ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 2 วันที่ 5 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2527) พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ
เซิ่งเทียนถัง มีใจกว้าง สามารถรับ ผู้ร่วมงาน ที่มีใจ
ฉุดช่วยคน ให้กว้างไกล จิตใจต้อง รองรับได้ ดั่งห้วงน้ำ
จะพ้นความ ปุถุชน ตัดอารมณ์ และนิสัย ทางโลกได้ จึงก้าวข้าม
ต่างฝ่ายต่าง ก็จะต้อง พยายาม ไถนาธรรม ของตนเอง
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ตั้งแต่เปิดสำนักธรรมเป็นต้นมา ศิษย์ทั้งหลายต่างวุ่นอยู่กับงานธรรม ความมุ่งมั่นและความศรัทธาจริงใจนี้ทำให้เซียนพุทธะทั้งหลายต่างชื่นชม ในช่วงนี้ศิษย์ทั้งหลายต่างก็ได้ประสบกับความเหนื่อยยากกันมาอย่างโชกโชน นี่ก็คือฟ้าเบื้องบนได้มอบภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่มาฝึกฝนหล่อหลอมเซิ่งเทียนถัง
ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดถูก เมื่อปรารถนาจะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ ถ้าหากไม่มีจิตใจที่มั่นคงยืนหยัด มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ก็ยากที่จะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จลุล่วงได้ ในเมื่อวันนี้สำนักธรรมของเราได้รับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่จากฟ้าเบื้องบน ผู้ร่วมบำเพ็ญทุกคนในสำนักก็จะต้องทุ่มเทกันอย่างสุดกายสุดใจสุดกำลังความสามารถ ร่วมกันพากเพียรต่อสู้ฟันฝ่าให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง
พุทธจี้กง : งั้นศิษย์ทุกคนในสำนักเซิ่งเทียนถังก็ต้องเหนื่อยหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าที่แบกรับภาระใหญ่ จะต้องผ่านการทดสอบในแต่ละขั้นๆ
ไฉ้เซิง : พระอาจารย์ ! คืนนี้พระอาจารย์จะพาศิษย์ไปจาริกแสวงธรรมที่แดนสุขาวดีใช่ไหมครับ ?
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! นี่เจ้ารอจนทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วเหรอ ?
ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ ! แน่นอนสิครับ ได้ไปเที่ยวชมทัศนียภาพของแดนสุขาวดีให้เห็นเป็นประจักษ์กับตา อย่างไรก็ต้องดีกว่าเที่ยวชมทัศนียภาพของโลกมนุษย์อยู่แล้ว
พุทธจี้กง : เอาล่ะ ! เจ้านั่งบัลลังก์บัวให้ดี เราสองคนออกเดินทางกันเถอะ
ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทาง
พุทธจี้กง : เบื้องหน้านั่นพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อมาตอนรับพวกเราแล้ว ศิษย์เรา ! เจ้ารีบเข้าไปกราบคารวะเร็ว
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี วันนี้ท่านพุทธจี้กงและไฉ้เซิงมาถึงแดนสุขาวดีเพื่อทำการสัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลในแดนวิสุทธิภูมิอันศักดิ์สิทธิ์และวิจิตรตระการตาแห่งนี้ด้วยตัวเอง ช่างเป็นโอกาสที่ประจวบเหมาะจริงๆ นั่นเพราะตั้งแต่ช่วงธรรมกาลยุคท้ายเป็นต้นมา เวไนยมีจิตใจที่เขลาหลง มีกัมมาวรณ์หนัก (กัมมาวรณ์ คือ กรรมอันเป็นเครื่องกีดกั้นไม่ให้เข้าถึงธรรม) มีเพียงธรรมวิถีแห่งการสวดท่องพุทธนามที่สามารถปกแผ่ฉุดช่วยรากบุญทั้ง 3 ระดับ ไม่ว่าคนสมองทื่อปัญญาทึบหรือคนที่มีสติปัญญาฉับไว ก็สามารถได้รับการปกโปรดฉุดช่วยอย่างเสมอภาคกัน ดังนั้นคนที่รู้จักสวดพุทธนามล้วนเป็นคนที่ซื่อๆ มีความจริงใจ มีกุศลมูลเป็นที่ตั้ง
ไฉ้เซิง : ที่พระโพธิสัตว์กล่าวมานั้นถูกต้องที่สุด ดังนั้นวันนี้ผู้น้อยจึงได้รับพระโองการให้ประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดี ได้มาจาริกศึกษาธรรมที่แดนสุขาวดี รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ขอพระโพธิสัตว์ได้โปรดชี้แนะผู้น้อยให้มากๆหน่อย
โพธิสัตว์ : ได้สิ ! แดนสุขาวดี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แดนวิสุทธิภูมิ” ที่เรียกว่าแดนวิสุทธิภูมิก็เพราะว่าแดนพุทธเกษตรของพวกเรามีความบริสุทธิ์สง่างาม วิสุทธิ์ประเสริฐอย่างที่สุด ทุกคนในพุทธเกษตรของพวกเราล้วนเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัว วันนี้เมธีอยากจะลองเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัวดูบ้างไหมล่ะ ?
ไฉ้เซิง : ขอเรียนถามท่านพระโพธิสัตว์ การเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัวคืออย่างไร ?
โพธิสัตว์ : การเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัว สามารถแบ่งการเกิดออกเป็น 3 ชั้น 9 ระดับ ดังนี้คือ เกิดในบัวชั้นบนระดับบน เกิดในบัวชั้นบนระดับกลาง เกิดในบัวชั้นบนระดับล่าง เกิดในบัวชั้นกลางระดับบน เกิดในบัวชั้นกลางระดับกลาง เกิดในบัวชั้นกลางระดับล่าง เกิดในบัวชั้นล่างระดับบน เกิดในบัวชั้นล่างระดับกลาง เกิดในบัวชั้นล่างระดับล่าง แต่การเกิดในบัวชั้นบนระดับบนนั้นจะใช้ระยะเวลาในการเกิดสั้นที่สุด วันนี้เนื่องด้วยเวลาที่จำกัด เราจะให้เมธีได้ทดลองเกิดในบัวชั้นบนระดับบนดูก็แล้วกัน
ไฉ้เซิง : คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะสามารถได้ลองเกิดในดอกบัวด้วย ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ
โพธิสัตว์ : เอาล่ะ ! เดี๋ยวเราจะตั้งจิตอธิษฐานให้เมธีไปเกิดในดอกบัวแบบฉับพลัน
(พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อสวดมนต์อธิษฐานให้ไฉ้เซิงไปเกิดในดอกบัวแบบฉับพลัน เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ไฉ้เซิงก็ผุดขึ้นมาจากดอกบัวขนาดใหญ่ซึ่งบานอยู่ภายในสระสัปตรัตนะ มองเห็นไฉ้เซิงประนมมือ มีความวิสุทธิ์สะอาด สง่างามน่าเกรงขาม มีรัศมีเป็นแสงสว่างอ่อนๆเปล่งออกมาจากกาย เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่หาดูได้ยากยิ่ง ตอนนี้ไฉ้เซิงประนมมือคุกเข่าลงกราบพระอมิตาภพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอิน พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อ รวมถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแบบเบญจางคประดิษฐ์ ไฉ้เซิงคุกเข่าอยู่บนดอกบัว ดูสุภาพเรียบร้อยและมีมารยาท
พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยมหาเมตตามหากรุณา ได้แผ่รัศมีสีทองออกมานับร้อยพันโกฏิ ส่องสว่างไปทั่วตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ อุณาโลมระหว่างคิ้วหมุนเวียนขวาปรากฏเป็นธรรมลักษณะ 8,4000 พระธรรมขันธ์อยู่เบื้องหน้า พระโพธิสัตว์กวนอินมีกายสีม่วงทอง บนศีรษะมีมงกุฎเปล่งรัศมีเป็นวงกลมแผ่ไปทั่วโลกธาตุทั้งสิบทิศ ดอกบัวสีแดงในอ้อมแขนเปล่งแสงรัศมีที่มีกลิ่นหอมอันประเสริฐลึกล้ำอัศจรรย์แผ่ขจรไปไกล 80 โกฏิ ยังได้เห็นพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อมีกายสีม่วงทองสาดส่องไปทั่วโลกธาตุทั้งสิบทิศ บนศีรษะมีมงกุฎ ในมงกุฎมีแจกันวิเศษที่เปล่งรัศมีออกมาอย่างไร้ขอบเขตประมาณ แสงรัศมีต่างๆซึ่งปรากฏอยู่ในแดนวิสุทธิภูมิแห่งนี้ช่างลึกล้ำอัศจรรย์ตระการตาจนเห็นแล้วต้องร้องอุทานว่า โอ้โห ! โอ้โห ! โอ้โห ! อันนี้ก็น่ามอง อันนี้ก็น่ามอง อันนี้ก็น่ามอง งดงามตื่นตาตื่นใจไปหมดจนไม่รู้จะเลือกมองอะไรก่อนดี แม้แต่พื้นของที่นี่ก็เป็นทองคำเปล่งแสงแวววาว บนพื้นไม่มีฝุ่นละอองหรือคราบสกปรกเลยแม้แต่นิดเดียว ช่างมหัศจรรย์จริงๆ กลางอากาศก็เต็มไปด้วยหอสูงทรงโบราณแบบจีนมากมายจนไม่อาจนับคำนวณได้ ล้วนประดับประดาตกแต่งด้วยไข่มุก โมรา ทอง เงิน ไพฑูรย์ ยังได้เห็นดอกบัวจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วนอยู่ในสระสัปตรัตนะ บนดอกบัวมีนกน้ำนานาชนิดขับร้องเสียงธรรมอันประเสริฐด้วยเสียงอันไพเราะ ทำให้เสียงพระธรรมแพร่กระจายไปทั่วโดยไม่ขาดช่วง)
พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยมหาเมตตามหากรุณาทรงตรัสออกมาจากสุวรรณโอษฐ์ของพระองค์ว่า : เมธีไม่ต้องมากพิธี เชิญลุกขึ้นเถิด ยินดีต้อนรับ เจ้ารับบัญชาให้มาจาริกศึกษาธรรมที่พุทธภูมิของเรา เพื่อเปิดเผยสภาพจริงของแดนสุขาวดี เชื่อแน่ว่าในวันที่หนังสือเล่มนี้ประพันธ์เสร็จ จะสามารถฉุดช่วยผู้คนให้มาเกิดยังแดนพุทธภูมิอันวิสุทธิ์สงบแห่งนี้ได้จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เราเองก็จะสำแดงนิรมาณกายนับร้อยพันโกฏินิรมาณกายลงไปยังโลกแห่งความเสื่อม เพื่อรับพวกเขาเหล่านั้นมาเกิดยังแดนสุขาวดีของเรา
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยขอเรียนถามพระอมิตาภพุทธเจ้า ไม่ทราบว่าพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อที่ผู้น้อยได้พบเจอกลางทาง และยังเป็นผู้ที่นำพาผู้น้อยให้มาเกิดในดอกบัวเมื่อครู่นี้เป็นนิรมาณกายของพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อใช่หรือไม่ครับ ?
พระอมิตาภพุทธเจ้า : ถูกต้องแล้ว
ไฉ้เซิง : เรียนพระอมิตาภพุทธเจ้า ผู้น้อยยังมีข้อสงสัยอีกข้อ ไม่ทราบว่าแดนสุขาวดีนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร เหตุใดถึงได้ประเสริฐเลิศล้ำและวิจิตรตระการตาอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นนี้ ?
พระอมิตาภพุทธเจ้า : เมธีถามได้ดีมาก แดนสุขาวดีแห่งนี้สำเร็จขึ้นด้วย บุญกุศล แรงปณิธาน ปัญญา และบุญญานุภาพ
ไฉ้เซิง : ขอบคุณพระอมิตาภพุทธเจ้าเมตตา ผู้น้อยขอตัวก่อน
(ตอนนี้นิรมาณกายของพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อได้เหาะมาถึง และรับไฉ้เซิงไปยังหอสูงทรงโบราณแบบจีน)
โพธิสัตว์ : ไฉ้เซิง วันนี้เจ้ามาที่พุทธภูมิของพวกเราเป็นครั้งแรก เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ?
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยรู้สึกชื่นชมและรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นอจินไตย เกินกว่าที่จะจินตนาการ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชนคนทั่วไป
โพธิสัตว์ : เมธี ! วันนี้เป็นเพราะเจ้าได้รับบัญชาให้ประพันธ์หนังสือ ดังนั้นเจ้าจึงมีโอกาสได้มายังแดนวิสุทธิภูมิแห่งนี้
ไฉ้เซิง : ถ้าหากว่าสามารถได้อยู่ที่นี่ตลอดไปก็คงจะดีมากๆ ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์ เหตุใดในสระสัปตรัตนะถึงได้มีดอกบัวมากมายเช่นนี้ ?
โพธิสัตว์ : ดอกบัวในสระสัปตรัตนะนี้เกิดขึ้นจากแรงตอบสนองของผู้ที่สวดพุทธนาม ซึ่งตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกธาตุอื่น ยังไม่ได้มาเกิดที่นี่ ถ้าหากดอกบัวมีขนาดใหญ่อีกทั้งดูสดใสมีชีวิตชีวา ก็แสดงว่าผู้บำเพ็ญที่เป็นเจ้าของดอกบัวดอกนั้นมีความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจสวดท่องพุทธนาม แต่ถ้าหากดอกบัวมีขนาดเล็กอีกทั้งเหี่ยวเฉาก็แสดงว่าผู้สวดพุทธนามที่เป็นเจ้าของดอกบัวดอกนั้นมีความเหนื่อยหน่าย ขี้เกียจ ไม่มีความตั้งใจในการสวด ดังนั้นเราแค่ดูดอกบัวในสระสัปตรัตนะ เราก็รู้แล้วว่าใครเอาจริงเอาจังกับการสวดพุทธนามหรือไม่
ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แยบยลจริงๆ
(ตอนนี้พระพุทธจี้กงได้เหาะมาถึงแล้ว)
พุทธจี้กง : เอาล่ะ ! วันนี้ดึกแล้วสมควรแก่เวลาแล้ว ไฉ้เซิงรีบคุกเข่ากราบลาพระโพธิสัตว์เถอะ
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบลาพระโพธิสัตว์ ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและให้คำชี้แนะ
พุทธจี้กง : ไฉ้เซิงรีบนั่งบัลลังก์บัว พวกเรากลับกันเถอะ
ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้
พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว วิญญาณกลับเข้าร่าง
อธิบายคำศัพท์
โอปปาติกะ - ในศาสนาพุทธได้แบ่งการเกิดของสัตว์ออกเป็นสี่ประเภท คือ
1.ชลาพุชะ คือ ประเภทที่เกิดในครรภ์ ได้แก่สัตว์ที่เกิดอยู่ในครรภ์ก่อนแล้วคลอดออกมาเป็นตัว เช่นมนุษย์ สัตว์บางประเภท เป็นต้นว่า โค กระบือ ม้า เสือ วาฬ โลมา
2.อัณฑชะ คือ ประเภทที่เกิดในไข่ ได้แก่สัตว์เดรัจฉานบางประเภทที่เกิดในฟองไข่ก่อนแล้วฟักออกมาเป็นตัว เช่น ไก่ เป็ด นก มด เต่า กบ เป็นต้น
3.สังเสทชะ คือ ประเภทที่เกิดในเถ้าไคล ได้แก่สัตว์ที่เกิดในของสกปรกโสมม เช่น หนอน ยุง แมลงบางชนิด
4.โอปปาติกะ คือ ประเภทที่ผุดขึ้น ได้แก่สัตว์ที่เกิดมาโดยไม่ได้อาศัยพ่อแม่และของโสโครกหรือที่ชื้นแฉะ แต่อาศัยกรรมอย่างเดียว และเมื่อเกิดก็เติบโตขึ้นทันทีทันใด เช่น พวกสัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม มนุษย์โลกสมัยต้นกัป เป็นต้น
สระสัปตรัตนะ – หมายถึงสระบัวที่ประดับด้วยอัญมณีเจ็ดอย่าง
อุณาโลม – ตามความหมายเดิม หมายถึงขนระหว่างคิ้ว และเป็นลักษณะอย่างหนึ่งในมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ อุณาโลมที่เป็นมหาปุริส ลักษณะ มีคำบาลีในพระไตรปิฎกว่า “อุณฺณา ภมุกนฺตเร ชาตา โอทาตา มุทุ ตูลสนฺนิภา.” แปลว่า มีพระอุณาโลมขาวละเอียดอ่อนดังสำลีเกิดระหว่างพระขนง อรรถกถาขยายความว่า ถ้าจับปลายเส้นพระโลมาแล้วดึงออกจะได้ความยาวประมาณครึ่งช่วงแขน เมื่อปล่อยกลับ เส้นพระโลมาจะม้วนเป็นทักษิณาวรรต ปลายชี้ขึ้นบน ต่อมา มีการนำลักษณะของอุณาโลมไปประดิษฐ์เป็นรูปลักษณ์อย่างหนึ่ง และนำไปใช้เป็นเครื่องหมายบางอย่าง นอกจากนี้ยังเกิดความนิยมเจิมจุดที่หน้าผากเป็นเครื่องหมายอุณาโลม ถือกันว่าเป็นสิริมงคล
การขัดเกลาทางสังคม - คือการเรียนรู้ของสมาชิกในสังคมทั้งรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพตามความต้องการของสังคม การขัดเกลาทางสังคมคือการนำคนเข้าสู่ระบบของสังคมโดยผ่านกระบวนการต่างๆที่ทำหน้าที่ขัดเกลาอัตชีวะให้พ้นจากสภาพสัญชาตญาณเดิม กลายเป็นมนุษย์สังคม เพราะมนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก จึงต้องผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตลอดชีวิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม