พวกเรากราบพระเช้าเย็นเป็นกิจวัตร
ค่ำนั้นมีชายหนุ่มญาติธรรมจากกรุงเทพฯ แวะเข้ามาร่วมกราบด้วย สวดมนต์เสร็จ ไฟฟ้าเกิดดับหมดอีกท้องฟ้ามืดมาก เราอาศัยความคุ้นเคยค่อยๆขยับเท้าเดินออกจากตำหนักพระ
ชายหนุ่มชาวกรุงมีน้ำใจมาก บอกว่า “ทุกท่านสูงอายุ โปรดหยุดอยู่กับที่ ผมสายตาดีกว่าจะนำหน้าเดินตามที่ผมบอกนะครับ”
ชายหนุ่มนำหน้าไป พลางพูดว่า “พื้นเรียบครับ ตามมาเลย”
ทุกคนเดินตามไป...ทันใด เสียงใครคนหนึ่งก้าวพลาดก้นกระแทกลงไปที่พื้นต่างระดับดัง “แอ้ก” ใหญ่
เสียงหลายคนร้องถามในความมืดว่า “ใครพลาดไป เจ็บไหม” เสียงชายหนุ่มชาวกรุงตอบอย่างมั่นใจว่า “ผมเองครับ มันจะต้องมีปัญหาที่พื้นต่างระดับตรงนี้แน่นอน ผมจึงอยากจะเดินนำหน้าเสียเอง...”
ผู้คุ้นเคยสถานที่หันไปสบสายตากันในความมืด แม้จะมองไม่เห็นความรู้สึกจากแววตาชึ่งกันและกัน แต่ทุกคนก็นิ่งอึ้ง ประหนึ่งจะบอกข้อคิดที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้
สมัยจีนโบราณ
การศึกครั้งหนึ่ง กองทัพหลงป่า คนชักบังเหียนม้าให้ไปช้ายไปขวาเดินหน้ากลับหลังอยู่หลายวัน หาทางออกไม่ได้ ใครคนหนึ่งแนะว่า
“ให้ม้าแก่นำทางเราสิ มันรู้ดีกว่าเรา เขาจะพาเราพ้นป่าไปได้”
สุดท้าย จึงได้มีคำพังเพยว่า “ม้าแก่ชำนาญทาง เหล่าหม่าชึถู”