม่ เพราะไม่ยอมละทิฏฐิความคิดเห็นของตัวเอง
ส่วนมากความรู้ของมนุษย์เรามักจะเป็นในลักษณะนี้ คือว่า ผิดพลาดแล้วจึงค่อยสำนึกตัว ในทางพระพุทธศาสนาเราต้องการความรู้เท่าทันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ปล่อยให้สายเกินแก้
การเลี้ยงลูกเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่า ก่อนที่เราจะเลี้ยงลูกได้ เราต้องรู้จักเลี้ยงตัวเอง ถ้าเราเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เราจะเลี้ยงลูกไม่ได้เหมือนกัน ความรู้สึกต่อลูกเป็นความรู้สึกที่พิเศษ อาทิตย์ที่แล้วอาตมานั่งดูทีวีกับน้องชายและลูกสองคนของเขา (หลานของอาตมา) ทางทีวีออกข่าวว่าคนบังคลาเทศเสียชีวิตเกือบสองสามแสนคน เราก็นั่งดูทีวีเฉยๆ พอดีหลานตัวเล็กๆ ไปชนกับเก้าอี้ร้องไห้ อาตมาตกใจสงสารหลานมาก แต่ว่าดูทีวีเห็นภาพคนเสียชีวิตเป็นแสนกลับไม่รู้สึก กับคนในครอบครัวว่าคนตายเป็นแสนก็ไม่เจ็บใจไม่สงสารเท่าคนที่เรารักร้องไห้ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ความรักหรือความรู้สึกอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนาเหมือนกัน ความรักเป็นสมุทัยก็ได้หรือเป็นมรรค เป็นทางไปสู่ความดับทุกข์ก็ได้ นั่นก็แล้วแต่สติปัญญาของเรา การที่พระพุทธองค์ให้พระภิกษุสามเณรประพฤติพรหมจรรย์ไม่ต้องการให้พระมีครอบครัวก็เพราะว่าความรักมักจะเป็นอุปสรรคต่อเมตตา ถ้าเรารักอย่างโง่ ! รักโดยไม่มีสติปัญญากำกับอยู่ ความรักนั้นมักจะทำให้เราแบ่งแยก มักจะทำให้เรามองคนที่เป็นศัตรูต่อคนที่เรารักว่าเป็นศัตรูของเรา คนอื่นมาชมหรือมาช่วยคนที่เรารักเราก็ชอบเขา แต่ถ้าคนอื่นมาติเตียนคนที่เรารักเราก็เกลียดเขา ชีวิตกลายเป็นชีวิตแห่งความรักและความเกลียดเพราะผู้ที่เรารัก แล้วความรักที่เข้มข้นที่เรามีต่อลูกของเราโดยเฉพาะมักจะเป็นความรักที่ตาบอด เรารู้อยู่ว่าไม่วันใดวันหนึ่ง เราต้องตายจากเขา เราไม่ตายจากเขาเขาก็ต้องตายจากเรา เราก็รู้อยู่แต่ว่าเราไม่ชอบคิดอย่างนั้น เพราะกลัวว่าถ้าเราคิดอย่างนั้นบ่อยๆ เราจะหดหู่ใจ เราจะไม่สบายใจ เราเลือกชีวิตที่เพลิดเพลินกับความรักที่ไม่ยอมรับความจริงแห่งความไม่เที่ยง ความรักอย่างนี้ไม่มีวันที่จะเลื่อนชั้นเป็นเมตตาได้ เมตตา คือ ความรักที่ยอมรับความจริง ฉะนั้นในการเลี้ยงลูก คำแนะนำข้อแรกที่จะขอฝากไว้นั้นคือ อย่าประมาท อย่าลืมความตาย อย่าลืมว่าตัวเองต้องตาย อย่าลืมว่าลูกต้องตายและลูกอาจจะตายก่อนเราก็ได้ ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ลูกที่ตายในท้องแม่ก็มี คลอดออกมาจากท้องมารดาแล้วตายก็มี ที่อยู่หนึ่งปีก็มี สองปีก็มี ห้าปีก็มี ยี่สิบปีก็มี เรื่องชีวิตเราไม่มีมาตรฐาน การที่เราคิดว่าลูกของเราควรจะอยู่ถึงอายุ ๗๐ หรือ๘๐ อย่างนี้ เป็นความคิดที่ไม่ฉลาด ถ้าเราเห็นว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ชีวิตของเราก็ไม่แน่นอน ชีวิตของเขาก็ไม่แน่นอน จะเห็นว่าแต่ละวัน แต่ละนาทีมีความหมายและมีค่าด้วย เมื่อเราเห็นค่าของเวลา เมื่อเราเห็นว่าเวลาเป็นสิ่งที่เราจับไว้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่เราบังคับให้นิ่งไม่ได้ เวลาเป็นสิ่งที่แปรปรวน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจะมีความคิดที่จะให้และความคิดที่จะใช้เวลานั้นเพื่อสร้างประโยชน์ และสร้างความสุขทั้งแก่ตัวเองด้วยและแก่คนอื่น คือคู่ครองและลูกหลานของเราด้วย เราจะเห็นว่าเราไม่มีเวลาที่จะไปโกรธเขา เราไม่มีเวลาที่จะไปอิจฉาใครแล้ว เราไม่มีเวลาสำหรับอารมณ์ที่เบียดเบียนตัวเอง และเบียดเบียนผู้อื่น เราจะเห็น หน้าที่ของเรา คือการสร้างความสุขและการสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์อันแท้จริงต่อชีวิตของเราและทุกๆคนที่อยู่รอบข้างเราด้วย และเราต้องคอยปรับความรู้สึกต่อคนอื่นให้มันเป็นธรรม ให้มันสอดคล้องกับหลักธรรมให้มากที่สุดที่เราจะทำได้ เมตตานั้นไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ถ้าเรายังต้องการสิ่งตอบแทนมันก็ยังไม่เป็นเมตตา คือมันยังเป็นความรักที่เป็นสมุทัย เราก็ต้องพยายามพัฒนาความรัก
การเลี้ยงตัวเองถ้าเราแยกออกไปแล้วก็อาจจะสรุปได้ว่าเป็นเรื่องของการละและเรื่องการบำเพ็ญ เราละสิ่งที่ควรละ บำเพ็ญสิ่งที่ควรบำเพ็ญ สิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่ยังไม่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เราก็ป้องกันไม่ให้มันเกิด ที่เกิดขึ้นแล้วก็พยายามละพยายามขจัดให้ได้ สิ่งที่ดีงามที่ยังไม่เกิดก็พยายามละพยายามขจัดให้ได้ สิ่งที่ดีงามที่ยังไม่เกิดก็พยายามสร้างให้มีขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็บำรุง พยายามทำให้มาก เจริญให้มาก ให้ถึงพร้อม นี่ก็เป็นความเพียรในเรื่องของตัวเอง ในเรื่องการสัมพันธ์กับคนอื่น สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ทุกวันนี้รู้สึกว่าชาวพุทธเรามีน้อย แต่ “ชาวพูด” มีมาก เราพูดมากไป แต่ทำน้อยไป ต้องการให้ลูกเคารพเราแต่เราไม่ทำสิ่งที่น่าเคารพ ไม่พูดสิ่งที่น่าเคารพ ต้องการความเคารพแต่ไม่ต้องการเป็นที่เคารพ แล้วมีแต่บนว่าทุกวันนี้ลูกไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่เลย บุญคุณของพ่อแม่เป็นสิ่งที่เราจะตอบแทนได้ยากมาก แต่ในที่นี้ พ่อแม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่ควรแก่ชื่อและตำแหน่งว่าพ่อแม่ ถ้าเราไม่ทำหน้าที่เป็นพ่อที่ถูกต้อง เราก็ไม่เป็นพ่อ เราไม่ทำหน้าที่แม่ เราก็ไม่เป็นแม่ ถ้าเราไม่เป็นแม่ด้วยการกระทำ ไม่เป็นพ่อด้วยการกระทำ แล้วเราจะไปเรียกร้องความกตัญญูกตเวทีจากลูกได้อย่างไร อันนี้ก็เป็นข้อคิดเหมือนกัน เราเป็นอะไร เราก็เป็นด้วยการกระทำ เราเป็นชาวพุทธก็เหมือนกัน เราไม่ใช่ชาวพุทธเพราะบัญชี เราไม่ใช่ชาวพุทธเพราะอ้างชื่อว่าเป็นชาวพุทธ เราไม่ใช่ชาวพุทธโดยสายเลือด ทุกวันนี้มีหลายคนบอกว่าฉันเป็นชาวพุทธโดยสายเลือด อาตมาเคยยกตัวอย่างโดยสมมติว่าเราอยากเป็นหมอแล้วเราไปเสนอตัวที่โรงพยาบาล เขาถามว่าจบมาจากไหน จบมาจากศิริราชหรือจบมาจากจุฬาฯ เราบอกว่าไม่ได้จบมาจากไหน แล้วคุณเป็นหมอยังไง เป็นหมอด้วยสายเลือด พ่อเป็นหมอ แม่เป็นหมอ ฉันเป็นหมอเพราะพ่อแม่ฉันเป็นหมอ อันนี้เราคงจะทำงานกับเขาไม่ได้ เขาไม่เอาหรอกอย่างนี้ คือเราเป็นอะไร เราก็เป็นด้วยการกระทำ เราเป็นชาวพุทธด้วยการกระทำ มีความพากเพียรพยายามด้วยความจริงใจที่จะแสวงหาความจริง ที่จะปล่อยวาง สิ่งที่ไร้แก่นสารสาระในชีวิต ที่จะละสิ่งที่ท่านแนะนำให้เราละและบำเพ็ญสิ่งที่ท่านสอนให้เราบำเพ็ญ อย่างนี้เรียกว่าเป็นชาวพุทธ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีกิเลส ก็มีเหมือนกัน ก็ธรรมดา แต่เราไม่หมกมุ่นในกิเลสของตัวเอง เราต้องพยายามกำหนดรู้กิเลสว่าเป็นกิเลส และต้องพยายามฝืนพยายามอดทนต่อกิเลส
ในชีวิตของชาวพุทธต้องพร้อมด้วยการให้ทาน ด้วยการรักษาศีล และด้วยการภาวนา ทีนี้เรื่องการภาวนาเป็นเรื่องที่สำคัญ คือเรามักจะมีความอยาก มักจะมีความต้องการ ความวิตกกังวล ความหวาดกลัวหลายๆอย่างที่เราไม่ยอมรับที่มันคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่ว่ามันมักจะออกในการกระทำและการพูดของเราโดยที่เราไม่รู้สึกตัว ในทางพระพุทธศาสนาเรามีการสอนเรื่องทางสายกลาง ทางสายกลางก็อยู่ที่การกระทำ การพูด การคิด ที่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากความบีบคั้นของกิเลส แต่ทางที่เราเรียกว่า สุดโต่ง ก็มีทางแห่งการหมกมุ่นกับทางแห่งการเก็บกด เรามีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาเก็บกดก็สุดโต่ง หมกมุ่นก็สุดโต่ง ทางสายกลางก็รับรู้ รับรู้แล้วอดทน อดทนจนกระทั่งสิ่งนั้นหมดฤทธิ์ แล้วก็เปลี่ยนแปลง แล้วก็ดับไป
ทีนี้ถ้าเรายังปล่อยวางไม่เป็นหรือไม่มีการฝึกอบรมในการปล่อยวางก็ยากที่เราจะอยู่ในทางสายกลางได้ คือ จิตจะเอียงไปทางเก็บกด หรือเอียงไปทางหมกมุ่น ถ้าเราเก็บกดหรือหมกมุ่นแล้ว จะไม่สามารถที่จะเห็นอารมณ์ของเราตามความเป็นจริง ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงแนะนำให้เราฝึกจิตให้มีความสงบ ความสงบที่เราต้องการนี้ไม่ใช่ความสงบซื่อๆ แต่เป็นความสงบที่ประกอบด้วยปัญญา ความสงบที่ควรแก่การงาน งานที่นี้ คือ การพิจารณาการสอดส่อง ดูแลอารมณ์ของตัวเองเพื่อจะได้เห็น เพื่อจะได้สัมผัสความจริงที่ว่าอารมณ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่อารมณ์ เมื่อเราเห็นอารมณ์ตามความเป็นจริงแล้ว เราจะได้ปล่อยวาง เราจะมีความรู้สึกหน่าย หน่ายในความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ถ้าจิตยังไม่สงบ เราไม่มีการฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวที่เรียกว่าสมถะกรรมฐาน จิตจะไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะปล่อยวางอารมณ์ได้ พอที่จะเห็นอารมณ์ตามความเป็นจริงได้ อานิสงส์ของการฝึกสมาธิในลักษณะนี้เราจะเห็นได้ชัดในการเลี้ยงลูกด้วย เพราะว่าคนที่ยังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่เห็นตัวเองมักจะใช้ลูกเพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่ใต้สำนึกของตัวเอง เช่น เรากลัวตาย แล้วก็ต้องการให้ลูกเหมือนที่เราเรียกว่าสืบตระกูล ทีนี้ส่วนมากที่เราอยากมีลูกสืบตระกูลก็เพื่อเอาชนะความตาย อันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ที่จะมีปัญหาคือว่าถ้าเราเคยมีความผิดหวังในชีวิตแล้วเรามีสิ่งที่เราอยากได้ แต่เราไม่ได้ บางทีเราจะมองลูกว่า ลูกเป็นตัวแทนของเรา เราจะให้ลูกทำในสิ่งที่เรามุ่งหวัง ในลักษณะอย่างนี้จะเห็นว่าเราไม่มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ของลูก แต่เราเห็นลูกเป็นสมบัติของตน การเห็นลูกเป็นสมบัติของเรานั้นเป็นบาป เราต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของลูก ลูกก็เป็นคน ลูกก็เป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ช่วยตัวเองยังไม่ค่อยได้ เราต้องเป็นพระพรหมของลูก เราก็ต้องเป็นพ่อแม่ของลูก และเราต้องเป็นเพื่อนของลูกด้วย เราต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่สำคัญต้องเป็นกัลยาณมิตร คือ เราต้องพยายามปลูกฝังศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ในจิตใจของลูก และเราต้องมีปัญญาในการเลี้ยงลูกด้วย บางคนก็มองการเลี้ยงลูกเหมือนกับการลงทุน เหมือนกับคนบางคนทำบุญด้วยหวังว่าจะได้นั่นจะได้นี่ อย่างที่เขาเรียกว่าเป็นการทำบุญค้ากำไร ทีนี้การเลี้ยงลูกค้ากำไรก็เหมือนกันคือว่าเราเลี้ยงเขาก่อน เวลาแก่เขาก็จะเลี้ยงเราแทน อันนี้เขาเรียกว่าเป็นกิเลสและเป็นบาป แต่ขอให้เข้าใจว่า คำว่าการที่เรียกว่าบาปไม่ใช่เป็นการด่า หรือการประณาม แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าถ้าเรามีความคิดอย่างนี้แล้ว ความรู้สึกของเราต่อลูกจะไม่บริสุทธิ์ จะมีกิเลส จะมีความอยากได้แอบแฝงอยู่ในความรักนั้น จะไม่เป็นความรักที่ประกอบด้วยธรรมที่เราเรียกว่าเมตตา เราต้องมีความหวังดีต่อลูก แต่ต้องพยายามงดเว้นจากความหวังดีจากลูกหวังดีต่อแต่อย่าหวังดีจาก อันนี้ก็เป็นข้อคิดอีกข้อหนึ่งนะ “หวังดีต่อ” แต่ “อย่าหวังดีจาก” เราเลี้ยงเขาเพราะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยง และเราจะต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด เพราะว่า การทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดคือการปฏิบัติธรรม ในฐานะที่เราเป็นฆราวาส เราก็เอาสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเราเป็นที่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าเราจะเลี้ยงลูกให้โตก่อนแล้วจึงค่อยปฏิบัติธรรม เราจะทำนั่นทำนี่ก่อนเราจึงค่อยปฏิบัติธรรม พรุ่งนี้เราจะปฏิบัติธรรม วันนี้ยังไม่ไหว ยังยุ่งอยู่ ยุ่งอยู่กับลูก ยุ่งอยู่กับงาน ยุ่งกับนั่น ยุ่งกับนี่ คือสิ่งที่จะมายุ่งกับเรา นี่ไม่มีวันจบ ไม่มีวันสิ้นสุดหรอก ถ้าไม่เป็นลูก ก็เป็นหลาน เป็นนั่นเป็นนี่อยู่ตลอดเวลาเลย คือ การที่จะรอให้สิ่งที่มายุ่ง สงบลงก่อนจึงจะปฏิบัติธรรม ก็เหมือนกับว่าเราจะรอให้ทะเลหมดคลื่นก่อน เราจึงปฏิบัติธรรม มันไม่หมดหรอก ความสงบคือ ความพร้อมที่จะปฏิบัติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับศรัทธาภายในจิตในใจของเรา นี่แหละ คือ การปฏิบัติธรรม การเลี้ยงลูก คือการปฏิบัติธรรมและการเลี้ยงลูกกับการเลี้ยงตัวเองต้องควบคู่กันไป เหมือนกับประโยชน์ท่านประโยชน์ตน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านนี้อันเดียวกัน เราสร้างประโยชน์ตนให้ถูกต้อง ก็เป็นการสร้างประโยชน์ท่าน ในขณะเดียวกัน การเลี้ยงลูกก็คือ การเลี้ยงตัวเอง การเลี้ยงตัวเองก็เป็นการเลี้ยงลูก
ในการเลี้ยงลูก การช่วยเหลือลูกต้องประกอบด้วยปัญญาเหมือนกัน ในขั้นพื้นฐานต้องมีขอบเขต คือ ศีล ทุกวันนี้โดยเฉพาะในเมืองไทยมีคนทุจริตมากที่อ้างว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อลูก อ้างความรักลูกเป็นเหตุให้ทำบาป ความรักลูกอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เรารักลูกและความช่วยเหลือที่เราจะให้แก่ลูกต้องอยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรม แล้วเราไม่ควรจะช่วยจนเกินไป ถ้าเราเปรียบเทียบสังคมไทยกับสังคมตะวันตกรู้สึกว่าสังคมไทยนี่อบอุ่นกว่ามาก แต่บางทีมันอบอุ่นจนกระทั่งลูกหายใจไม่ออกเลย ลูกไม่มีความคิดริเริ่ม ไม่มีความคิดที่จะช่วยตัวเอง อาศัยแต่พ่อแม่ บางทีเด็กในเมืองไทย บางรายอายุ ๒๐-๓๐ ก็เหมือนกับเด็กฝรั่ง ๑๕-๑๖ ปี อย่างนี้เป็นข้อบกพร่องของพ่อแม่ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องลูกชายรู้สึกว่าลูกชายเสียเปรียบผู้หญิงในเมืองไทย เพราะว่าลูกชายมักจะทำอะไรตามใจ พ่อแม่เอาใจลูกชายมากเกินไป จนกระทั่งไม่มีความอดทน
ขันติ เป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นพ่อแม่ด้วยความรักที่ขาดปัญญา ทำลายหรือบั่นทอนขันติของลูกชายหรือของลูก ลูกเลยไม่มีโอกาสที่จะได้สร้างเครื่องเผากิเลส อย่างนี้ก็เลยเสียเปรียบทางธรรม ลูกสาวค่อยยังชั่วหน่อย ผู้หญิงต้องมีความอดทนโดยธรรมชาติ พ่อแม่ก็ไม่ค่อยเอาใจใส่เท่าผู้ชาย อาตมาสังเกตที่วัดป่านานาชาติ ถ้าผู้ชายมาจากกรุงเทพฯอยู่ไม่ค่อยได้ นอนกับพื้น ทำอะไรๆ ไม่เหมือนที่บ้าน ไม่มีใครซักผ้าให้ ไม่มีใครรับใช้ อยู่ไม่ได้ ผู้หญิงสบาย อันนี้อยู่ที่การเลี้ยงลูกเหมือนกัน เราต้องสงสารผู้ชาย ทุกวันนี้ผู้ชายเสียเปรียบ
ท่านต้องรู้จักความพอดี และต้องมีปัญญาเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ทุกๆเรื่องต้องมีปัญญากำกับอยู่ ในการเลี้ยงลูกนี่ก็ต้องสร้างปัญญา ปัญญามันจะเกิดมาจากไหน เราก็มีอยู่ทุกคน ปัญญาเรามีอยู่ทุกคน แต่โดยปกติปัญญาดั้งเดิมของเราถูกความคิดปรุงแต่ง หรือถูกอารมณ์ที่ผิวเผินทับถมไว้
ถ้าเราฝึกสมาธิเป็นประจำ จนกระทั่งจิตใจเราถึงความสงบ ปัญญาที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติจะผุดขึ้นมา เหมือนกับเรามีอาจารย์อยู่ในใจเหมือนกับเรามีพี่เลี้ยงอยู่ในใจ ปัญญาไม่รู้มาจากไหน มันมีอยู่ของมัน แต่ปกติเราฝังมันอยู่ในดิน เพราะเรามัวแต่สนใจเรื่องโลกภายนอก เรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่องนั่นเรื่องนี่ แต่เมื่อปัญญาเกิดขึ้นในลักษณะนี้เราจะมีความรู้สึกต่อสิ่งที่เหมาะสม เหมือนกับลูกบางทีเราต้องปลอบใจ บางทีต้องให้กำลังใจ บางทีก็ต้องว่าเขา บางทีอาจจะต้องตีเขาก็ได้ แต่สิ่งที่เหมาะสมนี้จะหาได้จากที่ไหน อ่านตำราอ่านหนังสือไม่พบหรอก มันต้องรู้อยู่ในใจ เวลาควรพูดก็มี เวลาไม่ควรพูดก็มี เวลาควรห้ามก็มี เวลาควรอนุญาตก็มี ใครจะมาบอกเรา ไม่มีใครหรอก นอกจากสติปัญญาที่มีอยู่ในใจ อันนี้ตัวที่พึ่ง เป็นที่พึ่งอันแท้จริง และเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง บางทีเราอยากจะคุมลูก ไม่อยากให้ลูกมีความทุกข์ ไม่อยากให้ลูกผิดพลาด แต่บางทีต้องยอมรับ ต้องยอมให้ลูกผิดพลาด ต้องยอมให้ลูกเป็นทุกข์ ให้ลูกเห็นเอง เมื่อให้เขาเห็นเองแล้ว เขาก็จะเลิกเอง เมื่อก่อนอาตมาเคยทะเลาะกับโยมพ่อมากเรื่องนี้ ถึงโยมพ่อจะห้ามไม่ให้ทำเราก็ไม่ยอม พ่อก็ไม่พอใจ พ่อก็น้อยใจว่าลูกไม่เชื่อฟังพ่อ พ่อก็เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี พ่อจึงไม่อยากให้ลูกไปยุ่งกับสิ่งนี้ เชื่อพ่อเถอะ อาตมาก็เคยบอกว่าลูกเชื่อพ่อ แต่ว่าถ้าลูกยังไม่สัมผัสเอง ลูกจะต้องมีความสงสัยอยู่ในใจ ไม่วันใดวันหนึ่งลูกก็จะต้องลอง เพราะว่าเราจะหมดความสงสัยด้วยคำพูดของคนอื่นไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นคำพูดของพ่อก็จะขอลอง เราจะควบคุมลูกจะป้องกันลูกทุกอย่างไม่ได้และลูกจะไม่ฉลาดด้วย บางทีต้องปล่อยให้ลูกเห็นเองรู้เองบ้าง และเราควรจะมองลูกว่าเป็นตัวแทนของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เราแผ่เมตตาขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขความเจริญ เราอยากจะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าเราช่วยไม่ได้เพราะเราอยู่บ้าน หรือเราอยู่ที่ทำงาน มีคนรอบข้างก็ไม่กี่คน เราจะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างไร เราก็ช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรารู้จัก แต่มีหลายคนที่บ่นว่าฉันแผ่เมตตาได้ดี แผ่เมตตาให้ทุกคน เว้นแต่คนที่อยู่ในบ้าน คนที่อยู่ใกล้ชิดรู้สึกว่าแผ่เมตตายาก ทำไมมันเป็นอย่างนี้ เพราะคนนี้แหละที่มากระทบกระแทก คนนี้ที่มา
ไม่ใช่ว่าพิมพ์ไม่จบ แต่เล่มนี้มีเนื้อหาถึงแค่นี้ค่ะ