สวีหมิงติ่งเจี่ยงซือ
ข้าพเจ้าเป็นคนเดิมจากคุกสวรรค์ ข้าพเจ้าละอายแก่ใจเหลือเกินตอนที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวเหมือนกับทุกท่านที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่เป็นเพราะมีนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่จึงลืมเลือนการบำเพ็ญ ยังโทษบ่นตัดพ้อหลีกห่างจากความสำนึกคุณไปไกลมาก ตอนที่ข้าพเจ้าละกายสังขาร คิดว่ามรรคผลของตนพร้อมพูนคงกลับคืนเบื้องบนอยู่ข้างกายพระแม่องค์ธรรมได้อย่างแน่นอน ไม่คาดคิดว่าตนเองต้องผ่านพบสามด่านเก้าทวาร ได้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่อาจผ่านพ้นได้ จึงถูกตีเข้าสู่คุกสวรรค์ เมื่อนำบุญกับบาปมาเปรียบเทียบกันแล้ว จึงไม่อาจหลีกพ้นจากอุ้งมือของเทพฝ่ายตรวจการไปได้ ความผิดพลาดแต่ละข้อแต่ละอย่างได้ปรากฏให้เห็นต่อหน้า จึงถูกลงโทษเพราะความผิดพลาดผิดบาปเหล่านั้น ทุกเวลานาทีจึงต้องกริ่งเกรงระวัง ไม่อาจปล่อยตัวตามสบายได้เลย หากปล่อยตัวตามสบายความคิดที่ไม่รอบคอบระวังแม้เพียงน้อยนิด ก็คงต้องติดอยู่ในอุ้งมือของพระพุทธะ โดนตีจนตาลายพร่ามัว ไม่รู้ว่าเมธียังจดจำกันได้หรือไม่? จดจำพระโอวาทของท่านผู้เฒ่าคุณฟ้าได้หรือไม่? ที่ได้กล่าวถึงสภาพความเป็นจริงและการลงโทษในคุกสวรรค์เอาไว้อย่างชัดแจ้ง ข้าพเจ้าจะนำความในใจของข้าพเจ้าบอกกล่าวให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่เมธีทั้งหลาย ดีหรือไม่ดี?
ข้าพเจ้าเป็นคนในยุคใกล้ปีสาธารณรัฐ (หมินกั๋ว) เพิ่งละกายสังขารได้ไม่นาน ข้าพเจ้ามีชื่อว่า “สวีหมิงติ่ง” ทุกท่านคงไม่รู้จักข้าพเจ้า แต่ในอาณาจักรธรรมอีก สายธรรมหนึ่งจะมีคนที่รู้จักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าละกายสังขารเมื่ออายุได้ ๖๑ ปี เป็นผู้ชาย ต้นตระกูลของข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองเฉาโจว (แต้จิ๋ว) บิดามารดาเปิดโรงงานผลิตกระดาษอยู่ที่นั่น เป็นเพราะมีความเข้าใจต่อธรรมะอย่างลึกซึ้ง และยังจริงใจศรัทธาในการบำเพ็ญปฎิบัติธรรม จึงได้ปิดกิจการโรงงานผลิตกระดาษที่เมืองเฉาโจวไป และนำพาครอบครัวติดตามนักธรรมอาวุโส ไปปฏิบัติแพร่ธรรมถึงไต้หวัน ทั้งบิดามารดาเป็นญาติธรรมเก่าแก่ ที่มีจิตศรัทธาข้าพเจ้าเติบโตอยู่ในวงการธรรมตั้งแต่ยังเล็ก บิดามารดาของข้าพเจ้ามีจิตใจที่จงรักภักดีต่อเบื้องบนมาก คนรู้จักกันก็มีแต่ญาติธรรม ข้าพเจ้าจะทำอะไรก็จะเป็นเหมือนกับผู้บำเพ็ญทั้งหลาย หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับการส่งเสริมจากบิดามารดา และนักธรรมอาวุโสเป็นอย่างมาก พออายุได้ ๒๓ ปี จึงได้ตั้งปณิธานกินเจ และค่อยๆ เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจต่อธรรมะมากขึ้นโดยไม่ลดน้อยถอยลง ด้วยความศรัทธาจริงใจต่อธรรมะเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เข้าร่วมช่วยงานธรรมะอย่างจริงจังศรัทธา
ตอนหลัง นักธรรมอาวุโสจึงยกระดับข้าพเจ้าเป็นบุคลากรสำคัญในอาณาจักรธรรม เริ่มจากฝึกหัดบรรยายธรรม จนได้เป็นเจี่ยงซือและเป็นเจี่ยงซือผู้ดูแลพุทธสถาน ในเส้นทางสายนี้ข้าพเจ้ามานะพากเพียรต่อการศึกษาฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง และรับผิดชอบต่อการบรรยายธรรมเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มีการจัดแจงวางแผนให้ข้าพเจ้าบรรยายธรรม ข้าพเจ้าก็จะไม่บอกปัดหรือปฏิเสธและยังคงตั้งใจในการเตรียมเนื้อหาบรรยายด้วย ทำให้มีญาติธรรมมาฟังกันอย่างล้นหลาม ช่างเป็นแรงใจให้กับข้าพเจ้าเหลือเกิน เป็นเพราะข้าพเจ้าคุ้นเคยกับการชื่นชมยกย่องของผู้อื่น จึงเริ่มมีความยโสโอหังอวดดื้อถือดี ข้าพเจ้ารู้แต่ว่าทุกๆ วัน ต้องประดับประดารูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดี จึงลืมที่จะจัดการกับความบกพร่องไปของจิตภายใน ประกอบกับไม่รู้ที่จะย้อนมองส่องตนจึงสร้างความผิดพลาดมากมาย แต่ก็ยังไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนมีแต่อยู่ต่อหน้านักธรรมอาวุโส และบิดามารดาเท่านั้นจึงจะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าญาติธรรม ข้าพเจ้าจะวางตัวสูงส่งยืนอยู่สูงเกินไปแล้วล่ะ หยิ่งยโส จองหองอวดดี แต่ใจศรัทธาเชื่อมั่นต่อธรรมะนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ในด้านการดำเนินปฏิบัติงานธรรมนั้น ทุกคนได้แต่ยอมรับ เพราะตั้งแต่เล็กมา ข้าพเจ้าก็ได้เห็นถึงความเสียสละทุ่มเทต่อธรรมะของนักธรรมอาวุโสข้าพเจ้าจึงยอมรับนับถือ และประทับใจเป็นอย่างยิ่ง โดยความคาดหวังของบิดามารดา ข้าพเจ้าจึงฮึกเหิมมุ่งมั่นอยู่ช่วงหนึ่ง ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับอาณาจักรธรรม และอุทิศทั้งชีวิตให้กับอาณาจักรธรรม
ตอนที่ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาที่สุดนั้น เบื้องบนก็ประทานการทดสอบมาถึงตัว ในพุทธสถานที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบดูแลอยู่ได้รู้จักกับกุลสตรีนางหนึ่ง เป็นเจี่ยงซือด้วยกัน โดยการส่งเสริมเห็นชอบของญาติธรรม และจิตใจของข้าพเจ้าเองก็ไหวหวั่นด้วยข้าพเจ้ากับเธอจึงได้แต่งงาน สร้างครอบครัวบำเพ็ญธรรมขึ้นมาเดิมคิดว่าจะต้องสมบูรณ์พูนพร้อมแน่ๆ เมื่อมีภรรยาแล้ว ก็ได้ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวตามมา ทำให้ภาวะความเป็นอยู่เกิดความน่าวิตกขึ้น ข้าพเจ้าจะไม่ละทิ้งงานทางธรรมก็ไม่ได้ จึงกลับบ้านไปทำมาหากินเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆ ข้าพเจ้าได้แต่เสียใจที่ไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะมีภาระหนักในการเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆข้าพเจ้าจึงได้เข้าใจ ถึงว่าการบำเพ็ญที่วิสุทธิ์ผ่องใสสงบนั้นล้ำค่ามาก
ในระหว่างที่ต้องละทิ้งทางหนึ่ง เลือกอีกทางหนึ่ง จึงได้รับการเคี่ยวกรำอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้น ภรรยาของข้าพเจ้าเจ็บป่วยแล้วจึงลาจากโลกไป ข้าพเจ้ามีความรู้สึกถึงผิดบาปที่มีอยู่อย่างมาก เมื่อเหลือแค่ลูกชายลูกสาว ข้าพเจ้าจึงไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างอีกและกลับเข้าสู่อาณาจักรธรรมอีกครั้งหนึ่ง เริ่มต้นทุ่มเทกายใจทั้งหมด เข้าร่วมดำเนินงานธรรมกิจ
ตอนที่ข้าพเจ้าอายุ ๓๕ ปี ได้ตั้งปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ตั้งใจที่จะติดตามนักธรรมอาวุโสบำเพ็ญปฏิบัติธรรม และฉุดช่วยผู้คน เมื่อบิดามารดาได้เห็นข้าพเจ้าตั้งปณิธานใหญ่นี้ก็ปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกท่านบำเพ็ญปฏิบัติธรรมกันมาทั้งชีวิตจึงคาดหวังให้ข้าพเจ้าได้ทำตามเช่นกัน โดยทำเพื่ออาณาจักรธรรมอย่างเต็มกำลังความคิดสักนิด ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งบิดามารดาของข้าพเจ้าได้เจ็บป่วย แล้วจึงละกายสังขารกันไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ข้าพเจ้าจึงตระหนักถึงความทุกข์ ที่เกิดจากการอยู่กันคนละโลกของข้าพเจ้ากับท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าพเจ้าเองก็ได้เติบโตขึ้นมากจากความทุกข์ทิ่มตำทั้งสองครั้งนี้จึงทำให้ยิ่งแกร่งกล้ามานะ และบอกกับตนเองว่า ต้องเป็นแบบอย่างอันดีงามให้ได้ จึงติดตามนักธรรมอาวุโสอยู่ในอาณาจักรธรรม ยิ่งขยันหมั่นเพียรในการเผยแพร่ธรรมปฏิบัติธรรมและฉุดช่วยผู้คน
หลังจากนั้น ด้วยความศรัทธาจริงใจของข้าพเจ้า บิดามารดาของข้าพเจ้าจึงอาศัยร่างสามคุณ เพื่อแสดงบุญญาธิการประจักษ์ธรรมและผูกบุญสัมพันธ์ ทั้งสองท่านมีอริยฐานะ เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นเจี่ยงซือใหญ่ ที่มีความรู้ลึกซึ้งและเป็นผู้อยู่ข้างกายของนักธรรมอาวุโสกับเตื่ยนฉวนซือ บิดามารดาของข้าพเจ้าจึงได้กลับสู่เบื้องบนเสวยมรรคผล จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหยิ่งยโสและวางตัวสูงส่ง ในด้านหนึ่งข้าพเจ้าได้รับบารมีคุณจากนักธรรมอาวุโสและบิดามารดา ในอีกด้านหนึ่งก็ด้วยความที่ข้าพเจ้าบรรยายธรรมได้เก่ง เป็นถึงเจี่ยงซือใหญ่ นักธรรมอาวุโสจึงมอบหมายให้มีหน้าที่ฝึกหัดเจี่ยงซือ พูดได้เลยว่าหนทางธรรมที่เดินอยู่นี้ราบรื่นสวยงามมากเหลือเกิน
เมื่อปืนขึ้นไปยิ่งสูง จึงลืมมองลงไปยังด้านล่าง เคยชินกับการยอมรับของนักธรรมผู้น้อย และเจี่ยงซือที่ข้าพเจ้าฝึกหัดขึ้นมา ทุกคนจึงต้องฟังคำชี้แนะจัดการของข้าพเจ้า ต้องคอยดูสีหน้าอารมณ์ของข้าพเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ หากมีเตี่ยนฉวนซือมาเชิญให้เจี่ยงซือเหล่านี้ไปบรรยายธรรม ข้าพเจ้าก็จะพิจารณาถึงการบำเพ็ญปฏิบัติของเตี่ยนฉวนซือท่านนั้นๆ ก่อน หากว่าไม่เป็นไปอย่างที่ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าก็จะปฏิเสธตัดบททันที โดยเฉพาะถ้ามีเตี่ยนฉวนซือจากสายธรรมอื่น มาที่อาณาจักรธรรมของข้าพเจ้า พวกท่านเหล่านั้นรู้สึกว่าเจี่ยงซือของพวกเราฝึกหัดกันได้เป็นอย่างดี และบรรยายกันได้ยอดเยี่ยมมาก จึงต้องการให้ข้าพเจ้าจัดเจี่ยงซือบางคน ไปบรรยายธรรมที่อาณาจักรธรรมของพวกท่าน แต่ว่าในเรื่องญาติธรรมและสายธรรมนั้น ข้าพเจ้าแบ่งแยกอย่างชัดเจนมาก ข้าพเจ้าจึงไม่ยอมให้เจี่ยงซือของเราไปบรรยายที่นั่นรวมทั้งยังบอกกล่าวกับเตี่ยนฉวนซือ และญาติธรรมของสายธรรมนั้นๆ ว่าอย่าได้มาฟังการบรรยายที่อาณาจักรธรรมของเราอีก เพราะว่าข้าพเจ้าแบ่งแยกชัดเจนจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงผิดพลาดล่วงเกินต่อคนเป็นจำนวนมาก และผิดพลาดต่อพุทธบุตรเดิมมากมาย ในตอนนี้ข้าพเจ้าจึงได้รู้ถึงความไม่ถูกต้องของตนเอง รู้สึกละอายแก่ใจมากที่ในตอนนั้นปัญญาของตนเองยังไม่สูงเท่าไร คิดแต่ว่าสับสนสายทองไม่ได้ ดังนั้นจึงผิดพลาดต่อพุทธ บุตรเดิมมากมาย ด้วยเหตุการณ์อย่างนี้ ข้าพเจ้าผิดพลาดล่วงเกินต่อเตี่ยนฉวนซือหลายท่าน จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุดหย่อน รวมทั้งใส่ร้ายทำลายกันและกันด้วย
ในตอนนั้น ข้าพเจ้าจึงปิดกั้นตนเอง ปิดขังตัวเองในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ได้อ่านหนังสือหลายเล่ม ได้อ่านข้อมูล หนังสือ ข่าวคราวในการดำเนินการปรกโปรดสามโลกของพระอาจารย์ชาย พระอาจารย์หญิงหลังจากนั้น ในขณะบรรยายธรรมก็จะนำหลักธรรมสามโลกบรรยายให้ญาติธรรมได้ฟัง เมื่อเตี่ยนฉวนซือของข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้เข้า จึงโดนปิดกั้นขัดขวาง เมื่อข้าพเจ้ามีใจที่จะประกาศเผยแพร่ธรรมอย่างนี้ แต่ถูกปิดกั้นขัดขวาง แล้วจะตำหนิใครได้เล่า?
ในตอนหลัง จิตใจของข้าพเจ้าเกิดการตัดพ้อโทษกล่าวใจไม่อาจสงบราบเรียบได้ จึงอาศัยช่วงที่เตี่ยนฉวนซือกำลังปฏิบัติธรรมอยู่นั้น (ถ่ายทอดธรรม) ข้าพเจ้าได้ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นทำตัวเป็นปฏิปักษ์คู่ปรับของเตี่ยนฉวนซือ เวลาอยู่ต่อหน้าญาติธรรมข้าพเจ้าก็จะลบหลู่หยามเกียรติด่าทอเตี่ยนฉวนซือ จึงเข้ากันไม่ได้กับเตี่ยนฉวนซือ
ข้าพเจ้าชอบอยู่ลำพังคนเดียว และยังมีนิสัยอารมณ์แปลกๆดังนั้นคนที่อยู่ข้างกายข้าพเจ้า ต่างจึงหลีกห่างหนีหายจากข้าพเจ้าไปหมด ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะบรรยายได้เก่ง แต่ก็ยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ไม่มีบารมีคุณให้คนอื่นศรัทธาเลื่อมใสได้ ทุกข์เรื่องที่ข้าพเจ้าทำ ก็จะยึดติดอยู่ว่า เรื่องนั้นๆ ทำไปแล้วได้บุญกุศลหรือเปล่า? หากว่ามีบุญกุศลน้อยมาก ก็จะเกียจคร้านไม่อยากทำ และยังยึดติดอยู่อีกว่า บำเพ็ญติดตามผู้ใดแล้วจะบรรลุธรรมสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ยิ่งบำเพ็ญนานวัน ก็ยิ่งยึดติดว่าบุญกุศลมากหรือน้อย รวมทั้งเมื่อรับปากกับญาติธรรมว่าจะไปฉุดช่วยคน ข้าพเจ้ายังไม่สามารถทำได้ เมื่อรู้ว่าญาติธรรมจะให้ข้าพเจ้าไปฉุดช่วยคนแก่ที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือคนยากคนจน ข้าพเจ้าก็จะบอกปัดไป เพราะข้าพเจ้าคิดว่าตัวเอง เป็นถึงเจี่ยงซือใหญ่ มาตรฐานความรู้ของข้าพเจ้าสูงกว่าคนเหล่านั้นข้าพเจ้าไม่เต็มใจ ที่จะไปฉุดช่วยผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกเด็ก เล็กแดง และพวกผู้หญิง ข้าพเจ้าดูถูกดูแคลนคนเหล่านั้นและคิดไป ว่าตัวเองควรที่จะทำความเกี่ยวข้องกับพวกผู้ดีมีสกุล หรือพวกข้าราชการจึงจะสมกับตำแหน่งของข้าพเจ้าที่เป็นถึงเจี่ยงซือใหญ่
ในด้านหนึ่ง ข้าพเจ้าก็คิดว่าทั้งชีวิตอยู่ในอาณาจักรธรรมบุญกุศล และผลงานของข้าพเจ้าย่อมมีไม่น้อย ได้ทุ่มเทอุทิศให้เบื้องบน และนักธรรมอาวุโสมาโดยตลอด เพราะเหตุใดเบื้องบนและนักธรรมอาวุโส จึงไม่รู้ว่าข้าพเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? นักธรรมผู้น้อยของข้าพเจ้า ล้วนแต่ปีนป่ายขึ้นมาบนหัวของข้าพเจ้าแล้ว ปีนป่ายขึ้นไปสูงกว่าข้าพเจ้าแล้วจะไม่ให้ข้าพเจ้าร้อนรนได้อย่างไร? ดังนั้นความคาดหวังที่มีต่อลาภยศชื่อเสียง ข้าพเจ้าเองยังวางไม่ลงปลงไม่ตก แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าบอกกับ นักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้ายึดติดเป็นอย่างมากจริงๆ เหตุใดข้าพเจ้าบำเพ็ญมาทั้งชีวิต แต่เบื้องบนและนักธรรมอาวุโสก็ยังไม่ยกระดับให้เป็นเตี่ยนฉวนซือ เสียที และเมื่อยิ่งยึดติดมาก จิตใจก็ยิ่งเลวร้ายนิสัยอารมณ์ก็ยิ่งแปลก จึงล่วงเกินผิดใจกับญาติธรรมเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้น ลูกชายของข้าพเจ้าได้เป็นถันจู่เจ้าตำหนักพระข้าพเจ้าจึงบรรยายธรรมอยู่แต่ที่พุทธสถานของลูกชาย หากมีอาณาจักรธรรมอื่นหรือพุทธสถานอื่น มาเชิญให้ข้าพเจ้าไปบรรยายข้าพเจ้าก็จะตอบปฏิเสธไม่ไปบรรยายแน่ๆ จึงปิดกั้นตนเอง ด้วยเหตุอย่างนี้รวมทั้งที่นักธรรมอาวุโสกับเตี่ยนฉวนซืออยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ไปทั้งสิ้น มีเพียงบางครั้งบางโอกาสที่จะไปนั่งที่บ้านญาติธรรม แต่ว่าใจธรรมของข้าพเจ้าเองนั้นก็ยังมั่นคงยืนหยัดอยู่
เมื่ออายุได้ ๖๑ ปี จึงป่วยหนักแล้วลาจากโลกนี้ไป เมื่อละกายสังขารแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองคงมรรคผลพร้อมพูนแน่ๆ พระอาจารย์จี้กงคงมาพาวิญญาณกลับสู่พระนิพพาน และได้เข้าเฝ้าพระแม่องค์ธรรมแต่เมื่ออยู่ที่ด่านตรีเทพพิทักษ์มหาราชกลับไม่ผ่านการทดสอบ จึงถูกตีให้ไปยังคุกสวรรค์
ในวันคารวะเคลื่อนศพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นนักธรรมอาวุโสและเตี่ยนฉวนซือ นำพาญาติธรรมมากมาย มาปักธูปคารวะศพ ข้าพเจ้าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง และก็ซาบซึ้งเป็นอย่างมากด้วยเพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้ายังบำเพ็ญนิสัยอารมณ์ได้ไม่ดีพอยังคงมีนิสัยอารมณ์ร้ายๆ แปลกๆ อยู่ แต่ก็ยังตำหนิโทษกล่าวนักธรรมอาวุโสและเตี่ยนฉวนซือ ยังคงไม่พอใจกับสภาพรอบตัวรวมทั้งไม่พอใจต่อการวางแผนจัดการของคนอื่น รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก รู้ว่าตัวเองยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ยังปฏิบัติได้ไม่ดี ตอนมีชีวิตอยู่ยังบำเพ็ญได้ไม่สมบูรณ์
ที่คุกสวรรค์นั้น รอคอยพวกเราไปรายงานตัวทุกเวลาตอนนี้ข้าพเจ้าได้ลิ้มรสความทุกข์ทุกอย่างของคุกสวรรค์แล้ว อยู่ที่คุกสวรรค์บำเพ็ญได้ยากกว่าในขณะที่ยังมีกายสังขารอยู่ ดังนั้นทุกท่านควรคิดให้รอบคอบชัดเจน ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าได้รับวิถีธรรมและบำเพ็ญธรรมแล้ว เมื่อละกายสังขารคงสามารถกลับคืนสู่พระนิพพาน และเสวยมรรคผลได้แน่นอน ไม่คาดคิดว่าบำเพ็ญยังไม่ดี ระดับจิตใจยังไม่สูงส่งพอ จึงต้องถูกทดสอบเคี่ยวกรำอยู่ในคุกสวรรค์ ยังดีที่ข้าพเจ้าสามารถรักษาปณิธานสองข้อใหญ่ (ชิงโข่วและชิงซิว) เอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงไม่อาจคาดคิดได้เลย ดังนั้นบำเพ็ญธรรมจะไม่ระมัดระวังไม่ได้
เมธีทั้งหลาย พวกท่านเป็นพวกที่โชคดีที่สุด มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสอนสั่งกล่อมเกลาชี้แนะตักเตือนได้ทุกเวลา แต่ในสมัยของข้าพเจ้านั้นการที่จะกราบขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาประทานอักษรพระโอวาทในกระบะทราย หรือแสดงบุญญาธิการ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทับทิพย์ญาณแสดงธรรม ดังนั้นพวกท่านจะต้องสำนึกในพระคุณ ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าละอายแก่ใจ จึงไม่ควรจะพูดอะไรมากนักและก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรจึงจะสมบูรณ์ดีงาม ในตอนนี้ข้าพเจ้าระมัดระวังต่อคำพูดคำจาของตนเองมาก นั่นเป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ระมัดระวังคำพูดคำจามากนัก มักจะพูดจาผิดพลาดเสมอๆดังนั้นตอนนี้จะพูดจาอะไร ข้าพเจ้าก็จะคิดก่อนว่า มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง?ดังนั้นคำพูดที่ข้าพเจ้าได้พูดไป หากมีสิ่งไหนท่อนใดไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็ขอให้เมธีทั้งหลายโปรดอภัยให้ด้วย
เฮ้อ! ประตูเปิดประตูตายของเรา สักกี่คนที่รู้แจ้ง สักกี่คนที่เข้าใจ พวกท่านควรที่จะรู้ว่าบำเพ็ญธรรมนั้น จะต้องยึดหลักธรรมบำเพ็ญจริง การจะนำบุญกุศลมาปูลาดหนทางกลับคืนสู่เบื้องบนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนล้วนแต่พูดถึงการผู่ตู้ แต่การผู่ตู้ที่แท้จริงนั้นไม่ใช่แค่ตีเกราะเคาะระฆัง หรือพร่ำบ่นสวดมนต์หรือแค่ตั้งมณฑลพิธีวอนขอโชควาสนา หรือแค่ฉุดโปรดวิญญาณผี แต่ต้องฉุดช่วยปลดปล่อยเวไนยสัตว์คนเดิมทั้งสามโลก ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดพ้นจากทะเลทุกข์ได้สิ้นเชิง ฉุดช่วยให้ได้เข้าสู่วิถีแห่งการพ้นเกิดพ้นตายอุทิศบุญกุศลอันแท้จริงให้กับเวไนยสัตว์คนเดิมทั้งสามโลก ให้สรรพชีวิตเหล่านั้นได้รับบุญกุศลจริงเพื่อพ้นจากความทุกข์ได้
หวังว่าเมธีทั้งหลาย จะกริ่งเกรงรอบคอบในการบำเพ็ญของตนเปลี่ยนแปลงแก้ไขนิสัยอารมณ์ของตนให้ดีๆ กำจัดจิตใจที่ไม่ดีของตนทิ้งไปให้ได้ ข้าพเจ้ากลัวว่าจะพูดผิดพลาดอีก กลัวว่าเบื้องบนจะลงโทษผู้บำเพ็ญต้องบำเพ็ญคุณธรรมปาก รวมถึงข้อปลีกย่อยเล็กน้อยก็ต้องรอบคอบระวังด้วย ข้าพเจ้าจะไม่ขอรบกวนเวลาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกขอบพระคุณเบื้องบนที่เมตตา ขอบคุณเฉียนเหยินนักธรรมอาวุโสที่เมตตา อนุญาตให้ข้าพเจ้ามาปรากฏกายที่พุทธสถานแห่งนี้ ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้บอกเล่าถึงความไม่ดีของตนเองในขณะมีชีวิตอยู่ ให้ทุกท่านได้ฟังกัน หวังว่าทุกท่านจะรู้ตื่นเตือนตนประพฤติปฏิบัติตนและบำเพ็ญตนให้ดีๆ
ไม่รู้พระโองการฯของอาจารย์
ปฏิบัติงานธรรมไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่บ่มเพาะคุณธรรมภายใน
แม้สร้างบุญภายนอกไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่รู้จักจิตญาณเดิมของตน
ถึงนั่งสมาธิไปก็ไร้ประโยชน์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง