เหวียนเต๋อชู เกิดในครอบครัวมั่งคั่ง เป็นลูกกำพร้าของเหวียนจิ่นอัน ชาวเมืองซีหยางโจวในมณฑลเสฉวน
เหวียนเต๋อชูเป็นเด็กซูบผอมขี้โรค อายุ 7 ขวบกำพร้าพ่อมารดานางเส้าสื้อ กังวลสุขภาพของลูกชายมาก ได้ยินคนแนะนำเอาไก่สาวอ้วนพีไปทำน้ำซุปให้เด็กกิน จะเพิ่มภูมิต้านทาน และบำรุงร่างกาย เนื่องจากทำซุปไก่แต่ละครั้งต้องใช้ไก่อ่อน 1-2 ตัว ดังนั้นนางเส้าสื้อ จึงเพาะเลี้ยงลูกไก่ไว้จำนวนมากวันๆ บ่าวไพร่ไปขุดหาตัวหนอนแมลง มด ปลวก มาเลี้ยงลูกไก่ขุนให้โตเป็นไก่หนุ่มสาว จะได้เป็นอาหารบำรุงชั้นเลิศของลูกชาย
จนกระทั่งเหวียนเต๋อชูอายุ 15 ปี นางเส้าสื้อก็เกิดโรคผิวหนัง สภาพคล้ายหนอนเจาะ ทั่วทั้งกายคล้ายมีหนอนแมลงมาชอนไช และมีไก่มาจิกตามผิวหนัง ทุกข์ทรมานจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้น แต่ก็ยังสั่งบ่าวไพร่ฆ่าไก่ทำอาหารเสริมอย่างปกติ
เต๋อชูเห็นเช่นนี้ ทราบว่าเป็นกรรมตามสนองของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงสั่งยุติการฆ่าไก่ และนำคุณแม่ไปดูสถานที่ฆ่าไก่ ปรากฏว่ามีขนไก่ และกระดูกกองเป็นเนินดั่งเช่นภูเขา
ถึงจะหยุดฆ่าไก่ แต่โรคของคุณแม่ก็รักษาไม่หายยิ่งนานวันยิ่งสาหัส ทุกข์ทรมานร้องระงมถึง 7 ปี ก่อนสิ้นใจนางเส้าสือมีเสียงร้องเช่นไก่ขัน ใช้มือสองข้างเกาทั่วร่างจนผิวหนังเลือดไหล และสิ้นใจอย่างน่าเวทนา
เต๋อชูเห็นการตายของคุณแม่ รู้สึกเศร้าเสียใจมากเพราะตัวเขาคนเดียวแท้ๆ ทำให้คุณแม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสุดท้ายต้องรับทุกข์แสนสาหัสเช่นนี้ จึงปฏิญาณตนว่าต่อไปจะงดเว้นการฆ่าสัตว์
เวลาผ่านไปปีกว่า ญาติผู้พี่ที่แต่งไปตระกูลเฉียน ชื่อหนิงกู ช่วงคลอดบุตรเกิดตกเลือดจนสิ้นชีพ และวิญญาณถูกจับไปถึงยมโลกตำหนักที่ 1 พญายมได้ตรวจทะเบียนรายชื่อผี พบระบุว่านางมีความผิดต้องสิ้นชีพ ด้วยการตกเลือดจึงสั่งยมทูตนำไปส่งตำหนักที่ 2 เพื่อพิจารณาโทษต่อไป
แต่เวลานั้น มีตุลาการท่านหนึ่งตรวจสมุดประวัติของนางหนิงกู จึงรีบกราบทูลว่า “นางเฉียนเหวียนสื้อผู้นี้ เคยแนะนำแม่สามีอย่าเผากิ่งไม้ทำลายรังมดสามครั้ง เคยแนะนำสามีพิมพ์บทงดเว้นการฆ่าสัตว์ในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร 5,000 ฉบับ ออกทุนพิมพ์พระสูตรปล่อยสัตว์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ 3,000 ฉบับ เทพเจ้าเตาได้รายงานให้สวรรค์รับทราบ และสวรรค์เบื้องบนได้อนุญาตเพิ่มอายุขัยแก่นางเฉวียนเหวียนสื้ออีก 35 ปี” เมื่อพญายมได้ยินเช่นนี้ก็พนมมืออนุโมทนา แล้วสั่งพนักงานเสื้อเขียวถือฉัตรพานางกลับสู่โลกมนุษย์
ช่วงเดินออกจากตำหนักใกล้ประตูสีแดง ได้ยินเสียงเรียก “หนิงกูช่วยข้า” หนิงกูหันไปเห็นผีที่ผมเผ้ารุงรัง ทั่วตัวเลือดไหลเกรอะกรังนางหนึ่ง คืออาสะใภ้เส้าสื้อ ที่ล่วงลับไปนั่นเอง ผีนางพูดไปร้องไปว่า “ข้าอยู่ในยมโลกรับทุกข์แสนสาหัส เมื่อเจ้าฟื้นคืนชีพแล้วช่วยสั่งลูกชายข้า ให้สร้างกุศลกรรมสัตย์จริง ช่วยไถ่บาปให้ข้า และข้าจะไปให้เข้าฝันเป็นการยืนยันความเป็นจริง
พูดจบ เห็นภูตผมแดงหน้าตาดุดัน มือถือง่ามเหล็กแทงคอของนางเส้าสื้อแล้วลากนางจากไป หลิงกูตกใจมากพลันวิญญาณกลับคืนสู่ร่าง ฟื้นคืนชีพมา
จากนั้นหลินกู นำเรื่องที่พบวิญญาณผีในยมโลกมาเล่าให้ผู้เป็นน้องเต๋อชูฟัง เต๋อชูรับฟังเช่นนั้น รีบจ้างคนมาสวดพระอภิธรรม ทำทักษิณานุประทานแก่แม่ผู้ล่วงลับ และตั้งใจไหว้พระไหว้เจ้าทุกวันขึ้น 1 ค่ำ และวันขึ้น 15 ค่ำของเดือนแต่เวลาผ่านไป 19 ปี ก็ยังไม่เคยฝันถึงคุฌแม่เส้าสื้อสักครั้งเลย
ภรรยาของเต๋อชูเป็นคนสกุลซือ เป็นตระกูลใจบุญ ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดมาล้วนละเว้นการฆ่าสัตว์ ชอบพิมพ์พระสูตรแจกจ่าย เต๋อชูไปธุระบ้านภรรยา ได้พบหนังสือเทวราชโองการโบราณเล่มหนึ่ง รู้สึกยินดี เลยนำกลับบ้านอ่าน และคัดลอกแจกเพื่อน เวลาปีกว่า คัดลอกหนังสือได้หนึ่งร้อยยี่สิบกว่าเล่ม และแจกจ่ายออกไปถึง 108 เล่ม
รัชกาลเฉียนหลงปีเกิงอู่ (ค.ศ.1750) วันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้าย เต๋อชูกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ ฝันเห็นคุณแม่เส้าสื้อมาลูบหลังเขา แล้วกล่าวว่า “ลูกข้ากตัญญูยิ่งเวลานี้ข้าได้พ้นโทษแล้ว ทั้งหมดล้วนอาศัยคุณงามความดีของลูกที่คัดลอกหนังสือเทวราชโองการ ออกแจกจ่ายชายหญิงที่อ่านหนังสือที่ลูกแจกแล้วรู้สำนึกมี 49 คน เวลานี้ท่านพญายมอนุญาตให้ข้ามาเข้าฝันลูก เพื่อยืนยันสิ่งที่ลูกทำได้เกิดประโยชน์ และท่านพญายมอนุญาตให้กลับคืนสู่ ณ ที่ฝังศพสั่งให้ไปเกิดในแดนบุญ ณ วันแรม 3 ค่ำยามชวด และลูกข้าก็ได้รับการเพิ่มอายุขัยจากสวรรค์ด้วย
เต๋อชูฝันเห็นแม่ รีบถามถึงผู้เป็นบิดาที่ล่วงลับไปแล้วด้วยอาการเศร้าโศก ท่านแม่ตอบว่า “พ่อเจ้าไปเกิดใหม่เป็นบัณฑิตยากจนคนหนึ่งนานแล้ว แต่เนื่องจากพ่อเจ้าหมั่นสร้างกุศล เขียนหนังสือเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมมาตั้งแต่เยาว์วัย เวลานี้เป็นคนที่ชื่อเสียงรุ่งโรจน์ มียศมีศักดิ์แล้ว”เต๋อชูถามต่อว่าคุณพ่อไปเกิด ณ แห่งหนตำบลใด แม่เส้าสื้อไม่ตอบ ผลักเต๋อชูจนตกใจตื่น
เวลานั้นภรรยาเต๋อชูอยู่ข้างกายพอดี เลยเล่ารายละเอียดในฝันให้ภรรยาฟัง แต่ภรรยาไม่เชื่อ กลับกล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนเกิดจากเจ้าคัดลอกหนังสือเทวราชโองการเป็นเหตุใจมารเข้าสิง จึงได้ฝันเช่นนี้”
ฟ้าสว่าง เต๋อชูไปยังสถานฝังศพของมารดาแต่เช้าจุดธูปต่อหน้าหลุมฝังศพ แล้วกล่าวอธิษฐานว่า “เมื่อคืนลูกได้ฝันถึงคุณแม่ มิทราบเป็นเรื่องจริงหรือไม่? ถ้าหากเป็นเรื่องจริงขอให้คุณแม่เข้าฝันลูกอีกครั้งจะได้หายความสงสัย”
กลับถึงบ้าน คืนนั้น (วันขึ้น 1 ค่ำเดือนอ้าย) เต๋อชูก็ได้ฝันถึงคุณแม่มาบ้านอีกครั้ง และชี้หน้าลูกสะใภ้ แม่นางซือด่าว่า“เจ้าไม่พอใจสามีคัดลอกหนังสือเทวราชโองการ ขโมยเอาหนังสือไปฉีกทิ้ง 5 เล่ม กุศลกรรมเกือบจะถูกเจ้าทำลาย อีกไม่นานเคราะห์กรรมกำลังจะมาหาเจ้าแล้ว ยังกล้ามายุยงให้สามีเจ้าเกิดความสงสัย เจ้าคือ หญิงอัปมงคล”
เต๋อชูตกใจตื่น รีบปลุกภรรยาตื่นมาถามหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องฉีกหนังสือ แม่นางซือตอบว่า “เจ้าน่าจะถูกผีเข้าสิง ฉันมีเหตุผล 3 ประการชี้แจงสิ่งที่เจ้าพูดไม่น่าเชื่อถือ
ข้อ 1. บ้านดิฉันเป็นครอบครัวงดเว้นการฆ่าสัตว์ ไม่เคยซื้อสิ่งมีชีวิตเข้าครัว การกระทำเช่นนี้ก็เฉกเช่นพระสงฆ์หรือภิกษุณี
ข้อ 2. บ้านเราวันนี้ไหว้พระ พรุ่งนี้ก็ไหว้พระ ทั้งยังเชิญภิกษุนักพรตมาสวดพระอภิธรรมขมากรรม สิ้นเปลืองเงินทอง ไฉนคนตายไปสิบกว่าปี แล้วยังรับทุกข์อยู่ในยมโลกแต่อานิสงส์จากที่เจ้าคัดลอกหนังสือไม่กี่เล่ม กลับช่วยท่านแม่พ้นทุกข์ได้ เป็นเรื่องเหลวไหล เช่นนี้เจ้าก็คือพระมหาเมตตาโพธิสัตว์นะสิ
ข้อ 3. เจ้าหาว่าฉันฉีกทำลายหนังสือ หนังสือทุกเล่มก็คัดด้วยมือของเจ้า แจกด้วยมือของเจ้า ที่เหลือก็เก็บด้วยมือของเจ้า ล็อคกุญแจด้วยมือของเจ้าแท้ๆ ฉันแม้แต่หนังสือยังไม่อยากมอง จะมาหาว่าข้าทำลายได้อย่างใดเจ้าเชื่อว่าท่านแม่มาเข้าฝันเจ้า ฉันว่าทั้งหมดเกิดจากเจ้าคัดลอกหนังสือเทวราชโองการจนมารเข้าสิงต่างหาก ไม่ใช่เป็นการฝันจริงฉันว่าอีกไม่นาน ช้าเร็วคงต้องบ้าแน่ๆ
เต๋อชูได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความลังเลใจ ไม่ทราบจะเชื่อใครดี คืนวันแรม 2 ค่ำ ผีนางเส้าสื้อก็เข้าฝันแม่นางหนิงกู
และเข้าฝันซือฟู่ ที่บ้านลูกสะใภ้ บอกเขาทั้งสองว่า ที่ลูกชายเกิดความลังเลไม่เชื่อมั่น ล้วนเกิดจากคำพูดของลูกสะใภ้และแล้วคืนนั้น ผีนางเส้าสื้อยังกลับบ้านเข้าฝันลูกชาย และพาลูกสะใภ้มาด่าต่อหน้าลูกชายว่า “สะใภ้เลวนี่นางลืมไปหรือว่าวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ของปีที่แล้ว เจ้าพานางโจวฟ่งกู คนข้างบ้านมาร่วมปักผ้า และนั่งโต๊ะเดียวกันอยู่ที่บ้าน เจ้ายังนำหนังสือเทวราชโองการเล่มหนึ่งสอดอยู่ใต้ลายปักรองเท้า พอถึงคืนวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 เจ้าโกรธสามีที่ไม่อนุญาตพานางฟ่งกูคนข้างบ้านเข้ามาในบ้าน เลยนำหนังสือ5 เล่มไปฉีกทิ้ง รุ่งเช้า วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 น้องชายเจ้าซือฟู่มาเยือนที่บ้าน เห็นหนังสือถูกฉีกขาด เลยแอบเอากระดาษห่อหนังสือเหล่านั้น แล้วบอกสามีเจ้าว่าจะเอาหนังสือไปแจก ซือฟู่กลับถึงบ้านใช้ความพยายามซ่อมปะหนังสือขึ้นใหม่ เขียนแต่งเรียบร้อยโดยไม่ตกหล่น แล้วนำหนังสือไปแจกนี่คือ กุศลธรรมของซือฟู่ และยมโลกได้บันทึกคุณงามความดีซือฟู่ไว้แล้ว ต่อมาเนื่องจากลูกชายข้าเก็บหนังสือและใส่กุญแจอย่างมิดชิด เจ้าจึงไม่สามารถนำไปทำลาย เวลานี้เจ้ายังมาพูดเท็จบ่ายเบี่ยงอีก ยังกล้ามาพูด 3 ข้อที่ไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งทำให้มีบาปมากขึ้นรู้หรือเปล่า เทพเจ้าเตาบ้านเราอนุญาตให้ผีร้ายเข้ามาก่อกวนในบ้าน เภทภัยกำลังมาเยือนข้าทนดูไม่ได้” พูดจบ นางผลักของหัวเตียงให้ตกหล่นแล้วเดินออกไป
ผัวเมียทั้งคู่ตกใจตื่น เต๋อชูรีบจุดตะเกียงถามหาความจริงจากภรรยานางตอบว่า “จะเชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มี”
เวลานั้นพลันเห็นเงาทมิฬพุ่งเข้าในเตียง นางรู้สึกหนาวสะท้านเลยรีบบอกสามีว่า “ต่อไป พี่ท่านก็ตั้งใจคัดหนังสืออีกหลายร้อยเล่มออกเผยแผ่่ เชื่อว่ามี ดีกว่าไม่เชื่อ”
เมื่อเต๋อชูได้ยินภรรยาพูดเช่นนี้ เข้าใจทันทีว่าภรรยาทำลายหนังสือเทวราชโองการนั้นเป็นจริง และแอบดีใจที่มารดาผู้บังเกิดเกล้าได้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ได้ไปผุดเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ยิ่งทำให้เขาเชื่อถือความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือเทวราชโองการมากขึ้น แต่เวลานี้ภรรยาเขากำลังตั้งครรภ์และเภทภัยกรรมตามสนองก็กำลังจะมาถึง ทำให้เขาทั้งดีใจทั้งกลัดกลุ้มอย่างบอกไม่ถูก
ในคืนนั้นเอง แม่นางซือเกิดอาการจับไข้ตัวร้อนและปวดหลังอย่างแสนสาหัส เต๋อชูรีบไปเชิญหมอสูติมารักษาหมอมาตรวจอาการคนไข้ แล้วว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับร่างกายภายใน ปฏิเสธการรักษาเต๋อชูไปเชิญหมออื่นมาตรวจใหม่ ต่างบอกว่าตำแหน่งที่ปวดบวมเปล่งคนไข้หน้าซีดปากคล้ำ ยิ่งช่วงใกล้คลอด เป็นช่วงอันตรายยากแก่การรักษาต่างปฏิเสธให้ยา
เต๋อชูอยู่ในช่วงกระวนกระวาย ยากที่ตัดสินใจนั้นน้องเมียชื่อซือฟู่ และญาติผู้พี่หนิงกูมาเยือนที่บ้าน เห็นคนไข้อยู่ในสภาพอันตรายเช่นนี้ ต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่างเล่าความฝันเมื่อคืน ปรากฏว่าสอดคล้องกันหมด และซือฟู่บอกกับเต๋อชูว่าที่ทำลายหนังสือเทวราชโองการ 5 เล่มนั้นเป็นเรื่องจริง บาปกรรมนี้ใหญ่หลวงนัก มีแต่อธิษฐานวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อภัย
เต๋อชูได้ฟังเช่นนั้น รีบรี่เข้าไปในครัว จุดธูปอธิษฐานต่อเทพเจ้าเตาว่า จะคัดลอกหนังสือเทวราชโองการ 100เล่มแทนภรรยา เพื่อชดเชยและขมาบาปที่เคยก่อ เมื่ออธิษฐานเสร็จ แม่นางซือก็ตื่นจากการหมดสติ รีบเข้าไปในครัว คุกเข่าต่อหน้าเทพเจ้าเตาแล้วกล่าวว่า ต่อจากนี้ไปจะเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเชื่อถือหนังสือเทวราชโองการจะนำเงินสะสมที่ได้จากงานปัก และนำของกำนัลที่มีค่าไปขาย เพื่อเป็นทุนจ้างคนคัดลอกหนังสือเทวราชโองการเพื่อชดเชย และขมาบาปที่ตัวเองก่อ เมื่อกล่าวคำอธิษฐานจบทันใดนั้น เห็นคนแต่งชุดโบราณใส่หมวกขุนนางเดินเข้ามาในบ้าน ใช้ชายเสื้อโบกไปที่เตียงนอน เงาทมิฬก็สลายไป
ตกบ่าย อาการตัวร้อนของแม่นางซือก็ลดลง ก้อนเนื้อแข็งบวมแปร่งที่แผ่นหลังแม่นางก็จางหาย และไม่ปวดอีกเลย
วันรุ่งขึ้น แม่นางซือได้คลอดบุตรเป็นชาย แม่ลูกอาการปกติ และแข็งแรงทั้งคู่
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เต๋อชูไม่กล้าเก็บเป็นเรื่องลับ หนังสือเทวราชโองการที่เต๋อชูได้คัดหลังจากเรื่องเกิดขึ้น หรือหนังสือเทวราชโองการที่เต๋อชูจ้างผู้อื่นคัดลอก ล้วนได้บันทึกเรื่องจริงนี้อยู่ท้ายเล่ม
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า แม่นางซือจากเป็นคนบาปของหนังสือเทวราชโองการ กลายเป็นผู้สร้างคุณูปการแก่หนังสือเทวราชโองการ และจะย้ำให้ทุกท่านทราบว่า ทุกท่านควรสำนึก ทุกท่านควรเชื่อถือคำสอนของหนังสีอเทวราชโองการ(บทความนี้บันทึกในท้ายหนังสือเทวราชโองการของอำเภอจุนอี้ )
ท่านจี้เลี่ยงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าผ่านอำเภอจุนอี้ อ่านท้ายเล่มของหนังสือเทวราชโองการไม่ปรากฏมีบทความตอนนี้ แต่ต่อมาผ่านมณฑลเจ้อเจียง เห็นหนังสือเทวราชโองการฉบับใหม่ ท้ายเล่มมีบทความตอนนี้พิมพ์เพิ่มเติม ข้อความเหมือนกัน รายละเอียดอาจแตกต่างเล็กน้อยจึงเขียนบันทึก ณ ที่นี้ เพื่อยืนยันเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องจริง