ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 7 วันที่ 12 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ
รูปภายนอก กระทบตา พาใจวุ่น ไม่รู้จบ
เดิมทีใจ นั้นสงบ แต่ตัณหา ชักพาไป
อันว่าโลภ โกรธหลงรัก ใครสามารถ สละได้
ย้อนมองส่อง กระจกใจ ที่ไหนได้ คือเทพเซียน
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! “รูปไม่ได้ทำให้คนหลง มีแต่คนไปหลงรูปเอง” ชาวโลกช่างน่าขันนัก ตามองดูกระดาษแผ่นบางๆแผ่นหนึ่ง แต่ถ้าหากบนแผ่นกระดาษแผ่นบางๆนั้นพิมพ์ภาพสาวสวยท่าทางยั่วยวนก็จะทำให้ผู้ชายวัยสูงอายุใจสั่นหวั่นไหว ทำให้ชายวัยกลางคนหลงใหล ทำให้คนวัยหนุ่มคลั่งไคล้ ทำให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ฮ่าๆ ! แปลกจริงๆ
ไฉ้เซิง : คำพูดของพระอาจารย์ก็เหมือนกับแม่ปลาในสระที่บอกกับลูกปลาตัวน้อยว่า “อย่าไปกินเหยื่อตกปลานะ เหยื่อตกปลามันกินไม่ได้” แต่ลูกปลาก็ดื้อ ไม่ยอมฟังคำเตือนของแม่ปลา อยากจะลองกินเหยื่อตกปลาดู ผลก็คือติดเบ็ด
พุทธจี้กง : ดังนั้นผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องมีปัญญาในการสังเกต เพราะว่าคนที่มีปัญญาในการสังเกต สิ่งที่เขามอง สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาคิด ล้วนเจาะลึกเข้าถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่รู้เข้าใจปัญหาอย่างผิวเผิน สมมติว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวสวยดึงดูดใจ ทำให้ผู้ชายมองแล้วเกิดความคลั่งไคล้ลุ่มหลง แต่ในสายตาของอาตมา อาตมาว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สวย
ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?
พุทธจี้กง : เพราะว่าเมื่อเขาเดินไปที่ริมสระน้ำ พวกปลาต่างก็ว่ายมุดหนีลงไปอยู่ใต้น้ำ เมื่อเดินไปที่ข้างต้นไม้ นกบนต้นไม้ต่างก็บินหนี เมื่อเดินอยู่บนพื้นดิน พวกมดต่างก็กลัวว่าจะถูกเหยียบตาย แล้วอย่างนี้จะสวยได้อย่างไรกัน
ไฉ้เซิง : นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันตาไม่มีแวว
พุทธจี้กง : ตามีแววก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง
ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?
พุทธจี้กง : ถ้าไม่เชื่อ งั้นตอนที่เจ้าอยู่ในที่ๆมืดมิด เจ้ายังสามารถมองเห็นอะไรได้อยู่หรือไม่ ?
ไฉ้เซิง : มองไม่เห็นครับ
พุทธจี้กง : แล้วสามารถมองเห็นร่างกายของตัวเองไหม ?
ไฉ้เซิง : มองไม่เห็นครับ เห็นเพียงแค่ความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
พุทธจี้กง : เจ้ามองไม่เห็นร่างกายของตัวเอง งั้นตัวเจ้าก็ไม่มีแล้ว
ไฉ้เซิง : มีนะ ! ศิษย์ก็ยังมีความรู้สึกสามารถรับรู้อะไรได้ทุกอย่างนะ !
พุทธจี้กง : นี่ก็คือหลักสัจธรรมของวิญญาณที่ไม่ดับสูญ ดังนั้น ถ้าหากชาวโลกต้องการข้อยืนยันทางด้านวัตถุนิยมก็เปิดไฟ แต่ถ้าหากต้องการข้อยืนยันทางด้านวิญญาณนิยมก็ปิดไฟ เพียงแค่นี้ก็สามารถพอเข้าใจได้บ้างบางส่วน ไม่ต้องให้อาตมามาอธิบายแจกแจงให้ฟังแล้ว
ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้อง ตาไม่สามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง สามารถใช้มองเห็นได้เพียงแค่ในโลกที่มีรูปลักษณ์ แต่ในโลกที่ไม่มีรูปลักษณ์ตาไม่สามารถใช้มองเห็นอะไรได้เลยสักอย่างเดียว ตอนที่อยู่ในความฝันไม่ต้องใช้ตาก็สามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง ไม่ต้องใช้หูก็สามารถได้ยินเสียง ไม่ต้องใช้ปากก็สามารถพูดได้ นี่ไม่ใช่ความอัศจรรย์หรอกหรือ
พุทธจี้กง : ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมแห่งเหตุปัจจัย
ไฉ้เซิง : อย่างไรเรียกว่าธรรมแห่งเหตุปัจจัย ?
พุทธจี้กง : ธรรมแห่งเหตุปัจจัยก็คือ เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงเกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยยังไม่ถึงพร้อมก็ไม่เกิดขึ้น สมมติว่าคนบนโลกนี้ต้องการจะมองของสักชิ้นหนึ่งจะต้องมีเหตุปัจจัย 5 อย่างจึงสามารถมองเห็น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยครบทั้ง 5 อย่างก็ไม่สามารถมองเห็น
ไฉ้เซิง : จริงหรือครับ ?
พุทธจี้กง : ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวอาจารย์จะแจกแจงให้เจ้าฟัง ข้อแรก คนๆนี้จะต้องมีสติรับรู้ เขาจึงจะสามารถรู้สึกได้ ข้อที่ 2 คนๆนี้จะต้องไม่เป็นคนตาบอด เขาจึงจะสามารถมองเห็นได้ ข้อที่ 3 จะต้องมีแสงสว่างจึงจะสามารถมองเห็นได้ ข้อที่ 4 ของที่มองจะต้องเป็นวัตถุที่มีรูปลักษณ์จึงสามารถมองดูได้ ข้อที่ 5 ระหว่างดวงตากับสิ่งของจะต้องไม่มีวัตถุอื่นมาบดบังขวางกั้น นี่ก็คือหลักธรรมของเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงเกิดขึ้น
ไฉ้เซิง : ถ้าอย่างนั้นการที่ชาวโลกใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งทะเลทุกข์ ก็คือเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงต้องมาเกิดในโลกนี้
พุทธจี้กง : ถูกต้อง ! ชาวโลกใช้ชีวิตอยู่บนโลกก็จะต้องมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงมาเกิดในโลกนี้ สำหรับเหตุภายในก็คือ “แรงกรรมจากเหตุต้นผลกรรม” ทำให้เกิด “เหตุ” ซึ่งก็เปรียบเหมือน “เมล็ดพันธุ์” ส่วนปัจจัยภายนอกก็คือร่างกายของพ่อแม่เป็น “ปัจจัย” ซึ่งก็เปรียบเหมือน “ผืนดิน” ด้วยเหตุนี้เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ลงบนผืนดินจึงผลิดอกออกผล ก็เปรียบเหมือนแรงกรรมจากเหตุต้นผลกรรมของชาวโลกเอง ร่วมกับร่างกายของพ่อแม่จึงสามารถเกิดเป็นคนๆหนึ่ง ในทางกลับกัน ถ้าหากตัวเองไม่มีแรงกรรมจากเหตุต้นผลกรรม หรือว่าไม่มีร่างกายของพ่อแม่ ก็ไม่สามารถเกิดความถึงพร้อมของเหตุปัจจัย (เหตุปัจจัยไม่ถึงพร้อมก็ไม่ได้เกิด) หลักการก็อยู่ตรงนี้
ไฉ้เซิง : ดังนั้นการที่ปรจิตวิทยา (ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของจิตเหนือธรรมชาติ) ถูกชาวโลกตำหนิว่างมงาย อย่างนี้ไม่เป็นการใส่ความกันอย่างไม่เป็นธรรมหรอกหรือ
พุทธจี้กง : ปัญหานี้ก็เหมือนกับที่การแพทย์แผนปัจจุบันไม่ยอมรับการฝังเข็มของแพทย์แผนจีน และวิชาแพทย์ปัจจุบันก็ไม่ยอมรับการมีอยู่ของพลังชีพจรแบบแพทย์แผนจีน เพราะว่าพลังชีพจรเป็นพลังอยู่ในร่างกาย ไม่มีรูปร่างให้เห็นเหมือนหลอดเลือด เส้นเอ็น และกระดูก แต่ความจริงแล้วพลังชีพจรนั้นมีอยู่ ดังนั้นปัญญาความรู้ของคนเรานั้นมีขีดจำกัด ถ้าหากคนเรามุ่งแสวงหาปัญญาอันตื้นเขินจากโลกที่มีรูปลักษณ์ก็จะทำให้ตัวเองเดินเข้าสู่หลุมพรางกับดัก ไม่รู้จะออกมาจากกับดักได้อย่างไร เพราะว่าสรรพสิ่งในโลกที่มีรูปลักษณ์มีการเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆหมุนเวียนเป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด มีเพียงการแสวงหาปัญญาที่ยั่งยืนนิรันดร์ จึงสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์และกิเลสความกลัดกลุ้มได้
ไฉ้เซิง : ที่พระอาจารย์พูดมาถูกต้องที่สุด ถ้าหากชาวโลกเข้าใจว่าความตายเหมือนดั่งตะเกียงดับ ไม่มีการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย อย่างนั้นโลกนี้ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่ เพราะทุกคนก็จะมุ่งเป้าแต่ความสุขของตัวเองโดยไม่สนใจสิทธิและผลประโยชน์ของผู้อื่น และยิ่งไม่เกรงกลัวต่อเหตุต้นผลกรรมหลังความตาย ถ้าเป็นอย่างนี้สังคมก็จะกลายเป็นสังคมที่ใช้กลอุบายหลอกลวงกัน ใช้กำลังบังคับยื้อแย่งกัน ผู้ที่อ่อนแอกว่าก็จะตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่า แม้แต่การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
พุทธจี้กง : ดังนั้นในยุคที่วิทยาศาสตร์ยิ่งมีความเจริญก้าวหน้า จิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรมของคนก็ยิ่งถดถอย อยู่ในยุคที่คุณธรรมจริยธรรมตกต่ำเสื่อมถอย มีบางคนยังคิดว่าตัวเองเดินมาถึงยุคที่มีความเจริญถึงจุดสุดยอด หารู้ไม่ แท้จริงแล้วกำลังถลำลึกเข้าสู่หนทางที่ผิด แถมเดินมาจนสุดทางแล้ว ดังนั้นเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน พระพุทธองค์ก็ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า เมื่อเรา(พระศากยมุนีพุทธเจ้า)ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ภายใน 1,000 ปีแรกจะเป็นยุคของพระสัทธรรม ภายใน 1,000 ปีที่ 2 จะเป็นยุคสัทธรรมปฏิรูป หลังจาก 2,000 ปีเป็นต้นไปจะเป็นยุคสัทธรรมวิปลาส จิตญาณของเวไนยนับวันยิ่งเขลาหลง จะมาศึกษาเลียนแบบพระพุทธะก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าถ้าหากพากเพียรบำเพ็ญในธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนาม นั่นก็ว่าไปอย่าง จากเรื่องนี้ก็สามารถรู้ได้ว่าในธรรมกาลยุคท้ายนี้ ธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนามนั้นมีความสูงส่งล้ำค่ายิ่งนัก
ไฉ้เซิง : เป็นเช่นนั้นจริงๆ พระอาจารย์ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อโน้มนำสั่งสอนให้เวไนยศึกษาธรรมะเพิ่มมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็เปลี่ยนแนวในการปกโปรดกล่อมเกลาเป็นอีกแบบ เพื่อแพร่ประกาศธรรมสู่ชาวโลกอย่างกว้างขวาง เชื่อว่าหลังจากที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ออกมา จะต้องมีความสูงส่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทุกๆคนช่วยกันพิมพ์ ทุกๆคนหามาอ่าน ทุกๆคนสวดพุทธนาม ทุกๆคนล้วนเป็นพุทธะโพธิสัตว์ ใจพุทธะ ปากพุทธะ ดำรงชีวิตอยู่ในพุทธภูมิแห่งสหาโลกธาตุ เอาโลกนี้เปลี่ยนเป็นแดนดอกบัว นี่จึงเป็นความหมายของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! อาหมีถัวฝอ ! สาธุ ! สาธุ ! คืนนี้ดึกแล้ว ครั้งนี้ประพันธ์เสร็จที่เซิ่งเทียนถัง
ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ ! ยอดเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าวันนี้เซิ่งเทียนถังจะได้เป็นดารารับเชิญ
พุทธจี้กง : จิตวิสุทธิ์ก็คือแดนพุทธภูมิอันวิสุทธิ์ นี่ก็คือแดนวิสุทธิภูมิสำเร็จรูป
ไฉ้เซิง : อาหมีถัวฝอ ! สาธุ ! สาธุ !
พุทธจี้กง : อาจารย์กลับแล้ว
ไฉ้เซิง : น้อมส่งพระอาจารย์