ครั้งที 42 วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2520
ขุมที่ 7
ตอน ท่องไท้ซัวอ๊วง ชมแดนเผาหัวนรกใหญ่
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนความว่า :
ตำนานเง็ก- เละป้อเชา เตือนผู้คน
บทนิพนธ์ พิสดารนี้ ตีพิมพ์ใหม่
บุญปางก่อน สนองแล้ว อย่างเที่ยงธรรม
บรรยายธรรม ตามโอกาส ดีที่สุด
อรหันต์จี้กง :สมัยก่อนในภาคตะวันออกได้มีหนังสือเล่มหนึ่งให้ชื่อว่า "เง็กเละป้อเชาคึ้งสี่บุ้ง" (คัมภีร์ตักเตือนผู้คน) ออกเผยแพร่ ในเนื้อหาหนังสือนั้นมีข้อความของนักพรตผู้ที่มีนามว่า "ไล่ไจ้เต้ายิ้ง" ได้รับเทวโองการ โดยให้วิญญาณท่องเที่ยวไปแต่ละขุมของนรก ได้เห็นความเป็นจริงในการที่ท่านยมบาลทำการลงโทษอย่างกวดขันด้วยตัวเอง เมื่อกลับคืนสู่แดนมนุษย์แล้วได้ท้าวความจริงเรื่องที่ตนเห็นมา แต่งหนังสือเล่มนั้นขึ้น เผยแพร่ไปทั้งในและนอกประเทศ ผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วได้ละความชั่วทำความดี ก็มีอยู่ไม่น้อย บรรดาที่พิมพ์แจกหนังสือเล่มนี้แล้ว ได้รับซึ่งความสนองตอบอันดีที่สามารถพิสูจน์ได้ มีประจักษ์หลักฐานให้เห็นหากแต่ว่าเหตุการณ์ในโลกมนุษย์แปรเปลี่ยนการทำโทษในแดนนรกก็เกิดเปลี่ยนแปลงใหม่ตามกันไป แล้วแต่ความเหมาะสมของกาละเทศะ ปลอบเตือนผู้หลงใหล ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่จึงเจาะจงเลือกเอานายหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมือไถ่ตง มณฑลไต้หวัน แห่งชมพูทวีปให้เข้าไปท่องนรกใหม่ ไปรวบรวมหลักฐานคดีความใหม่ ใช้กรรมวิธีลงประทับทรงให้เห็นความจริงโดยใช้หนังสือบันทึกบนถาดทรายต่อเหตุการณ์และสถานที่ทันควัน "เที่ยวเมืองนรก" จึงได้แต่งขึ้นตามเหตุฉะนี้ เพื่อใช้เป็นการทดแทนหนังสือ "เง็กเละป้อเชาคิ้งสี่บุ้ง" เพื่อเตือนชาวโลก ขณะนี้ได้สบโอกาสที่สมบูรณ์แล้ว อันนับเป็นพันปีก็ยังหาได้ยาก จึงหวังมวลมนุษย์ในพิภพให้สนองเทิดทูนต่อหนังสือเล่มนี้ เสมือนหนึ่งเป็นแก้วนิลจินดาจัดพิมพ์เผยแพร่ให้มากๆ และกว้างขวางออกไป ก็จะหมดเคราะห์ขจัดภัยไปเอง เดินในทางที่โล่งเตียน หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่เผยถึงกลไกแห่งนรก ยังบรรยายถึงความลับแห่งการบำเพ็ญธรรมด้วยบรรดาผู้ที่ศึกษาท่องอ่านด้วยความมั่นใจจริงจังแล้วจะเข้าใจธรรมสำเร็จธรรม ผู้ที่พิมพ์แจกปลอบเตือนชาวโลกนั้น เมื่อมีการบนบานไว้ก็สมตามความปรารถนา และยังจะลดหย่อนโทษฐานที่ทำไว้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเสียงสวรรค์ที่ล้างความชั่วในอดีตและบำเพ็ญธรรมในอนาคตเล่มหนึ่งได้ วันนี้เตรียมท่องนรก หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :ขอรับคำบัญชา กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้…
อรหันต์จี้กง :ถึงแล้วละ…..ลงจากดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :วันนี้จะไปแห่งใดมิทราบ?
อรหันต์จี้กง :เจ้ามองดูข้างหน้านี้คือขุมที่ 7 ไท้ซัวอ๊วงได้ลุกขึ้นมาแล้ว รีบเข้าไปแสดงความคารวะ
ไท้ซัวอ๊วง :ขอต้อนรับ ท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เชิญเข้าไปพักยังภายใน
หยางเซิง :ขอบคุณมากครับ ท่านยมบาล ที่แท้วันนี้มาเยี่ยมชมขุมที่ 7 เห็นมีข้าราชการทหารและพลเรือนตั้งแถวต้อนรับเราอยู่ยิ่งรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก เบื้องหน้าปราสาทมีวิญญาณโทษอยู่ไม่น้อยล้วนถูกพวกยมทูตควบคุมตัวไว้ ขณะนี้ท่านยมบาลกำลังพักการตัดสินคดีเนื่องจากการมาของเรา
ไท้ซัวอ๊วง :ท่านทั้งสองไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากได้มาท่องนรกด้วยตัวท่านเอง เพื่อจะแต่งหนังสือคงลำบากมาก เชิญนั่งให้นายทหารรีบเสิร์ฟน้ำชาทิพย์
นายทหาร :ขอรับคำบัญชา…เชิญท่านเทพเทวดาผู้อาวุโสทั้งสองดื่มน้ำชา
หยางเซิง :ขอบคุณท่านยมบาลที่ให้เกียรติสูงมาก
ไท้ซัวอ๊วง :หามิได้ ในขณะที่ศีลธรรมแห่งโลกมนุษย์เสื่อมโทรมยังเคราะห์ดีที่เกาะไต้หวันได้ฟื้นฟูศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์พุทธเทพท่านได้สำแดงอภินิหารประกาศธรรมปลอบเตือนชาวโลกสกัดกั้นเหนี่ยวรั้งจิตใจผู้คนให้คืนสู่ทางดี กุศลบุญนั้นใหญ่ยิ่งนัก "เที่ยวเมืองนรก" ซึ่งเป็นการทำขึ้นตามเทวโองการที่ตามกำหนดการแห่งสวรรค์ท่าน มูลเหตุแห่งกุศลนั้นมิใช่เล็กน้อยเลยท่านทั้งสองเพิ่งได้มายังที่นี่ในวันนี้ รู้สึกว่าค่อนข้างจะล่าช้าไปสักหน่อยไหม?
อรหันต์จี้กง :ขอขอบคุณท่านไท้ซัวอ๊วงให้การชี้แจง การช่วยชาวโลกก็มีใจที่ตรงตามเช่นเดียวกัน ที่มายังขุมของท่านล่าช้าไปในวันนี้ โปรดอภัยให้ด้วย ขอได้ประทานอธิบายแก่นแท้แห่งธรรมนั้นเถิด
ไท้ซัวอ๊วง :ดีมาก ชาวมนุษย์เมื่อตายลงแล้ว ทางทายาทล้วนจัดทำพิธีกรรม "เจ็ด - เจ็ด" (คือครั้งละเจ็ดวันต่อเจ็ดครั้ง) เพื่อให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ทำการสวดวิญญาณให้ไปสู่ที่ชอบที่สุข วิงวอนให้วิญญาณผีได้ขึ้นอยู่สวรรค์ อันนี้ท้าวความมาจากเจ็ดแรกวิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 1 เจ็ดที่ 2 วิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 2 เจ็ดที่ 3 วิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 3 เจ็ดที่ 4 วิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 4 เจ็ดที่ 5 วิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 5 เจ็ดที่ 6 วิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 6 เจ็ดที่ 7 วิญญาณผู้ตายไปถึงขุมที่ 7 ชาวโลกมักจะนับเจ็ดวันเป็นหนึ่งรอบ เพื่อทำพิธีกรรมในด้านสวดศพแผ่กุศล แต่หารู้ไม่ว่าผู้ตายนั้นส่วนมากได้สะสมบาปเวรในตัวอยู่ก่อนแล้ว โดยมิใช่ว่าภายใน 49 วัน แล้วก็สามารถจะผ่านพ้น 7 ขุมไป ต้องผ่านขุมที่ 8, 9, 10 แล้วจึงไปเกิดใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมาทำการสวดศพแผ่กุศลหลังจากตายลงแล้วจึงสู้มาทำบุญสร้างงกุศลในขณะที่ยังมีชีวิตไม่ได้หากว่าตอนมีชีวิตอยู่ได้สร้างบุญกุศลไว้ เมื่อตายลงแล้วทางเจ้าโชคเจ้าชัยก็จะนำทางเอง โดยไม่ต้องอาศัยทำกรรมพิธีสวด ก็จะได้เดินเหินโดยอิสรเสรี มิเช่นนั้นแล้วแม้จะมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารเก่งกล้าอย่างไรก็ไม่สามารถพ้นจากด่านนรกไปได้ อันนี้ชาวโลกควรจะตระหนักเข้าใจเอาไว้
หยางเซิง :ไฉนชาวโลกจึงพูดว่า "เจ็ด - เจ็ด" โดยไม่ว่า "แปด - เจ็ด" "เก้า - เจ็ด" "สิบ - เจ็ด" เล่า?
ไท้ซัวอ๊วง :ในยมโลกมีขุมที่สำคัญคือจากขุมที่ 1 ถึงขุมที่ 7 โทษที่ได้รับจากขุมที่ 8 ต่อไปนั้นเป็นโทษที่เหลือมาจากขุมก่อนๆ นำเอามาพิจารณาใหม่เป็นส่วนมาก ดังนั้นเมื่อผ่าน "เจ็ด - เจ็ด " ไปได้แล้วที่เหลือนั้นล้วนเป็นโทษชั้นรอง ชาวโลกที่คำนึงถึงบรรพบุรุษของตนจะผ่านด่านผ่านขุม จึงได้ทำพิธีกรรมดังกล่าวมาแล้ว "ความกตัญญู" นั้นก็น่าสรรเสริญอยู่ แต่ "ใจกุศล" จะเป็นประโยชน์ใช้การได้เที่ยงแท้กว่า
อรหันต์จี้กง :คนตายลงแล้วรับการพิจารณาตัดสินอีกครั้งระหว่างการลงโทษ หรือก่อนที่จะไปเกิดใหม่ ทางลัทธิเต๋านั้นเรียกว่า "ดวงวิญญาณ" เนื่องจากวันหลังจะต้องเวียนมาเกิดใหม่ ร่างที่ตกอยู่ในยมโลกเพียงชั่วขณะเวลาหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นทางพุทธจึงเรียกว่า "ตงอิมซิม" (ร่างกิ่งมืด) ที่จะช่วยให้วิญญาณของผู้ตายพ้นทุกข์นั้น พวกทายาทต้องทำบุญสร้างกุศล เพื่อดลบันดาลให้ยมบาลอภัยโทษให้ อันนี้เป็นทางที่ดีที่สุด ส่วนที่ให้พระนักบวชทำการบวชทำการสวดเพื่อให้ไปในทางที่ดีที่ชอบนั้นถ้ามิใช่พระนักบวชที่มีคุณธรรมแล้ว ก็จะเป็นการ "ทำตามเรื่อง" เท่านั้นเองจะหาประโยชน์อันใดมิได้ ขอฝากไปยังชาวโลก อันความกตัญญูกตเวทีต้องอยู่ในเวลาอันสมควร (หมายถึงตอนที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่) ข้าวสุกเม็ดเดียวที่เคารพส่งให้บิดามารดารับประทานตอนมีชีวิตอยู่ จะมีค่าเหนือกว่าเซ่นไหว้ด้วยสุราหนึ่งขวด หากว่าพ่อแม่ได้ล่วงลับไปแล้วยิ่งควรที่ปฏิบัติในทางมีศีลธรรม พิมพ์แจกหนังสือธรรมให้มากๆ ในตำราคัมภีร์ธรรม การกระทำบุญกุศลนี้จะดลบันดาลพุทธเทพยมโลกได้ง่ายที่สุดและเป็นการตอบสนองพระคุณของบิดามารดาให้พ้นจากทะเลทุกข์ไปสู่ที่สุขวิธีหนึ่ง จงปฏิบัติไปเถิด
หยางเซิง :คำพูดของท่านอาจารย์ ชี้ตรงไปยังจิตใจของมนุษย์เป็นประโยชน์ต่อมวลชนผู้ที่มีความขัดเคืองดื้อรั้นต่อบิดารมารดาตอนท่านมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านตายลงแล้ว จึงทำการกตัญญูต่อนั่นจะเหมือนคำที่กล่าวว่า "ต้นไม้แม้จะสงบแต่ลมไม่ยอมหยุดนิ่ง ลูกจะกตัญญูแต่สิ้นพ่อแม่เสียแล้ว" ขอเรียนถามท่านอาจารย์อีกนิดเถิดว่าลักษณะวิญญาณผีในยมโลกเหมือนกันกับลักษณะของคนในแดนมนุษย์เมื่อเนื้อหนังมังสาได้เปลื่อยลงแล้ว ตัวคนนั้นมาจากแห่งใดเล่า ?
อรหันต์จี้กง :นี่คือ "ตัวปลอม" "ตัวเงา" ก็คือ "ตงอิมซิง" (ร่างกึ่งมืด) นั่นแหละ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตัวแปลง" เนื่องจากเวลาจำกัดขอเชิญท่านไท้ซัวอ๊วงชี้แจงถึงภาระหน้าที่ของขุมท่าน
ไท้ซัวอ๊วง :ขุมนี้ควบคุม "นรกใหญ่เผาหัวสมอง" และนรกน้อยอีก 16 แห่ง บรรดาวิญญาณโทษที่ส่งมาขุมนี้ ข้าพเจ้าจะพิจารณาด้วยความเที่ยงธรรมไม่ยอมให้มีการลำเอียงเข้าใครออกใคร รายละเอียดต่างๆ ข้าพเจ้าทั้งสองจะพาท่านทั้งสองไปเยี่ยมชมเอง
หยางเซิง :ดีมากครับ ! ขอบคุณมากที่ท่านไท้ซัวอ๊วงที่ได้ให้การชี้แจง
ไท้ซัวอ๊วง :ส่งข้าราชการทหารพลเรือนตุลาการอารักขานำพาหยางเซิงไปเยี่ยมชม "นรกใหญ่เผาหัวสมอง"
ข้าราชการ :ขอรับคำบัญชา เชิญท่านทั้งสองตามเจ้านายท่านไปเถิด
หยางเซิง :เดินตามหลังท่านอ๊วง รู้สึกหนทางในแดนนรกวิเวกวังเวงใจ กฎมาตราไม่เข้าใครออกใคร มันเปิดทางให้เดินแต่ผู้ที่มีศีลธรรมเท่านั้นเอง
อรหันต์จี้กง : เจ้าหยางเซิงสะเทือนในอารมณ์เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ แต่ในแดนนรกไม่มีญาติมิตรให้การพึ่งพาอาศัย มีแต่บุญบาปที่สร้างไว้ในปางก่อนติดตามไปเท่านั้น คนชั่วผีร้ายตามคนดีเทวทูตให้ความสนิทผิดชอบ เตือนชาวโลกจงคบแต่เพื่อนที่มีแต่ใจบุญสุนทาน ทำทานให้มากเพื่อที่จะไม่ต้องเข้าไปรับความกดขี่ข่มเหงอยู่อย่างอดสูจากนรก
หยางเซิง :รู้สึกความร้อนต้องกายสัมผัสตัว เบื้องหน้านั้นเปลวไฟแดงฉานทะลุฟ้า เห็นแต่แดงเถือกเป็นพืดไปหมด ประตูคุกเขียนไว้ว่า "นรกใหญ่เผาหัวสมอง" กำแพงก่อด้วยอิฐ
อรหันต์จี้กง :นี่คืออิฐทนไฟอย่างดี ไฟยิ่งเผาอิฐก็ยิ่งผนึกแข็งแกร่งขึ้น
พัศดี :ขอต้อนรับท่านเจ้านายครับผม
ไท้ซัวอ๊วง :ฉันพาท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง มาเยี่ยมชมรีบตั้งแถวต้อนรับเร็ว
พัศดี :ขอรับคำบัญชา
ไท้ซัวอ๊วง :เบื้องหน้านี้คือ "นรกใหญ่เผาหัวสมอง"
หยางเซิง :ร้อนเสียจนอึดอัดใจ พื้นทางเดินใช้หินและอิฐปูติดเป็นพืด ด้านใต้มีไฟโหมเผาแดงไปหมดวิญญาณโทษที่เดินผ่านทุกๆ ตนจะล้มกลิ้งอยู่กับพื้นส่งเสียงร้องครวญครางวิญญาณโทษที่อยู่ข้างนอก ซึ่งถูกส่งมาจากขุมอื่น เมื่อมองเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ล้วนแผดเสียงร้องไห้อย่างกับบิดามารดาได้ตายลงฉันนั้น และคงตรึงอยู่กับที่ไม่ยอมขึ้นหน้าไป ยมทูตก็ผลักไปข้างหน้าวิญญาณโทษเหยียบลงที่อิฐไฟด้วยเท้าเปล่าเปลือยล้มลงแล้วส่งเสียงอย่างเจ็บปวดทันทียิ่งดิ้นทั้งร่างยิ่งถูกเผาหนักมากขึ้น มิทราบว่าพวกนั้นทำผิดอะไรบ้าง ?
ไท้ซัวอ๊วง :ขุมนี้มีชื่อว่า "เผาหัวสมอง" บรรดาที่มีจิตใจเห็นแก่ชื่อเสียงทรัพย์สมบัติมากเกินควรตอนมีชีวิตอยู่ จนทำให้ผู้อื่นเสียหายตัวเองรับผลประโยชน์ไปนั้น หรือผู้ที่เอาอกเอาใจต่อเพศตรงข้ามเกินควร ยกย่องเทิดทูนสุดกำลังแต่กับพวกเพศเดียวกันกับเหี้ยมโหดไร้ความปราณี ชอบฉวยโอกาสในขณะที่ผู้อื่นกำลังตกอยู่ในความพิบัติ ทำการซ้ำเติมร่างให้ฉิบหายเร็วขึ้น หรือพวกที่มีนิสัยเลือดร้อน มักจะโกรธแค้นเป็นฟืนเป็นไฟ ด่าว่าฟ้าดิน หรือพวกที่นักหาช่องถือโอกาส ชอบเดินทางลัดหาผลประโยชน์ใส่ตัว หรือพวกที่ชอบไปพึ่งบารมีผู้มีอำนาจราชศักดิ์ ดูหมิ่นถิ่นแคลนผู้ยากจน บรรดาที่ไม่ดำเนินในทาง "สายกลาง" ต่อเหตุการณ์ต่างๆ หัวรุนแรงดื้อรั้นจนผิดศีลผิดธรรมนั้น ล้วนต้องมารับการลงโทษจากขุมนี้ คุกนี้มีการลงโทษที่ง่ายดายมาก เพียงแต่สามารถเดินผ่าน "ทางอิฐไฟ" สามร้อยลี้ (1 ลี้ = 555.5 เมตร) โทษนี้ก็จะหมดไปแต่ว่าอิฐไฟนั้นร้อนจนเป็นสีแดง จะผ่านไปได้บางคนต้องใช้เวลาถึง 3 ปี 5 ปีไม่เท่ากัน ต้องแล้วแต่บาปที่ก่อไว้ในปางก่อนเป็นเกณฑ์แห่งการลงโทษ ที่มีบาปน้อยหน่อยเมื่อเหยียบลงบนอิฐไฟ ความร้อนของใต้พื้นเท้าจะลดลงโดยปริยายจงผ่านไปได้ง่ายพวกมีบาปมากก็จะมีผลตรงกันข้าม การที่มีบาปมากบาปน้อยจึงรับความร้อนจาก "แรงไฟแตกต่างกัน" คุกนี้ทั้งร้อนทั้งอึดอัดทำให้คนแสนที่จะระอา พวกที่ต้องไปรับโทษที่ 16 ขุมนรกน้อยนั้นต้องเดินไปในทางเล็กที่อยู่ข้างนั้น ก็มีอิฐแดงไฟร้อนเช่นกัน แต่ว่าความร้อนนั้นมีความจำกัดอยู่ แค่ทำวิญญาณโทษนั้นตกตื่นไม่ถึงกับมีอันตรายให้ลิ้มชิมรส (รสชาติทรมาน) เสียก่อน เมื่อถึง 16 ขุมนรกน้อยแล้วจึงจะลงโทษหนักอีกครั้งหนึ่ง
อรหันต์จี้กง :เนื่องจากเวลาหมดลงแล้ว คราวหน้าจะมาเยี่ยมคำนับใหม่ เราขอลาก่อนละ
ไท้ซัวอ๊วง : เมื่อเวลาหมดลง เราก็ไม่ขอหน่วงเหนี่ยวละ ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์
หยางเซิง :ขอบคุณท่านไท้ซัวอ๊วงที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นมาก เราขอลาก่อน
อรหันต์จี้กง :เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เดินทางกลับได้…..
อรหันต์จี้กง :ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว
หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
บันไดขั้นแรก ที่จะก้าวขึ้นไปสู่ความสุขนั้น จะต้องตั้งต้นกันที่ “การไม่คบคนพาล” ให้ได้เสียก...