ช่วยคนไม่สำเร็จ พุทธานุภาพสู้กรรมานุภาพไม่ได้
คราวที่แล้ว พระจี้กงวิ่งเข้าไปกอดรัดผู้หญิงเอาไว้แล้วก็เอาปากกัดที่ต้นคอ หญิงสาวร้อนรนหน้าแดงกร่ำจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว ร้องตะโกนว่า "อย่า! อย่า! กลางวันแสกๆ พระทำไมไร้มารยาทเช่นนี้!" พ่อแม่สามีและคนใช้ก็ได้ยินกันหมด ต่างวิ่งออกมาดู ทั้งด่าทั้งตีพระจี้กง จี้กงยอมให้เขาตีเขาด่า เอาแต่กอดแน่นแล้วกัดที่ต้นคอ แต่พระจี้กงก็ทนเขาตีที่หัวไม่ได้ให้ปล่อยมือหลวมไป หญิงสาวจึงดิ้นหลุดไป เมื่อจี้กงเห็นหล่อนวิ่งเข้าไปแล้ว ถึงกับกระแทกเท้าว่า "น่าเสียดาย น่าเสียดาย! ยังมีอีกเส้นหนึ่งยังไม่ขาด" จี้กงยังยืนอยู่หน้าร้านไม่ไปไหน ดีที่เจ้าของบ้านไม่อยู่บ้าน จี้กงก็เข้าไปอีก คนใช้คนหนึ่งทนไม่ได้ ก็ร้องเรียกคนข้างเคียงให้มาช่วยเหลือจางถี่เตียนอาศัยช่วงว่างตอนนั้นรั้งจี้กงให้กลับออกมา ขณะนั้นถึงแม้จะมีคนข้างเคียงออกมาหลายคน ต่างรู้จักจี้กงดี และรู้ว่าท่านไม่ใช่พระไม่ดีจึงวางเฉยเสียไม่ติดตามไป จางถี่เตียนพาจี้กงวิ่งออกมาเสียไกลแล้ว จึงต่อว่าว่า "ท่านจะเพี้ยนก็น่าจะเพี้ยนให้น่าดูหน่อยทำไมเป็นพระเป็นเจ้าไม่มีเหตุผล ไล่กอดคอผู้หญิงทำขายหน้า" จี้กงได้แต่ถอนหายใจแล้วว่า "ท่านไม่รู้อะไร ที่คอผู้หญิงคนนั้นมีรอยถึงฆาต เป็นรอยของเส้นเชือก ข้าเกิดเมตตาสงสารจะช่วยกัดให้ขาด ข้ากัดขาดไปสองเส้นแล้วทนถูกพวกมารรังแกจนไม่ยอมปล่อย ช่วยเหลือคนไม่ถึงที่สุด น่าโมโหนัก" จางถี่เตียนก็ไม่เชื่อ
เวลาผ่านไปสองวัน จึงได้ถามข่าวคราว หญิงสาวผู้นั้นได้ทะเลาะ กับสามีแล้วฆ่าตัวตาย ปรากฏว่าเชือกที่ใช้แขวนขาดไปสองเส้น ยังเหลืออีกหนึ่งเส้นไม่ขาดจึงสิ้นใจตาย จึงได้รู้ว่าธรรมานุภาพของพระจี้กงไม่ผิดพลาด
กล่าวถึงวันนั้น วันที่สองพระจี้กงและจางถี่เตียนวิ่งจนรู้สึกร้อนจึงเข้าไปในร้านเหลา สองคนดื่มคนละไม่กี่จอก แล้วพูดเป็นโฉลกว่า
"เช้าก็ดื่ม เย็นก็ดื่ม ดื่มจนลำคอลื่น ดื่มจนหนังท้องตึง ดื่มจนตาเลือกขาว ดื่มจนจมูกเห่อแดง
บางทีดื่มสามลิตร บางทีเป็นทะนาน บางทีเหมือนปลาวาฬเขมือบ บางทีเหมือนมังกรดูด บางทีแค่กระปุกข้างรั้ว บางทีก็เป็นกองไห
ดื่มอย่างรวดเร็ว ปานดาวตก ดื่มอย่างเนิ่นนาน ปานลำธารไหลไม่หยุด ดื่มจนแห้งผากปานททะเลทรายฝุ่นกระจาย ดื่มจนเต็มอิ่มปานแม่น้ำฮวงโหเต็มตลิ่ง ความสวยงามดุจอัญมณีฉายแสง กลิ่นหอมปานน้ำอมฤตที่รู้ใจสนิทคือส่าเหล่า พูดถึงเพื่อนกองขยะไม่เคยขัดข้องเลย
พอยกแก้วขึ้นอวัยวะทั้งห้าชื่นฉ่ำ ยังไม่ทันถึงปากน้ำลายก็ยืดยาวสามฟุตคิดแต่ยอมให้ผู้อื่นเลี้ยงแก้กระหาย ยังไม่เคยเป็นเจ้ามือเลี้ยงตอบแทนเขา เมาล้มที่ถนนบ้างตามตรอกบ้าง เหมือนกับพระที่ขาดศีลเมาแล้วตื่น ตื่นแล้วเมา ละอายต่อพุทธานุภาพ จักรพรรดิ์องค์เจ้าต้องการให้ข้ามาโปรดดวงวิญญาณ คัดเลือกร่อนตะแกรงออกมา ตามแต่ปากท้องจะฉัน พระสงฆ์องค์เจ้าชั้นสูงต้องการให้ข้าเขียนใบฎีกาถ้าไม่มีสักกาให้ข้าหนำใจ
ร่าเริงบันเทิงใจ สบายอกสบายใจ นับว่าเมามาตลอดชีวิต มึนๆ ทึมๆ ไม่รู้ว่าตื่นสักครึ่งวันเป็นอย่างไร อาศัยสภาวะนี้ทั้งยิ้มทั้งว่าคติธรรมอาศัยสภาพนี้ทิ้งรอยแห่งความพิเรน
คิดคำนึงดูแล้ว อันโพธิจิต นับว่าเหนื่อยเปล่าๆ คิดดูอีกทีพลานุภาพแห่งพระกวนอิมมีประโยชน์อันใดต่อคนบ้าง อยู่ในโลกนี้ก็มีแต่ความมืดมัว สู้ดับขันธ์ให้เร็วกว่านี้ไม่ดีหรือ ถึงแม้จะพูดว่ามีชีวิตอยู่ดีกว่าตาย ที่จริงก็คือเคลื่อนไหวมีแต่ความว่างเปล่า ความสงบนั้นเป็นความจริง พอปล่อยวางมีแต่มือว่างเปล่าสองข้าง บุปผาร่วง นกร้องไห้ หากไม่รู้เวลาเหล้าหมดแขกย่อมสลาย ก็ถูกคนเขาตวาดว่าเอา
ความสวยสดงดงาม จะพร่ำรำพรรณถึงไหน สวนสำราญสุราหอมกรุ่น หยุดคุยว่าไม่มีที่จะเปรียบปานได้แล้ว ขนมหวนรสอร่อยแม้หวานหอมดั่งขนุนก็เพียงคำแรก พอรับประทานต่อคงไม่ต่างกับน้ำในคลอง" จี้กงกล่าวจบแล้วยิ้ม วางแก้วลงแล้วลุกขึ้น จางถี่เตียนเห็นเขาไม่อยากดื่มก็ไม่คะยั้นคะยอ จ่ายเงินแล้วก็เดินออกจากร้านพลางว่า "ท่านไม่พอใจจะดื่มเหล้า ก็ไปเดินชมทิวทัศน์กันเถอะ" สองคนก็จูงมือกันไปยังริมทะเลสาบ ทอดน่องไประหว่างหลิวตามริมเขื่อน แลดูเขาที่สะท้อนอยู่บนทะเลสาบอันราบเรียบ ธรรมชาติทำให้จี้กงบรรลุจิตจึงกล่าวเป็นโฉลกว่า
"ขุนเขาดั่งโครงกระดูก แววตาดั่งสายนที เผยให้เห็นความสวยงามของหญิงสาว รอยยิ้มดังบุปผา เสียงเพลงดังนกน้อย เป็นโอกาสแก่ชายหนุ่มเที่ยวเตร็ดเตร่
ถึงแม้มีเยื่อใยรัดรึงคน น้ำคงเขียวใสภูเขาคงเขียวขจี อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ถึงไม่ตั้งใจจะมาส่งข้า บุปผาก็ต้องร่วงหล่น นกน้อยร้องไห้ ถึงจะรั้งรอก็มิอาจจะอยู่ได้อีก
โชกโชนกับความมั่งมีศรีสุข ได้กลืนกินชีวิตของคุณชายหนุ่มนับจำนวนไม่ถ้วน ฟังเพลงจากเรือสำราญ ไม่ต่างอะไรกับเมฆหมอกที่ลอยผ่านตา หอนารีระบำกรีดกราย ไม่ต่างไปจากนางนวลบนผิวน้ำ
เขาอยู่มานมนาน ได้รับรสชาติมามากมาย พระชราเพิ่งมา เฟื่องฟูไม่เบา ท่านแม้จะทิ้งไป แล้วเราจะอาลัยทำไม ยืนอยู่ที่นี่ หากแต่กายว่างอยู่คงจะต้องหลับตาลงในไม่ช้านี้
เฮ้ย !
มิใช่พระชราจะไม่ชอบภูเขาลำเนาไพร ที่ลืมภูเขาลำธาร เพราะดูจึงเห็น
ไม่สู้ดูแล้วไม่เห็น"
ฤดูนี้อากาศร้อน มีชายผู้หนึ่ง หาบน้ำผักดองมาขาย จี้กงจึงพูดกับจางถี่เตียนว่า "น้ำผักดองนี้อร่อย ท่านจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงแขกไหม" จางถี่เตียนว่า "เรื่องเล็กน้อย หากท่านต้องการข้าพเจ้าจะจ่ายเงินเอง" ชายผู้นั้นตักให้หนึ่งชาม จี้กงดื่มสองสามคำก็หมดชาม จึงเรียกมาอีก จางถี่เตียนว่า "ของพวกนี้มีคุณสมบัติเย็น เกรงว่าจะทำให้ท้องเสีย ไม่ควรดื่มมาก" จี้กงว่า "ดื่มอร่อยดีไปยุ่งอะไรกับท้องล่ะ" ว่าแล้วก็ดื่มอีกหลายชามจนพร่องไปครึ่งถัง จากถี่เตียนจ่ายเงินแล้ว เห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้ว กำลังจะส่งจี้กงกลับวัด ก็เพราะพอดีเฉินบ้วนฝ่ามาตามหาจี้เตียนดังนั้นจึงแยกกันกับจางถี่เตียนขึ้นเรือกลับวัด เมื่อถึงวัดก็เข้าห้องนอนเลย จนกระทั่งยามสอง ได้ยินเสียงในท้องครืดคราด จึงร้องเรียกเฉินบ้วนฝ่าว่า "ท้องข้ารู้สึกพิกล เห็นทีต้องช่วยพยุงเข้าไปที่ห้องน้ำหน่อย" เฉินบ้วนฝ่าผลุนผลันลุกขึ้นแล้วพยุงเขาลงจากเตียง พอเดินมาถึงหน้าประตู จี้กงร้องลั่นว่า "แย่แล้ว!" ปรากฏว่าถ่ายพรวดๆ ออกมา บังเอิญข้างๆ มีคนงานกำลังเก็บกวาดพื้นอยู่ไม่ได้ระมัดระวัง ถูกถ่ายรดเต็มหน้าเต็มหัวไปหมด หัวเสียร้องขึ้นว่า "รู้ว่าถ่ายท้อง ก็น่าจะอดกลั้นไว้หน่อย ทำไมจึงถ่ายรดหัวรดหน้าแบบนี้!" จี้กงรู้ว่าไร้เหตุผล จึงพูดอย่างระมัดระวังว่า "พี่ชายโปรดอภัย เพราะอดกลั้นไม่อยู่จริงๆ ขออภัย ขออภัย!" คนงานก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ไปชำระล้าง
ปรากฏว่าจี้กงถ่ายท้องทั้งวันไม่ได้หยุด นอนได้ประเดี๋ยว ท้องก็มวนขึ้นมา จนกระทั่งรุ่งเช้า ก็ฉันอาหารไม่ลง เจ้าอาวาสซ่งรู้เข้าจึงรีบเข้ามาดู แล้วพูดว่า "จี้กงท่านปกติแข็งแรงมาก ทำไมล้มป่วยเพียงวันเดียวก็ทรุดโทรมขนาดนี้" จี้กงก็ไม่ตอบคำถาม แต่กล่าวเป็นโฉลกขึ้นว่า
"แข็งแรงๆ มีอะไรเหลือ เพียงแต่หน้าตาที่อยู่ต่อหน้าคน ข้าฯ รู้น้ำจะแห้งขอด ภูเขาจะถล่มทลาย จะมีเลือดเนื้อสังขารถึงหกสิบปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงหรือ กระดูกแหลมๆ สักกี่ท่อน ผืนหนังเหี่ยวๆ ผืนหนึ่ง เมื่อไม่สามารถอยู่เสพสุขก็ให้มันได้อยู่สงบ แล้วจะทุกข์ไปใยที่ต้องหิว ทนหนาว ทนวิ่งแล่นให้มันต่ำต้อยดูหรือว่าแท้ที่แท้ ปลอมไม่ปลอม วิถีแห่งทางโลกดูยาก ที่เปรี้ยวก็เปรี้ยว ที่เค็มก็เค็ม จิตใจก็เอือมระอา
เมื่อตื่นจากความฝันแล้ว ก็มิอาจรั้งรอให้อยู่ได้แม้ครึ่งชั่วยาม เห็นได้ตลอดแล้ว แม้ร้อยปีก็ยังจำกัด ! สู้ปิดบังคนแล้วรีบไป ความปิติแสวงหาได้เองในความสงบ ขอความเข้มแข็งเหมือนชีวิตอยู่ โลกที่ต่อสู้กัน กล่าวโทษกันในความเอ็ดอึง
คิดไวกลับไป มิใช่การเร่งรัดที่กำหนดไว้ อยากจะกลับคืนสู่ความดั่งเดิม เป็นการยินยอมที่แท้ของตนเอง เฮ้ย!
พายุหิมะมาแล้ว แดดที่ร้อนจากไป เย็นกับอุ่น ศิษย์รู้อยู่กระปุกแห้งขอดแล้ว ไหก็หมดเกลี้ยงแล้ว เมาหรือตื่น ขออาจารย์อย่าได้ขอร้องเลย"
เจ้าอาวาสซ่งฟังแล้ว ถอนหายใจด้วยความยกย่องว่า "การไปการมาของจี้กงนั้นชัดแจ้ง ธรณีสงฆ์ได้เพิ่มสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกเรื่องหนึ่ง อย่าได้ฝืนใจท่านเลย ช่วยประคองท่านไปพักผ่อนยังห้องอันเล้อถังเถิด!" เฉินบ้วนฝ่า ได้ยินว่า อาจารย์จะอำลาจากโลกไป ได้แต่เฝ้าร้องไห้ จี้กงว่า "เจ้าไม่ต้องร้องไห้ ข้าทำให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยเที่ยวตามหาในยามปกติในยามเมมาเจ้าก็เฝ้าปรนนิบัติ วันนี้เจ็บป่วยก็ยังให้เจ้าเก็บกวาด เจ้าขันแข็งวิริยะมาตลอด โดยไม่เกลียดคร้าน นับว่ายากที่มีอย่างเจ้า เจ้าขอกราบข้าเป็นอาจารย์ต้องการให้ถ่ายทอดวิชาให้ ข้าเองก็มัวห่วงแต่ดื่ม ไม่มีวิชาจะถ่ายทอดให้ จะเอาความวิกลและการดื่มเหล้า กลับกลายเป็นทางผิด ทำให้ผิดหวังตลอดชีวิต ทำให้เสื่อมกฎระเบียบของพุทธศาสนา เจ้าสู้ไปเอากระดาษมาใบหนึ่งเถอะ ให้ข้าได้เขียนหนังสือให้เจ้าไปหาขุนนางหวัง เพื่อขอใบสุทธิมาบวชพระให้เรียบร้อย จะได้เสร็จสิ้นในชีวิตเจ้าเถอะ!" เฉินบ้วนฝ่าได้ฟังแล้วก็ร้องไห้แล้วว่า "อาจารย์อย่าได้เปลืองแรงเลย ขอเพียงให้ท่านหายไข้เสียก่อน ค่อยขอใบสุทธิก็ไม่สายไป" จี้เตียนว่า "ข้าจะหยุดอยู่แล้ว รออีกไม่ได้แล้ว รีบเอากระดาษมา!" เฉินบ้วนฝ่าเห็นอาจารย์เร่งรัด ก็เดินออกมาปรึกษากับพวกพระ พวกพระว่า "อาจารย์จะขอใบสุทธิให้เจ้า ท่านเป็นพระผู้ใหญ่จะไม่มีอัฐบริขารหรือ แม้ไม่มีในวัดก็อาจฝากให้กับญาติโยมที่สนิทก็ได้ ควรให้ท่านรู้สติเพื่อให้ท่านเขียนหลักฐานไว้ ภายหลังมรณภาพแล้วจะได้ไปขอคืนได้" เฉินบ้วนฝ่าสั่นศีรษะว่า "อาจารย์ข้าเมื่อมาแล้วก็ไปไม่เคยเก็บอะไรไว้จะมีได้อย่างไร" ผู้ดูแลวัดว่า "อาจารย์ของเจ้าสนิทกับสำนักราชวัง ตำหนักสิบหก มีขุนวังตั้งยี่สิบสี่ท่าน เศรษฐีอีกสิบแปดคน ยังพูดว่าไม่มีอัฐบริขารฝากไว้ ถึงแม้ไม่มีก็ต้องให้ท่านขออัฐบริขารมาให้เจ้า หากเจ้าไม่กล้าพูดก็เอากระดาษมาอีกใบ ให้ข้ารับหน้าพูดกับท่านจี้กงเอง"
เฉินบ้วนฝ่าเชื่อฟัง ก็นำกระดาษมาสองใบ วางไว้ข้างหน้าจี้กง จี้กงเอามาใบหนึ่งเขียนถึงขุนนางหวังเพื่อขอใบสุทธิ ก็ยังมีกระดาษเหลืออยู่อีกใบจึงถามว่า "กระดาษอีกแผ่นจะเขียนอะไร" เฉินบ้วนฝ่าได้แต่หลั่งน้ำตาไม่พูดไม่จา ผู้ดูแลก็ยืนอยู่ข้างๆ จึงพูดแทนขึ้นมาว่า "เฉินบ้วนฝ่าบอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ท่านมาตลอด ตอนที่มาครั้งแรก ก็ยังไม่ได้รับอะไรเลยได้แต่หวังให้อาจารย์กับศิษย์ยู่กันนานๆ ค่อยๆ รับไว้ โชคไม่ดีที่อาจารย์เจ็บป่วยขึ้นมาเขาตัวคนเดียว เกรงว่าจะอยู่ลำบาก อยากขอให้อาจารย์เขียนหนังสือ เพื่อขออัฐบริขารที่ฝากใครไว้ แล้วให้เขาไปขอไว้เป็นที่ระลึกสักอย่างสองอย่าง ขออาจารย์โปรดเมตตา" จี้กงฟังแล้วก็หัวเราะว่า "เขาต้องการอัฐบริขาร มีๆ ให้ข้าเขียนไปขอ" ผู้ดูแลแอบดีใจแล้วกล่าวว่า "อันนี้เป็นบุญของเฉินบ้วนฝ่า" จี้กงยกพู่กันลงมาเขียนว่า
ยามมาไม่ติดขัด ยามไปก็ไม่ติดขัด
หากต้องการอัฐบริขารของข้า ก็มีย่ามเปล่าอยู่สองใบ
จี้กงเขียนเสร็จ ก็วางพู่กันลงไม่พูดไม่จา ผู้ดูแลรู้สึกไม่มีอารมณ์ เฉินบ้วนฝ่าเอากระดาษสองใบ แล้วก็กลับไปห้องเจ้าอาวาส ให้เจ้าอาวาสดู เจ้าอาวาสเห็นแล้วก็ว่า "อาจารย์เจ้าเห็นธาตุทั้งสี่ว่างเปล่า ได้แต่ฝากคติไว้กับกลอนกับเหล้า จะมีอัฐบริขารอะไร เจ้านำหนังสือนี้ไปหาขุนวังหวัง เพื่อขอใบสุทธิ มันเป็นทุนของตัวเจ้า" เฉินบ้วนฝ่าตอบว่า "ขอรับ" เพื่อรีบๆ ไปขอใบสุทธิมารายงานให้อาจารย์ทราบ จี้กงก็เรียกเขาให้ไปรายงานแก่ขุนนางทุกๆ คนว่า ข้าจะกลับคืนสู่ตะวันตก (ดับขันธ์) ในวันที่ 16 เดือนห้านี้ ขอเชิญผู้อุปัฏฐากทุกท่านมาส่งด้วย เฉินบ้วนฝ่าแจ้งข่าวแล้วก็กลับมา ท่านจี้กงก็หลับไปเสียแล้ว วันรุ่งขึ้น ทันใดก็ได้ยินจี้กงร้องถึงไฟไร้นาม ทำให้พวกพระตกใจ คิดว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นอีก จึงรีบรายงานเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสกับเหล่าสงฆ์พากันมายังห้องอันเล้อถังเพื่อมาดู นั่นคือ "ไปมากระจ่างแจ้ง จิตไม่มืด ถอดหนังขนออกเปลี่ยนเป็นสุวรรณกาย" ที่สุดไม่รู้ว่าแท้จริงมีไฟเกิดขึ้นหรือไม่ โปรดติดตาม
อธิบายท้ายบท โดยพระอรหันต์จี้กง
1. บ้านขายของเก่า ลูกสะใภ้คนเล็กหน้าสะสวย พอเต้าจี้เห็นเข้าพอใจจึงกัดคอหล่อนเสียแน่น อันนี้มิใช่เกิดหน้ามืดตาลายหรอกนะ ที่แท้ในปัญญาจักษุของอาตมา ได้เห็นรอยเชือกบนคอของหญิงสาว จึงรีบร้อนช่วยเหลือจะมัวห่วงอะไรกับมารยาทคอยยสงบเสงี่ยมไม่สนิทสนมทำให้หญิงสาวร้องอุแว้…………………..(คลอดลูก)
อาตมาเป็นคนที่ตรงแท้ แม้จะหัวเราะพิเรน โดยไม่เหมือนพวกที่แสร้งทำว่า ทำเที่ยงธรรม แต่ลับหลังเอา! จะกัดเชือดมรณะให้ขาดแต่ชีวิตไม่อาจหลีกพ้นหญิงสาวจึงร้องเสียงหลง หาว่าอาตมาเป็นพระทำบัดสีบัดเถลิง เชือกมรณะสามเส้น กัดขาดเพียงสองเส้น ในที่สุดก็หนีไม่พ้นต้องขึ้นตะแลงแกง นั่นคือ
ชะตาชีวิตมิอาจหลีกพ้น เกิดเป็นคนย่อมดับเป็นธรรมดา
แม้เทพเทวามีจิตเมตตา ดวงชะตาถึงฆาตสวดอภิธรรม
2. ช่วยชีวิตคนไม่สำเร็จ ชะตาพุทธะก็ถึงคราวดับขันธ์ เพราะการเกิดการตายมีกำหนด ไม่ว่าจะเป็นเทพเทวาหรือมหาพุทธะ เมื่อเหนื่อยแล้วก็ต้องหยุดเช่นกัน ไม่ต้องคอยเผยหน้าเชิดศีรษะ
ไปร้านสุรากับจางถี่เตียน ดื่มพอควรเพียงไม่กี่แก้ว จึงเขียนโฉลกหวนคิดถึงอดีตที่เป็นมา ทั้งหวานเปรี้ยวเผ็ดเค็ม จะมีความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพวกพระเหล่านั้นหรือ อันที่จริงพวกเขาดีกว่าอาตมาภาพมากมายนัก เป็นเพราะต้องการผูกบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวางจึงต้องทำพิเรนพิกล และเพราะต้องการโปรดทุกข์ให้ชาวโลก จึงทำสนิทกับสุรา
ชาวโลกเอย! อย่าเห็นว่าเต้าจี้โลภเสพบุญเพื่อปากท้อง ลองดูพวกทำธุรกิจเลี้ยงรับรองตามภัตตาคาร ดื่มกันจนเมามาย ล้วนเป็นสุราขมเต็มแก้ว แต่ในใจไม่รู้ว่าเร่าร้อนแค่ไหน จะเอ่ยปากบอกกับใครได้อาตมาภาพมีความรู้สึกว่าการออกบวชเป็นเรื่องเล็ก แต่วัดที่จะไปอยู่ซิเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อที่จะโปรดผู้คนให้ได้มาก และให้มีเรื่องเล่าขานที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง ถึงการมาในโลกนี้อีก จึงสู้ทำเล่นพิเรนไว้ก่อน ทำให้กลิ่นเหล้าที่ยังคงหอมฟุ้งอยู่ต่อๆ ไป ทุกยุคทุกสมัยทิ้งรอยจาลึกไว้ ณ ทะเลสาบซีหูมีทั้งทำลายล้างและเกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับอาตมาขอเพียงให้จิตของอาตมาภาพนิ่งสงบ ไม่สนแม้ใครจะทำอึกทึกครึกโครมจะยกย่องจี้เตียนก็ได้ จะด่าว่าจี้เตียนก็เชิญ ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน หน้าตาดั่งเดิมของตนเองไม่รู้ การเกิดดับอันเป็นเรื่องสำคัญก็จบกัน ยังจะกล่าวหาถูกผิดกันอยู่หรือ หยุดได้แล้ว จะได้ไม่ถูกพระพิเรนตีด้วยกระบอง นั่นคือ
หอมหวานราวกับน้ำผึ้ง ต่างอะไรกับหยดน้ำในคลอง
ด่าว่าอาตมาก็ดี ยกย่องอาตมาชมเชยก็ดี
ขอให้ทุกๆ ครัวเรือนเกิดพุทธะ
3. โบราณว่า "โลภกามตายในกาม โลภทรัพย์ตายในทรัพย์" เต้าจี้ตลอดชีวิตไม่มีอะไรดี มีแต่อร่อยปากกินไม่หยุด ดังนั้นจึงได้ทุกข์ด้วยประการเช่นนี้ จึงให้จางถี่เตียนเลี้ยง "ของว่าง" เป็นครั้งสุดท้าย ดื่มน้ำผักดองไปหลายชาม ก็มัวแต่ปล่อยให้หนังท้องเพลิดเพลิน หารู้ไม่ว่าที่สุดได้มาถึงแล้ว กินเพื่อดำรงชีวิต และก็กินจนเสียชีวิตด้วย กลับมาถึงวัดนอนถึงยามสอง ท้องเกิดพิเรน ทนไม่อยู่ถ่ายเสียเป็นการใหญ่ ขับล้างความโสโครกทั้งหมด วันรุ่งขึ้นอ่อนเพลียเมื่อยล้า อะไรๆ ก็ฉันไม่ลง เจ้าอาวาสเห็นเป็นเรื่องใหญ่โต จึงว่า "จี้กง! ปกติท่านแข็งแรงที่สุด ทำไมพอล้มป่วยวันเดียว จึงได้ทรุดโทรมขนาดนี้" อาตมาก็ไม่ตอบ จึงกล่าวโฉลกแทน
เจ้าสังขารอันเหม็นเน่านี้ ดื่มมาก็มากเกินไปกินเสียท้องเต่งตึง
ถึงคราวสูญสลายรูปลักษณ์ กวาดล้างความโสโครก
ถ่ายเทความสกปรกให้หมดไป เหลือไว้แต่ธรรมกายอันใสสะอาด
เปลี่ยนโพธิจิตอันประภัสสร เพื่อให้พุทธบริษัทไว้บูชา
อำลาโลกด้วยมืออันว่างเปล่า รองเท้าสานและพัดใบลาน
ให้ไว้แด่มหาสมุทรอันไพศาล
วันที่ 16 เดือนห้า เป็นวันดับขันธ์ เตรียมหาตั๋วรถจับจองที่นั่ง นั่นคือ การไปการกลับ จิตกระจ่างไม่มืดมัว ถอดทิ้งเสื้อขนเปลี่ยนวัชรกาย