ครั้งที่ 43 วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2521
ตอน ท่องแดนไฟนาบนิ้วมือนรกน้อย
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า :
หิมะโปรย ทับต้นเหมย บนภูผา
วันเวลา เร่งรุด ไม่อืดอาด
จงวางมีด ชำระมือ ให้สะอาด
ศีลไม่ขาด ฝึกฝนตน ยึดหลักธรรม
อรหันต์จี้กง :บนสันเขาอันเย็นเฉียบโบยบินด้วยดอกหิมะ นั่นแหละแสดงว่าจะสิ้นสุดของปี อีกครั้งหนึ่งขอเตือนศิษย์ทั้งหลายจงวางมือจากมีดฆ่าสัตว์ลง(อย่าทำบาป) อย่าได้ก่อเวรกรรมใหม่ขึ้นอีกเลย วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงเตรียมขึ้นบนดอกบัว
หยางเซิง :อากาศหนาวเย็นเหลือเกิน กระผมเกรงว่าจะทนไม่ไหว ขออาจารย์ท่านประทานยาทิพย์ให้อีกหน่อยเถิดครับ ท่านจะว่าประการใดหรือไฉน ?
อรหันต์จี้กง :อย่าให้ "จิตมันพาไป" หรือว่าดวงจิตยังกลัวความหนาวด้วยหรือ ? เมื่อเจ้าคิดจะขอยา ข้าฯผู้เป็นอาจารย์ก็มีใจที่กว้างขวางเป็นทุนอยู่แล้ว จะให้เจ้าอีกเม็ดก็แล้วกัน รีบกินเสียเตรียมตัวออกเดินทางเถอะ
หยางเซิง :ขอบพระคุณมากที่อาจารย์ประทานยาให้ ขออภัยที่กระผมยัง "หลงใหลไม่เข้าใจ!" กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านออกเดินทางได้….
อรหันต์จี้กง :ถึงแล้ว รีบลงจากดอกบัวเสีย
หยางเซิง :วันนี้เราจะไปยังคุกไหนกันมิทราบ ? ไฉนจึงยังไม่เห็นพัศดีออกมา มีแต่ยมทูตคุมตัววิญญาณโทษเทียวไปเทียวมาเท่านั้น
อรหันต์จี้กง :เราเดินขึ้นหน้าไปอีกสักระยะหนึ่งก็จะรู้ เห็นอะไรๆ ไปเองน่ะ
หยางเซิง :เบื้องหน้านั้นที่แท้ก็คือ "นรกใหญ่เผาหัวสมอง" คราวก่อนเราได้เยี่ยมชมไปแล้วนี่ วันนี้จะไปเยือนอีกหนหรือ ?
อรหันต์จี้กง :ไม่ใช่ วันนี้เราจะตรวจชม "ไฟนาบนิ้วมือนรกน้อย" คุกนั้นจำต้องผ่านไปทางข้างๆ "นรกใหญ่เผาหัวสมอง"
หยางเซิง :รู้สึกความร้อนกระทบกายอยู่เบื้องหน้า เราจะรุดหน้าไปได้อย่างไร ? และทางเล็กนั้นได้ยินว่าเป็น "ทางร้อน" เช่นเดียวกัน "เท้าสามัญชน" ของกระผมจะผ่านไปได้ยังไงไหว? จะไม่ถูกลวกจนพองไหม้ไปหรือ?
อรหันต์จี้กง : เจ้ามิต้องเกรงกลัว มีข้าฯขนาบข้าอยู่ "เปลวร้อน" สามารถกลายเป็น "ไอเย็น"
หยางเซิง :เชิญท่านอาจารย์แสดงอิทธิฤทธิ์เถิด ได้มาถึงทางเล็กแล้ว บนทางแสดงออกเป็นสีแดงยังกับโรงอิฐกำลังเผาอิฐอยู่จะผ่านไปได้อย่างไร ?
อรหันต์จี้กง :เจ้าจงดูอาตมาแสดงอำนาจอภินิหารเถิด "ตาลปัตร" โบกพัด ฝุ่นดินแดงพลันกลายเป็นสีสดใสสะอาดใจเดินผ่านไปได้แล้ว
หยางเซิง :ฤทธิ์เดชของพระพุทธกว้างใหญ่อันหาที่จะสิ้นสุดมิได้จริงๆ ถนนที่ร้อนจนเป็นสีแดงไปนั้น กลับกลายเป็นดินแดนเยือกเย็นสงบเงียบโดยฉับพลัน พวกวิญญาณโทษที่รุดไปข้างหน้ารู้สึกสบายกาย เย็นลงอย่างกระทันหัน แต่ละตนมีความประหลาดใจเหลือหลาย ต่างแลซ้ายมองขวามองดูเป็นพัลวัน รีบถือโอกาสนี้รุดหน้าไปเถิด
อรหันต์จี้กง :รีบตามข้าฯรุดหน้าไป มิเช่นนั้นแล้วเมื่อกำลังของอิทธิฤทธิ์เสื่อมลงแล้วเจ้าจะเดินด้วยความลำบาก แม้ว่ามีทางให้เดินอยู่….
หยางเซิง :ตามท่านอาจารย์มุ่งไปถึงสุดทาง ถนนสายเล็กด้านซ้ายมือมีพวกพัศดีและนายทหารตั้งแถวคอยต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
อรหันต์จี้กง :นั่นคือพัศดีและนายทหารแห่ง "แดนนาบนิ้วมือนรกน้อย" รีบเข้าไปแสดงความคารวะ
หยางเซิง :ขอแสดงความคารวะต่อท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย ข้าพเจ้านายหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตงติดตามท่านอาจารย์ตามเทวโองการมายังแดนนรก เมื่อรวบรวมหลักฐานแห่งคดี แต่งหนังสือธรรมปลอบเตือนชาวโลกที่มาถึงที่นี่ในวันนี้ขอท่านได้โปรดให้คำแนะชี้แจงด้วย
พัศดี :ยินดีต้อนรับท่านทั้งสอง ที่มาเยี่ยมชมหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" จะลงพิมพ์หลักฐานจากคุกแห่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง เชิญท่านทั้งสองตามพวกเราเข้าไปเยี่ยมชมในคุกเถิด
หยางเซิง :ขอขอบคุณท่านพัศดีที่ไม่รังเกียจ ตัวอักษร "แดนนาบนิ้วมือนรกน้อย" ได้ปรากฏอยู่หน้าประตูคุก ข้างประตูมีผู้ยืนยามรักษาการณ์อย่างเข้มงวดกวดขันตั้งป้อมตรวจตราอยู่
พัศดี :เชิญท่านทั้งสองรีบเข้าไปเถิด
หยางเซิง :ได้ยินเสียงหวีดร้องร่ำไห้แล้วละ
อรหันต์จี้กง :ทุกคุกล้วนมีเสียงหวนไห้น่าสังเวชใจ สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในแดนนรก ประหนึ่งว่าผู้คนในแดนมนุษย์ตอนที่อาการป่วยไข้กำเริบขึ้น ต่างโศกเศร้าและหวังจะขอให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป
หยางเซิง :ประตูคุกจัดทำตามแบบแผนวิทยาศาสตร์อยู่มาก มือทั้งสองข้างของวิญญาณโทษถูกมัดติดอยู่กับรางเหล็กด้วยเชือกสปริง รางเหล็กนั้นถูกเผาจนแดงฉาน มือของวิญญาณโทษทั้งสองข้างโดนนาบติด จะหดก็หดไม่ได้ รางเหล็กมีความร้อนแรงสูงมาก เชือกสปริงนั้นไม่เพียงแต่รัดแน่นกระชับแนบแล้วยังถ่ายทอดความร้อนรวดเร็วมากด้วย วิญญาณโทษคิดจะหลบหนีแต่ก็ทนความร้อนไไม่ไหวจึงล้มลงติดอยู่บนรางเหล็กอีก มือทั้งสองเหมือนกับหยิบถ่านไฟแดงๆ อยู่ จะสลัดทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ มือทั้งสองข้างก็ไหม้เกรียมจนแหลกลาญไปหมด ตัวคนก็ร้องไห้จนอ่อนแรงลง
พัศดี :คุกนี้มือชื่อว่า "แดนไฟนาบนิ้วมือนรกน้อย" สมัยก่อนนั้นใช้เตารีดมือแต่เพื่อที่จะให้มันสมดุลกับความ "มีฝีมือยอดเยี่ยม" ของชาวมนุษย์ จึงมาเปลี่ยนแปลงใช้การลงโทษแบบใหม่ข้าพเจ้าจะจัดวิญญาณโทษสัก 3-4 ตนให้มาเล่าการทำผิดในแดนมนุษย์ด้วยตัวมันเอง
หยางเซิง :ทางลับกับทางแจ้งมีเหตุผลตรงกันหมดซึ่งตรงกับคำว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" เสียจริงๆ
พัศดี :วิญญาณโทษฟังคำสั่งตามนี้ : ท่านอาจารย์และท่านหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองมนุษย์มาทำการรวบรวมหลักฐานแห่งความผิดยังคุกนี้ในวันนี้เพื่อเตือนชาวโลก ทุกๆ ตนให้เล่าเหตุการณ์ที่ตนทำผิดไว้ในปางก่อนเพื่อเป็นข้อเตือนมนุษย์
วิญญาณโทษ :ตอนมีชีวิตอยู่ผมมีนิสัยเจ้าชู้ เคยทำการล่วงเกินผู้หญิงที่เดินผ่านไปมาตามถนนหนทาง ชั่วชีวิตนั้นเคยทำความผิดในเรื่องนี้รวม 12 ครั้งด้วยกัน เมื่อตายลงแล้วถูกตัดสินให้ตกเข้ามารับโทษยังคุกนี้
พัศดี :มืออยู่ไม่สุข "มือผี" นี้สมควรรับโทษแล้ว คนที่ 2 รีบสารภาพเสีย
วิญญาณโทษ :ตอนผมมีชีวิตอยู่นั้นอาชีพยุยงปลุกปั่นผู้คนให้เกิดเป็นความเป็นคดีโดยเฉพาะเขียน "คำร้องกล่าวหา" ผู้คนแทนเขา เพื่อรับผลประโยชน์จากการกระทำนี้ ทั้งชีวิตก็มีความผิดในเรื่องนี้เท่านั้น เมื่อตายลงแล้วท่านยมบาลมีความโกรธมาก ตัดสินว่าผมชอบเขียนเรื่องราวกล่าวหาผู้อื่น ให้โทษใส่ร้ายเข้าด้วยมือ ต้องให้ไฟนาบมือเสีย ผมมารับโทษอยู่ที่นี่ความทุกข์ทรมานนั้นไม่มีใครจะหยั่งรู้ได้ ขอท่านอาจารย์โปรดช่วยเหลือด้วย
อรหันต์จี้กง :ในเมื่อแกมีความสามารถแล้ว ไฉนจึงไม่เขียนคำร้องทุกข์ท่านยมบาลเล่า เพื่อร้องขออภัยโทษจากท่านยมบาล?
วิญญาณโทษ :ท่านยมบาลเที่ยงตรงไม่ลำเอียง ผมมิกล้าไปแส่หาความยุ่งยากมาใส่ตัว
อรหันต์จี้กง :เมื่อเป็นเช่นนี้จะร้องอาตมาก็เช่นเดียวกัน
พัศดี :ห้ามขอความช่วยจากใครเลยนะ ตนที่ 3 รีบสารภาพเร็ว
วิญญาณโทษ :ผมมีอาชีพเปิดบ่อนการพนันเรียกเก็บค่าต๋งในเมืองมนุษย์ มักจะวางแผนหลอกต้มผู้มาเล่นการพนัน ต้มได้เงินทองจำนวนมาก เนื่องจากได้เงินมาอย่างสบายง่ายดาย ความเป็นอยู่จึงแหลกเหลวเน่าเฟะ และมักกระทำผิดต่อกฎหมายเพราะเหตุที่ผมใหญ่พอสมควรในวงการสังคมมืด แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อตายลงแล้วท่านยมบาลกริ้วโกรธมาก ตัดสินให้ผมตกเข้ายัง "แดนไฟนาบนิ้วมือนรกน้อย" มีกำหนดโทษ 30 ปี แต่ละวันรับทุกข์ทรมานเหลือที่จะทนทานได้
อรหันต์จี้กง :ทั้งเปิดบ่อนทั้งต้มตุ๋น โทษฐานนั้นร้ายแรงใหญ่ยิ่งนัก เมื่อครบกำหนดลงโทษ ไปเกิดเป็นมนุษย์มือทั้งสองข้างต้องรับสนองตอบด้วยเป็นมือพิการ จึงขอเตือนชาวโลกจงตัดการชอบเล่นการพนันทิ้งเสีย ตนที่ 4 รีบสารภาพมาเร็ว
วิญญาณโทษ :ปางก่อนนั้นผมเคยออกเช็คสปริง หลอกเอาเงินทองของผู้อื่น ตอนที่อยู่เมืองมนุษย์ ในใจคิดว่าเราเพียงแต่หลบซ่อนดำดินไปให้สุดหล้าฟ้าเขียว พวกเจ้าหนี้ก็ไม่สามารถจะทำอะไรกับผมได้ แต่หารู้ไม่ว่ายมบาลแห่งแดนนรกจับตัวมาทำโทษอย่างมหันต์
พัศดี :ติดหนี้ติดสินผู้อื่น แม้จะเป็นสตางค์แดงเดียวก็ต้องใช้คืนมิเช่นนั้นทางนรกจะไม่ปราณีลงโทษหนักไม่ผ่อนปรน
อรหันต์จี้กง :ชาวโลกในทุกวันนี้ ใช้เช็คสปริงกันพร่ำเพรื่อ เมื่อเขียนเช็คออกไปแล้ว แต่หลบหลีกไม่ยอมจ่าย ก็คือ "ปริงไม้ตาย" เมื่อตายลงแล้วต้องรับโทษอย่างหนัก ชาติหน้าก็ต้องเกิดเป็นวัวเป็นควายไปใช้กรรมแทน ไม่ว่าโบราณกาลหรือปัจจุบันทั้งในและนอกประเทศ ไม่มีผู้ใดจะรอดพ้นจากกรรมนี้ได้ กรรมสนองตอบของกฎแห่งกรรมไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว ชาวโลกควรตระหนักให้จงหนักให้จงหนัก
พัศดี :เอ้า ตนที่ 5 แกอย่าเต๊ะท่ามากนักเลย? รีบเล่าเรื่องที่น่าภูมิใจหนักหนาของแกในชาติก่อนมาเร็ว
วิญญาณโทษ :ขอท่านพัศดีอย่าได้เสียดสีอีกเลย! ผมเป็นพวกแก๊งผิดกฎหมายคนหนึ่ง ในตอนเป็นมนุษย์อยู่มักจะก่อเหตุทำเรื่องก่อกวนความสงบสุขของสังคม พบสิ่งที่ไม่สบอารมณ์หรือมีใครมามองหน้าเท่านั้น ก็จะลั่นหมัดต่อยตีทันที เรื่องตีต่อยนั้นจัดว่าเรื่องธรรมดาสามัญมากเมื่อตายลงแล้ว ท่านยมบาลสั่งหัวควายหน้าม้าจัดการกับผมทันทีทันใด แล้วถามผมว่าจะยอมจำนนหรือไม่ หวนนึกถึงการกระทำในปางก่อนแล้วรู้สึกว่าไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งจริงๆ
พัศดี :ตอนที่แกอยู่ในวัยหนุ่มมีกำลังกายแข็งแรง มี "แรงไฟสูง" มาก ชอบหาเรื่องต่อยตีระรานคน ทำลายความสงบแห่งสังคมเมื่อมีหมัดอันทรงพลังเข้มแข็ง ก็จะให้ใช้ทดสอบกับรางเหล็กเพื่อคลาย "ไฟแรงสูง" ของแก
อรหันต์จี้กง :ได้เวลาแล้วละ หยางเซิงเจ้าจงเตรียมตัวกลับสำนัก
หยางเซิง :ขอลาท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย และขอขอบคุณที่ให้การแนะนำชี้แจง
พัศดี :นั่นเป็นเรื่องที่สมควรกระทำอยู่แล้ว ให้นายทหารทั้งหลายตั้งแถวนมัสการส่ง
อรหันต์จี้กง :เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางกลับเถิด…
อรหันต์จี้กง :ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว
หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม