ประทับทรง วันที่ 24 มกราคม 2527
พระจี้กง :ผู้ที่ชอบก่อกรรมทำชั่ว มักคิดว่าการหลอกลวงฉ้อโกง เป็นการแสดงถึงความเฉลียวฉลาด คิดว่าการเบียดเบียนรังแกคนดีเป็นความประพฤติที่มีเกียรติ ดังนั้นจึงถือเป็นของสนุก มีโอกาสหลอกลวงได้ก็หลอกลวง มีโอกาสรังแกได้ก็รังแก ก่อกรรมแล้วยังไม่รู้สึกสำนึกตน ยังเบิกบานสำราญใจ คิดว่าตนเก่ง ดังนั้นจึงอาศัยอำนาจอิทธิพลและกำลังอันเหนือกว่าของตน เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญอย่างไม่เกรงกลัวเทวดาฟ้าดิน โดยคิดว่าไม่มีใครรู้เห็นบุคคลเช่นนี้ความจริงไม่รู้จักว่าอะไรคือความเจ็บปวด อะไรเรียกว่าถูกรังแก
ชิวเซิง :อาจารย์ครับ....แบบนี้คนดีก็เสียเปรียบซิครับ
พระจี้กง :ศิษย์โง่.... การหลอกลวงคนอาจหลอกได้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่อาจหลอกลวงได้ตลอดไป การรังแกคนอาจรังแกได้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่อาจรังแกได้ตลอดไป ดังนั้นจึงเป็นผู้มีความสุขสมใจเพียงชั่วครู่ยาม แต่ผลสุดท้ายก็ต้องพบกับความเจ็บปวดตามผลแห่งกรรม
ชิวเซิง :ขอให้ได้เป็นเช่นนี้เถอะ มิฉะนั้น คนชั่วก็จะยิ่งได้ใจ คนดีก็จะยิ่งเสียเปรียบ
พระจี้กง :ทำดีย่อมเจริญ ที่ทำดีแล้วไม่เจริญ เพราะยังมีกรรมของเบรรพบุรุษเหลือไว้ เมื่อกรรมหมดย่อมเจริญทำชั่วย่อมวิบัติ ที่ทำชั่วแล้วไม่วิบัติ เพราะยังมีบุญของบรรพบุรุษเหลือไว้ เมื่อบุญหมดย่อมวิบัติ ดังนั้นผู้ทำความดี ดูผิวเผินอาจจะเสียเปรียบ แต่ผลสุดท้ายย่อมได้เปรียบกว่า ผู้ทำความชั่วผิวเผินอาจจะได้เปรียบ แต่ผลสุดท้ายย่อมต้องได้รับผลกรรมสนอง
ชิวเซิง :แต่คนยุคปัจจุบันนี้ สนใจแต่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น
พระจี้กง :ฮ่าฮ่า ทำดีย่อมมีสุข การทำบุญให้ทานเป็นความสุขใจของผู้ทำความดี ดูผิวเผินเป็นการจ่ายออกแต่ทางด้านจิตเป็นการรับ เมื่อถึงตอนกายเนื้อแตกดับยังจะได้รับการส่งเสริมจากเทพยดานำทางไปส่งจนถึงแดนสวรรค์ได้เสวยสุขสำราญอย่างอิสระเสรี ส่วนผู้ทำชั่วก็เป็นอีกอย่างเพราะการทำชั่วรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาจะปรากฏหน้าตาอันดุร้าย ส่วนจิตใจก็แฝงด้วยรูปลักษณ์ของมารปีศาจ จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต นี่ก็คือการเริ่มพบกับความเจ็บปวดของผู้ทำชั่ว ดังนั้น ผู้ประพฤติชั่วที่สุดเมื่อสิ้นหนทางก็ได้แต่อาศัยเหล้าแก้กลุ้มหรือเล่นการพนัน ซึ่งเป็นการทำตนให้ตกต่ำยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลากายเนื้อแตกสลาย ประตูนรกก็จะเปิดกว้างรอคอยให้คนพวกนี้ล่ามตนเองเข้าสู่ตะแลงแกงลิ้มรสชาติอันเจ็บปวดของหน้าต่างสายบัว
ชิวเซิง :วันนี้ได้ฟังอาจารย์แสดงธรรม ทำให้กระผมเข้าใจกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น
พระจี้กง :เข้าใจข้อไหน
ชิวเซิง :คือคนดีอะไร ๆ ก็ดี คนชั่วอะไร ๆ ก็แย่
พระจี้กง :เออ....ไม่เลว เช่นเธอนี้ขณะนี้ก็คือคนดี คือไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ แต่ทำเพื่อสังคมส่วนรวม
ชิวเซิง :ขอบพระคุณอาจารย์ที่เยินยอ
พระจี้กง :เอาละ...เวลาไม่คอยท่า เรารีบเดินทางกันเถิด
ชิวเซิง :ครับ... ผมนั่งยานดอกบัวพร้อมแล้วอาจารย์ไปได้แล้วครับ
พระจี้กง :ชิวเซิง....ถึงแล้วรีบลง
ชิวเซิง :โอ....ทิวทัศน์ที่นี่สวยเหลือเกิน มีภูเขาและลำน้ำ น้ำก็ใสแจ๋วจนเห็นก้นสระ ในสระมีคนอยู่หลายคนดูเหมือนกำลังว่ายน้ำ เหนือหัวพวกเขาล้วนมีรังสีเป็นสีทอง สีขาว สีแดง ลักษณะล้วนแต่เป็นผู้บรรลุธรรม อาจารย์ครับทำไมพวกเขาจึงมาอาบน้ำกันอยู่ที่นี่ ?
พระจี้กง :นี่คือสระน้ำทิพย์ น้ำในสระเป็นน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำไตรวิสุทธิ์ บนสวรรค์ชั้นสูง ดังนั้นน้ำนี้จึงใสสะอาดเป็นพิเศษ ผู้ที่จะมาอาบน้ำที่นี่ได้ จะต้องเป็นเทพหรือพรหมที่บรรลุธรรม หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าให้มา ดำรงตำแหน่งเจ้าในเมืองมนุษย์ ดังนั้นน้ำในสระนี้ จึงมีสรรพคุณวิเศษสามารถทำให้คนลืมความห่วงกังวลทั้งปวงและทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยคุณประโยชน์ที่สำคัญที่สุดก็คือ สามารถชำระล้างความสกปรกของจิต ชิวเซิง...เธอมีบุญแล้ว เพราะเธอได้รับพระราชโองการให้ลิขิตหนังสือ อาจารย์จะให้เธอลงไปชำระกายให้สะอาด
ชิวเซิง :ขอบพระคุณครับ ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้ (ขาดคำชิวเซิงก็โดดลงไปในสระ ได้ยินแต่เสียงตูม)
ชิวเซิง :โอ้...เย็นสบายดีจัง ไม่คิดว่าจะได้มาอาบน้ำแบบนี้ ขอถือโอกาสเล่นน้ำให้สะใจสักทีเถิด
พระจี้กง :ชิวเซิง สมควรแก่เวลาแล้ว อย่าเล่นจนเพลิน รีบขึ้นมาเถอะ
เทพารักษ์ :นมัสการท่านจี้กง มนุษย์ปุถุชนผู้นี้ไฉนจึงมาอาบน้ำอยู่ที่นี่ ?
พระจี้กง :คนผู้นี้คือ ชิวเซิงคนทรงของสำนักเซิ่งเทียนแห่งเมืองไถจุง เนื่องจากได้รับพระราชโองการให้ลิขิตหนังสือ ดังนั้นอาตมาจึงพามาที่นี่ เพื่อชำระกายทิพย์ให้สะอาดเสียก่อน
เทพารักษ์ :อ๋อ...ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญตามสบายครับ
ชิวเซิง :สบายตัวดีจัง
พระจี้กง :ชิวเซิง...รีบคารวะท่านเทพารักษ์
ชิวเซิง :คารวะท่านเทพารักษ์ หากมีที่ไม่สมควรโปรดอภัยด้วยครับ
เทพารักษ์ :ไม่เป็นไร ๆ เมื่อมาด้วยพระราชโองการ เรายินดีอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่
พระจี้กง :อ้อ... วันนี้ไหน ๆ มาถึงนี่แล้ว เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ขอถือโอกาสเก็บข้อมูล ดูเหมือนเทวดาที่อยู่กลางสระคนนั้นเพิ่งจะบรรลุธรรมไม่นาน รบกวนท่านเทพารักษ์ช่วยแจ้งเขาทีว่าเราจะขอสนทนา ด้วย
เทพารักษ์ :ได้ครับ
เทวดาจาง:นมัสการพระอาจารย์จี้กง
พระจี้กง :เจริญพร...วันนี้เนื่องจากเกี่ยวกับการลิขิตหนังสือ จึงมีโอกาสได้พบกันที่นี่ ขอให้ท่านกรุณาเล่าเรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรมของท่านครั้งเป็นมนุษย์ ให้ผู้คนได้รู้บ้าง เพื่อโน้มน้าวให้หันมาทำความดีละชั่วโดยเร็ววัน
เทวดาจาง :ได้ครับ....ข้าพเจ้าเป็นคนชาวเมืองจางฮัว ชื่อจางจื้อตง ครอบครัวทำนาสืบทอดมาแต่สมัยบรรพชนตอนวัยรุ่นได้ตามบิดาทำไร่ไถนาและใช้เวลาว่างศึกษาหนังสือธรรมะต่าง ๆ ทำให้รู้แจ้งสัจธรรมแห่งชีวิต รู้ว่าชีวิตคนเราแท้จริงเป็นเพียงแค่ความฝันฉากหนึ่งสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นมายา ดังนั้นพวกทรัพย์สินเงินทอง กามคุณ ลาภยศสรรเสริญทั้งปวง จึงไม่ไปยึดมั่นหรือลุ่มหลงอาลัยอาวรณ์ ปล่อยไปตามบุญกรรมเมื่อการเงินคล่องตัวก็ออกเงินพิมพ์หนังสือธรรมะ โปรดผู้คนและยังไปบรรยายธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ชี้แนะให้ผู้คนฝึกฝนปฏิบัติธรรมขัดเกลาตน ตอนที่ข้าพเจ้าอายุได้ 78 ปี คืนวันหนึ่งเทพเจ้าลือโจ๊ว ได้กล่าวชมเชยข้าพเจ้าและแจ้งวันเวลา ที่ข้าพเจ้าจะต้องละจากโลกมนุษย์ เมื่อข้าพเจ้าทราบ ดังนั้นจึงสั่งเสียคนในครอบครัว และพูดย้ำกับทุกคนว่า เกิดเป็นคนต้องกตัญญูรู้คุณคน ซื่อสัตย์สุจริตมือสะอาดไร้มลทิน อย่าทำเรื่องที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ถ้าการเงินอำนวยต้องช่วยเหลือจุนเจือคนยากไร้อย่าเห็นแก่ตัว เมื่อข้าพเจ้าสั่งเสียเสร็จไม่นาน กุมารทอง กุมารหยกก็มารับข้าพเจ้านำขึ้นสู่สะพานสวรรค์ ได้รับกายกย่องชมเชยจากพระเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้และพระราชทานตำแหน่งเจ้าในเมืองมนุษย์ ได้เสวยสุขอย่างอิสระเสรีจนบัดนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะตอนเป็นมนุษย์ได้ประกอบคุณความดีไว้นั่นเอง
ชิวเซิง :ที่แท้ท่านเทวดาเมื่อตอนเป็นมนุษย์ก็รู้จักบำเพ็ญธรรมขัดเกลากิเลส หมั่นประกอบกรรมดี น่านับถือจริงๆ
เทวดาจาง :หลายชาย...เธอโชคดีจริงที่ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ลิขิตหนังสือสืบไปภายหน้าจะมีบุญบารมีสูงส่ง
ชิวเซิง :ขอบพระคุณท่านเทวดาที่ให้กำลังใจ
เทวดาจาง :ทุกวันนี้จิตใจผู้คนไม่เหมือนแต่ก่อน ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ตักเตือนชี้แนะชาวโลกว่าอย่าได้ก่อกรรมทำชั่ว ควรขัดเกลาบำเพ็ญจิต หมั่นสร้างบุญกุศลต่อไปภายหน้าจึงจะได้เสวยสุขชั่วนิรันดร์
ชิวเซิง :โอวาทอันล้ำค่าของท่านเทวดา เชื่อว่าคงสามารถปลุกผู้คนให้ตื่นตัว หันมาฝึกฝนธรรมะขัดเกลาตน
เทวดาจาง :ขอให้ได้เป็นเช่นนั้นเถิด
พระจี้กง :ดึกมากแล้ว เราเตรียมตัวกลับได้แล้ว ชิวเซิง..รีบอำลาท่านเทวดาและท่านเทพารักษ์
ชิวเซิง :ขอขอบคุณท่านเทวดาจางที่ให้โอวาท และท่านเทพารักษ์ที่ให้ความเอื้อเฟื้อ กระผมจำต้องขอลาก่อน
เทวดาจาง เทพารักษ์ :ขอส่งท่านจี้กงและชิวเซิง
พระจี้กง :ชิวเซิง...รีบขึ้นยานดอกบัว
ชิวเซิง :ผมได้นั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้
พระจี้กง :ชิวเซิง...การท่องเที่ยววันนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง
ชิวเซิง :คืนนี้นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาจริง ๆ หวังว่าอาจารย์คงส่งเสริมต่อไป
พระจี้กง :เธอมีวาสนาทางธรรมสูง จึงได้รับเกียรติเช่นนี้ ขอให้มีความมานะบากบั่นต่อไป อย่าได้ทอดทิ้งกลางคัน
ชิวเซิง :โอวาทของอาจารย์ ศิษย์จะจำใส่ใจ
พระจี้กง :สำนักเซิ่งเทียนถึงแล้ว ชิวเซิงลงได้
ชิวเซิง :กระผมขอส่งอาจารย์
ยมบาลอธิบายหนทางหมุนเวียน สัตว์เกิดสี่ช่องทางมาจากข้างประตู