ขงจื๊อ (ก่อนค.ศ.-511 ถึงก่อนค.ศ.-479 เป็นบรมศาสดาของจีนโบราณ) กล่าวว่า “ต้องเริ่มศึกษาจากปฐมภูมิแล้วหวนกลับภูมิเดิม จึงสามารถล่วงรู้ว่า อะไรคือชาตะ อะไรคือมรณะ บุคคลใดเชื่อถือคำพูดประโยคนี้ ก็จะเข้าใจได้ว่าร่างกายของมนุษย์เรา ไม่สามารถดำรงอยู่อย่างยั่งยืน ถ้าละทิ้งความดี มุ่งแต่สร้างบาป กลัวว่าถึงวันสิ้นสุดของชีวิตแล้ว หนีไม่พ้นต้องกลายเป็นสัตว์ประเภทอื่น”
กาลก่อนเคยมีคนถามเฉิงจื่อว่า “พระพุทธองค์ตรัสเรื่องวัฏสงสาร (กฎการเวียนว่ายตายเกิด) มีจริงหรือ?”ท่านเฉิงจื่อกล่าวว่า “จะว่ามี หรือว่าไม่มี ล้วนพูดยาก”
ขงจื๊อกล่าวว่า “ไม่รู้ชาตะ ไฉนจะรู้มรณะ” คำพูดของปรมาจารย์ประโยคนี้ สื่อถึงความในอย่างแจ่มแจ้ง ท่านดูสิแม้ผู้เป็นปราชญ์อย่างเฉินจื่อ ยังไม่กล้าฟันธงว่า วัฏสงสารมีจริงหรือไม่ ปรมาจารย์อย่างขงจื๊อยังมีคำพูด “ไฉนรู้เรื่องตาย” นี่แสดงให้เห็ดชัดว่า มิใช่ตายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะสูญสิ้น
โจวเหลียนซี คนชงหลิง ไปนมัสการพระเถราจารย์หนันแห่งหวงหลง ได้ถามถึงวัตถุประสงค์ของศาสนาอื่นพระอาจารย์หนันตอบว่า “หมั่นปัดกวาดบ้านเรือนตัวเองให้สะอาดก็พอ”
ขงจื๊อกล่าวว่า “เช้าได้ฟังธรรม ตกเย็นถึงจะสิ้นชีพก็ไม่เสียดาย” แท้จริงแล้วอะไรคือธรรม ทำไมฟังธรรมแล้วถึงเสียชีวิตก็ยอม เรามาค่อยๆ วิเคราะห์นานวันเข้าก็สามารถหาจุดที่สอดคล้องกันได้
ในบทความ “ว่าด้วยจิต” ของจังจื่อ มีข้อความตอนหนึ่งว่า ขงจื๊อกล่าว “สุภาพบุรุษขึ้นที่สูง คนถ่อยลงที่ต่ำ นี่เป็นกฎที่แบ่งแยกระหว่างสวรรค์และนรก เนื่องจากสุภาพบุรุษปฏิบัติตามธรรมแห่งฟ้า ยิ่งนานวันก็ยิ่งเจริญ ยิ่งสูงส่งสาธุชนย่อมขึ้นสู่สรวงสวรรค์ คนถ่อยชอบตามใจกิเลสของตัวเอง นับวันยิ่งตกต่ำโสโครก ฉะนั้นทรชนย่อมต้องตกนรก”แต่โบราณกาลมา เส้นแบ่งระหว่าง “เมธากับคนบ้า” อยู่ที่จิตจิตใจงดงาม มีความยุติธรรม สง่าผ่าเผย ก็ได้รับพลังแห่งหยางอันอบอุ่นละมุนละม่อม ย่อมได้รับการพิทักษ์จากสิริเทพถ้าจิตใจโสมมต่ำทราม พลังชี่หนาวเหน็บชั่วร้ายจะครอบงำตัวย่อมต้องเผชิญกับผีร้าย
ท่านซือหม่าอวุน กล่าวว่า “เบื้องบนมีสวรรค์ เมื่อสุภาพชนสิ้นชีพแล้วพำนัก ณ ที่นั้น เบื้องล่างมีนรก เป็นที่อาศัย และจองจำของคนถ่อย” ประโยคนี้ถึงจะสั้น แต่ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัว
กษัตริย์เหลียงอู่ตี้ (ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ.502-549ทางตอนใต้ของประเทศจีน) ในยุคหนันเป่ยเฉา (ค.ศ.420-589) ทรงสุบิน เห็นพระภิกษุพิการตาข้างหนึ่งถือกระถางกำยานเดินเข้าวัง ในเมื่อตื่นจากบรรทมก็มีรายงานว่าราชโอรสประสูติ ต่อมาราชโอรสองค์นี้มีโรคตาตั้งแต่เล็ก สุดท้ายรักษาไม่หายจนตาพิการไปข้างหนึ่ง หลังจากนั้นได้ขึ้นครอง
ราชย์เป็นรัชกาลหยวนตี้ ฉะนั้น เรื่องกลับชาติมาเกิดจึงมิใช่เรื่องเหลวไหล
ประวัติศาสตร์ปฐมราชวงศ์สุย มีขุนนางอยู่ท่านหนึ่งชื่อเจ้าหวุนชัง เป็นขุนนางเก่าของเป่ยโจว ติดต่อมาถึงต้นราชวงศ์สุย ท่านเจ้าหวุนชังได้เสียชีวิตแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้งและเล่าเรื่องที่เขาได้ไปท่องนรกภูมิว่า เห็นจักรพรรดิโจวอู่ตี้(ครองราชย์ ค.ศ.561 ถึง ค.ศ.579 เป็นกษัตริย์รององค์สุดท้ายของราชวงศ์เป่ยโจวในยุคหนันเป่ยเฉา) ถูกคุมขังอยู่ ณห้องขังห้องหนึ่ง เห็นเจ้าหวุนชังก็รีบตรัสว่า “ท่านมุขมนตรีเมื่อกลับถึงบ้าน ช่วยบอกฮ่องเต้สุยว่า ความผิดทุกข้อหาเราได้ชี้แจงเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นข้อหาเดียวที่เราไม่สามารถพ้นผิดได้คือ ทำลายศาสนาพุทธ ขอให้ฮ่องเต้สุยช่วยทำพิธีกงเต๊กสวดอภิธรรมให้เรา เพื่อข้าจะได้หลุดพ้นจากขุมนรก”(ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์สุยคือ หยางเจียน เคยเป็นแม่ทัพใหญ่ของจักรพรรดิโจวอู่ตี้) เจ้าหวุนชังยังเล่าอีกว่า ก่อนออกจากนรกภูมิ ได้เห็นหัวคนคนหนึ่งผลุดโผล่อยู่ในหนองอาจมถามว่าเป็นใคร คำตอบคือเป็นขุนพลใหญ่ไป๋ฉีในรัฐฉิน
(ไป๋ฉี่ เป็นแม่ทัพรัฐฉินในยุคจั้นกั๋ว ก่อนคริสต์ศักราช-475ถึง-221 นำทัพไปตีแคว้นเจ้า จับเชลยศึกทหารเจ้าสี่แสนคนด้วยความโทสะ สั่งประหารเชลยศึกทั้งหมด) ไป๋ฉี่ตายแล้วตกนรกแช่อยู่ในหนองอาจม ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง มีบันทึกว่า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง หวังจิงกง มีลูกชายชื่อผัง เป็นคนเกะกะเกเรทำแต่สิ่งชั่วร้าย การกระทำที่ผิดต่อคุณธรรม ขัดต่อกฎหมายของหวังจิงกงล้วนเกิดจากลูกชายชื่อผัง เมื่อผังสิ้น หวังจิงกงคลับคล้ายคลับคลาเห็นเจ้าผังถูกล่ามโซ่ตรวนมายืนอยู่ข้างประตูจวน หวังจิงกงเห็นเช่นนั้นรีบขายจวน นำเงินไปสร้างวัด เพื่อทำทักษิณานุประทานให้ลูกชายพ้นทุกข์
(บันทึกการกระทำของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในอดีต)
ก่อนคลอดขุนพลฟั่นจู๋อวี่ มารดาเขาได้ฝันเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ สง่าองอาจท่านหนึ่ง มายืนอยู่ข้างเตียงกล่าวว่า “ข้าคือขุนพลในราชวงศ์ฮั่นชื่อ เติ้งอวี่” เมื่อรู้สึกตัว ก็คลอดบุตรชาย จึงตั้งชื่อว่าจู๋อวี่ (มีความหมายว่า บรรพบุรุษชื่ออวี่ ) และเนื่องจากเติ้งอวี่เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยจริยาวัตร จึงมีอีกนามหนึ่งว่า ฉุนฟู
(บันทึกการกระทำของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในอดีต)
เรื่องราวข้างต้นที่บันทึกในตำราชาวหยู (นักศึกษาที่ยึดหลักคิดของขงจื๊อถูกขนานนามว่าหยู) เป็นหลักฐานยืนยันถึงกฎแห่งกรรมมีจริง อย่างเช่นหนังสือเทวราชโองการมีข้อความว่า “ให้ทดสอบอุปนิสัยอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังมุ่งแต่ทำบาปไม่สร้างความดี ตายแล้วไม่เพียงแต่ต้องตกนรก ยังต้องจมปลักถึงขั้นไปเกิดเป็นเปรตหรือเกิดเป็นเดรัจฉาน” อย่างเช่นหนังสือจดบันทึกของหลี่ซื่อเชียน ในราชวงศ์สุย มีบันทึกว่ากุ่นกลายเป็นหมี ตู้หวี่เกิดเป็นนกคลิ้งโคลง เปาจวินเกิดเป็นมังกร หนิวอายเกิดเป็นเสือ เผิงเซิงเกิดเป็นหมู หยูอี้เกิดเป็นสุนัข มารดาหวงเกิดเป็นตะพาบน้ำทะเล เซวียนอู่เกิดเป็นตะพาบน้ำ เติ้งไอ้เกิดเป็นวัว สวีป๋อเกิดเป็นปลาหลินเซี่ยเกิดเป็นอีกา ซูเซิงเกิดเป็นงู ข้อมูลเหล่านี้ปรากฏในหนังสือหยูมากมายยกตัวอย่างไม่จบสิ้น ฉะนั้น เราจะว่าคนตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์ประเภทอื่นเป็นเรื่องไม่จริงได้อย่างไร
หงม่าย นักปราชญ์หยูเก่าก่อนกล่าวว่า เคยเห็นคนฆ่าหมูฆ่าแพะ ก่อนสิ้นใจลงไปนอนหมอบกับพื้น แล้วร้องเสียงหมู เสียงแพะ ขอทานที่เมืองหวินชี คลอดลูกออกมา บ้างมีหัวเป็นแพะ บ้างมีกายเป็นงูบางคนคลอดพวงไข่เนื้อ คนยังคลอดก้อนเนื้อลักษณะเหมือนไข่ ไฉนคนตายแล้วไม่มีโอกาสเกิดเป็นสัตว์ นี่คือ กงกรรมกงเกวียน กรรมตามสนอง