เมื่อปลงเสียได้ก็จากไป เมื่อวางไม่ลงก็กลับมาใหม่
หัวหน้าสงฆ์ได้กล่าวกับจี้เตียนว่า “พี่จี้เตียน พวกบาตรและจีวรที่ท่านอาจารย์มีคำสั่งให้ยกให้ท่าน ถ้าท่านรับไว้ก็หมดเรื่อง แต่ถ้าหากไม่รับไว้ ก็น่าจะเก็บรักษาไว้ใช้เป็นส่วนกลาง หรือไม่ก็แบ่งให้เหล่าสงฆ์เท่า ๆ กัน” จี้เตียนว่า “ข้าพเจ้าเอาไว้แล้วมีประโยชน์อะไร ปกติก็มีอยู่ แม้ละก็เหลือ หากจะให้พวกสงฆ์ ทำไมต้องยุ่งยากไปแบ่ง สู้ให้พวกเขาแย่งกันเองจนหมดจะสบายกว่า” พวกสงฆ์พอได้ยินคำว่า “แย่ง” เท่านั้นต่างก็ลงไม้ลงมือ บ้างก็แย่งทอง บ้างก็แย่งเงิน ตะลุมบอนกันยุ่งไปหมด ไม่มีการเกรงใจกันว่าใครเป็นศิษย์ใครเป็นอาจารย์ บางคนก็ตะเกียกตะกายหกล้มคลุกคลานชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด จี้เตียนก็หัวเราะชอบใจ พระภิกษุที่แย่งได้มากก็จะเห็นมีหัวโนบนหัวโล้นมาก พระภิกษุทุกรูปต่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เอาแต่แย่งชิงกัน เพียงแคประเดี๋ยวเดียวก็แย่งกันจนหมดหีบ “ดีจัง ดีจัง ไม่ต้องมีอะไรให้หลงเหลือไว้ ได้ทำตามคำพูดท่านอาจารย์” จี้เตียนว่าแล้วก็ผละออกไป
วัดทุกวัดในเมืองหลินอันมีประเพณีว่า เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพไปแล้วหัวหน้าสงฆ์ต้องกราบเชิญพระภิกษุจากทุกวันให้มาประชุมพร้อมเพรียงกัน ปรึกษาหารือกันเพื่อเชิญผู้ที่จะมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ในวันนั้นหัวหน้าพระแห่งวัดหลิงอิ่น ก็ได้เชิญเหล่าพระสงฆ์จากวัดต่าง ๆ มาประชุมกันแล้ว และได้แจ้งเรื่องการกระทำของจี้เตียน พระหัวหน้ากล่าวว่า “จี้เตียนเป็นลูกศิษย์คนโปรดของท่านอาวาส ท่านจึงปล่อยให้ทำบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ควบคุม เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพไปแล้วจี้เตียนก็ไม่สนใจจะรับหน้าที่เกิดอารมณ์ที่ไม่เป็นผู้เป็นคน หากเชิญมาเป็นเจ้าอาวาสองค์ใหม่แล้วไม่เข้ากับวัดต่าง ๆ แล้ว อาจทำให้เสียหายต่อส่วนรวม จึงใคร่ขอให้ท่านอาจารย์ทุกท่านโปรดตักเตือนเขาสักครั้ง คิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพุทธศาสนา” เหล่าสงฆ์ว่า “อย่างนี้ก็ดีให้ใครไปเชิญเขามา” ผู้ดูแลวัดจึงให้คนเที่ยวตามหา ตามหากันไปจนถึงเขาเฟยไล้ฟง เห็นเขานำพวกเด็ก ๆ หลายคนกำลังงมก้อนหินในลำธาร ผู้ติดตามร้องเรียกว่า “วันนี้ท่านหัวหน้าได้เชิญพวกพระจากวัดต่าง ๆ มาชุมนุมกัน จึงมาตามหาท่านให้ทั่ว” จี้เตียนว่า “หากเป็นการชุมนุม ก็คงเชิญข้าพเจ้าไปกินเหล้า เอ้า! รีบไปรีบไป” ว่าแล้วจึงตีจากพวกเด็ก ๆ มาพร้อมผู้ติดตาม ถึงวัดก็เข้าไปยังห้องเจ้าอาวาสพบแต่หมู่สงฆ์นั่งกันว่างเปล่า ไม่มีเหล้าไม่มีเนื้อ จี้เตียนก็หัวเราะว่า “ข้าพเจ้าเห็นพวกท่านนั่งเหมือนพระอิฐพระปูน ห้องเจ้าอาวาสจะกลายเป็นห้องลูกหลานครอบครัวไป” พวกพระกำลังจะว่ากล่าวตักเตือน ยังไม่ทันอ้าปาก เขาก็ทำบ้า ๆ บอ ๆ พูดจาล่วงเกินคนเสียแล้ว หัวหน้าพระจึงว่า “ท่านอย่าทำเพี้ยน เมื่ออาจารย์มรณภาพแล้ว ท่านก็ควรกู้หน้าตาท่านอาจารย์บ้าง” จี้เตียนว่า “หากต้องการให้ข้าพเจ้ากู้หน้าท่านอาจารย์ ก็โปรดเอาพวกพระที่ไม่รักษาหน้าเหล่านี้ออกจากห้องไปจะดีกว่า” หัวหน้าพระว่า “พระสงฆ์เหล่านี้เจริญตามพุทธธรรม ทุกวันบำเพ็ญเพียร มีอะไรไม่เหมาะสม ท่านจะให้ไล่หรือ” จี้เตียนว่า “อย่าพูดนอกเรื่องเลย พวกเจ้าชุมนุมกินเหล้ากัน ทำไมไม่เรียกข้าพเจ้าสักคำ หรือว่าข้าพเจ้าไม่มีส่วน” หัวหน้าว่า “มิใช่ไม่เรียกท่าน แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ของวัด ตามหาท่านมา อย่าได้เกิดอารมณ์จะได้ไม่เสียเรื่อง” จี้เตียนว่า “ดูพวกเจ้าหัวโล้นได้แต่ทำไร้สาระ แสร้งทำเป็นเรื่องเป็นราว อาจารย์มรณภาพไปยังไม่ทันกี่วัน ก็มีเรื่องพูดมากมาย ยังไงข้าพเจ้าก็ไม่ร่วมเสวนากับพวกท่าน ข้าพเจ้าไปดีกว่า! ท่านมันเป็นเหมือนหญ้ารก หากอาศัยพวกท่านก็คงตกต่ำ” ว่าแล้วก็เดินไปยังห้องหวินถังเก็บสัมภาระส่วนตัว ถือไม้เท้าแล้วยกมืออำลาเหล่าสงฆ์นั้นว่า “ลาก่อน! ลาก่อน! แล้วก็เดินไปยังเจดีย์ที่เก็บอัฐิอาจารย์ กราบไหว้แล้วว่า “ศิษย์จะอำลาไปสักพักแล้วค่อยกลับมา” ไหว้เสร็จก็ไม่ยอมเหลียวหลังกลับมามอง ย่างเท้าออกจากประตูวัดหลิงอิ่นไป มาถึงทะเลสาบซีหูแต่เช้า ข้ามสะพานหลิ้วเถียวก็พอดีค่ำ จึงเข้าไปยังวัดเจิ่นฉือค้างคืนหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ไปถึงศาลาเจอะเจียง ขึ้นเรือข้ามฟากตรงไปยังไถโจวจนกระทั่งถึงบ้านลุงหวังอันซื้อ ลุงหวังเห็นหลานกลับมาก็ดีใจ เมื่อจี้เตียนคารวะคุณลุงแล้วก็พบกับพี่หวังฉวนและพี่สะใภ้ แล้วจึงนั่งลง หวังอันซื้อจึงถามว่า "เจ้าเป็นพระที่วัดหลิงอิ่น แล้วทำไมอยู่ในสภาพเช่นนี้!." จี้เตียนว่า "คนออกบวชก็แล้วแต่บุญสัมพันธ์ ผ่านไปวันๆ จะแต่งให้ดีกว่านี้ไปทำไม" คุณลุงว่า "ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่วัดใช้ชีวิตอย่างไร" จี้เตียนว่า "ก็ไม่ได้ศึกษาพระสูตร ไม่ได้สวดมนต์ ก็ได้แต่พูดกลอนที่ไม่ได้เรื่อง แล้วก็หลอกดื่มเหล้าผ่านไปวันๆ" คุณลุงว่า "หากเจ้าต้องการดื่มเหล้า ทำไมไม่อยู่เสียที่บ้าน" จี้เตียนว่า "เหล้าที่บ้านถึงแม้นจะดี แต่ไม่มีรสแยบยล" คุณลุงเห็นจี้เตียนใส่จีวรขาดกะรุ่งกะริ่ง รุ่งขึ้นจึงเรียกคนช่วยตัดจีวรใหม่ๆ ไว้ให้หลายชุดแต่จี้เตียนไม่ยอมใส่ พูดแต่เพียงว่า จีวรเก่าๆ ใส่สบาย เมื่อเรียกให้ดื่มเหล้าก็ไม่ปฏิเสธ พอมีเวลาว่างก็ไปเที่ยวตามวัดต่างๆ ในเมืองเทียนไถ เมื่อมีอารมณ์พอใจก็จะแต่งกลอนเล่น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแผล็บเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปี วันหนึ่งจี้เตียนจึงพูดกับคุณลุงว่า "ผมอยู่ที่นี่นานแล้วคิดถึงทิวทัศน์เมืองหางโจว คิดจะกลับไปดูหน่อย" คุณลุงว่า "เจ้าว่า เจ้าเข้ากับพระที่วัดไม่ได้ สู้อยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ" จี้เตียนว่า "อยู่ที่นี่ไม่ได้" แล้วกล่าวเป็นโฉลกว่า
ผู้ออกบวช ยังอยู่บ้าน
สู้ไม่ออกช่อ จะดีกว่า
เมื่อตัดแล้ว ตัดอีกที
คงจะเพี้ยน คงไม่เพี้ยน
คุณลุงคุณป้าไม่สามารถรั้งเขาอยู่ ก็ได้แต่ตระเตรียมข้าวของเงินทองให้จี้เตียน จี้เตียนหัวเราะว่า "ผู้ออกบวชสุดแต่บุญสัมพันธ์ เอาเงินทองไปทำไม" เมื่อลาจากคุณลุงคุณป้าและพี่หวังฉวนแล้ว ก็ถือแต่ไม้เท้าและถุงย่ามใบหนึ่งเท่านั้น นั่งเรือข้ามฟากถึงศาลาใจก็คิดว่า "ข้าเป็นศิษย์วัด หลิงอิ่นหากย้ายไปอยู่ที่อื่นก็จะดูไม่เหมาะสม ควรกลับไปที่วัดหลิงอิ่นอีกดูซิว่าพวกหัวโล้นนั้นจะทำอย่างไรกับข้า" พอคิดตก ก็เดินทางถึงเขาเฟยไล้ฟงผ่านเข้าประตูวัดก็เห็นพระหัวหน้าพอดี พระหัวหน้าเห็นแล้วพูดว่า "จี้เตียนเจ้ามาแล้วหรือ ตอนนี้ที่วัดเชิญท่านเชียนมาเป็นเจ้าอาวาส ค่อนข้างจะเข้มงวด! ไม่เหมือนอาจารย์ของเจ้า ต้องระมัดระวังหน่อย" จี้เตียนว่า "เข้มงวดสิดี ข้าพเจ้าจะได้ไม่กลัวถูกพวกเจ้ารังแกไงเล่า" พระหัวหน้าว่า "ใครรังแกเจ้า เจ้าไม่อยู่ในระเบียบเอง" ว่าแล้วจึงพาจี้เตียนไปยังห้องเจ้าอาวาส พระหัวหน้าเรียนท่านเจ้าอาวาสว่า "พระรูปนี้ เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสองค์ก่อน ชื่อว่าจี้เตียน ไปเที่ยวที่เทียนไถเพิ่งกลับมาวันนี้" เจ้าอาวาสเชียนกล่าวว่า "คงเป็นจี้เตียนที่ดื่มเหล้ากินเนื้อใช่ไหม" จี้เตียนว่า "ผมเองก่อนนี้ก็กินบ้าง เดี๋ยวนี้งดแล้วทั้งเหล้าและเนื้อ" เจ้าอาวาสเชียนว่า "ถ้าหากเลิกแล้วก็ให้ขึ้นบัญชีเข้าอยู่ แล้วเข้าไปปฏิบัติธรรมได้" จี้เตียนตอบรับคำ พอวันรุ่งขึ้นก็เข้าห้องสมาธิ สวดมนต์เป็นเวลานานสองเดือนโดยไม่ออกไปไหน
เวลาล่วงมาถึงเหมันตฤดู หิมะตกหนักในวันหนึ่ง ร่างกายรู้สึกหนาวเหน็บ จึงวิ่งเข้าไปอังไฟในห้องครัว คนครัวเห็นขาอันเปลือยเปล่าของจี้เตียนก็รู้สึกสังเวชใจว่า "อาจารย์ของท่านได้ให้จีวรแก่ท่านไว้แยะ แต่ท่านกลับให้คนอื่นแย่งกันไป หิมะตกหนักมากอย่างนี้ ขาทั้งสองของท่านก็เปลือยเปล่าเช่นนี้ ใครเขาจะมาสนใจบ้าง" จี้เตียนว่า "ความหนาวนะไม่กลัวหรอก กลัวที่อดเหล้ามานานแล้ว รู้สึกทรมานเหลือเกิน" คนครัวเห็นเขาพูดอย่างน่าสงสาร จึงว่า "หากท่านคิดจะดื่มเหล้า ผมมมีอยู่ขวดหนึ่งเอามาเลี้ยงท่านก็ได้ แต่กลัวเจ้าอาวาสรู้เข้าจะมีโทษ" จี้เตียนว่า "ขอบคุณพี่ชายที่การุณ ผมขอแอบดื่มสักชามที่นี่ เจ้าอาวาสจะรู้ได้อย่างไร" คนครัวเห็นเขาน่าสงสารจริงๆ จึงเอาเหล้าออกมาให้เขาชามหนึ่ง จี้เตียนรับมาดื่มเพียง 2-3 อึกก็หมดชาม พลางชมว่า "เหล้าดี เหล้าดี ดีกว่าน้ำมนต์พระโพธิสัตว์อีก หากได้อีกสักชามก็ดี" คนครัวเห็นเขากระหายเหลือเกินจึงรินให้อีกหนึ่งชาม เขาดื่มเอื้อกๆ ก็หมดชาม แล้วยังติว่าน้อยไปคนครัวหมดปัญญาจึงสู้รินให้อีกหนึ่งชาม จี้เตียนดื่มติดต่อกันถึงสามชามก็ยังไม่พอ คนครัวก็รีบเอาเหล้าเก็บซ่อนไว้ แล้วว่า "ตอนนี้หิมะหยุดตกแล้วมิออกไปเดินเล่นนอกวัดหน่อยหรือ" จี้เตียนว่า "มีเหตุผลๆ" จึงเดินออกจากวัดไป พอผ่านประตูวัดไปไม่กี่ก้าว ก็พอดีพบกับท่านปู่จางแห่งเฟยไล้ฟงปู่จางจึงกล่าวตอบรับว่า "ได้ยินว่าท่านกลับถึงวัดแล้ว ไม่พบหน้าท่านตั้งนาน" จี้เตียนตอบว่า "ท่านปู่ เรื่องทุกข์พูดเท่าไหร่ก็ไม่หมด ท่านก็รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนขี้เกียจจนเคย ตั้งแต่มาจากไถโจว ก็ถูกเจ้าอาวาสควบคุมจนไม่สามารถออกมาได้ พอดีอากาศวันนี้หนาวจัด คนครัวใจดีเชิญให้ข้าดื่มเหล้าถึงสามชาม แล้วยังให้ข้าพเจ้าได้ออกมาข้างนอกเพื่อหาเจ้ามือ" ปู่จางว่า "ถ้าเช่นนั้นก็ไปดื่มที่บ้านข้าอีกสักสามแก้ว แล้วค่อยไปที่อื่นดีไหม" จี้เตียนว่า "หากคุณปู่ยอมเลี้ยงข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นเจ้ามือ จะไปที่อื่นอีกทำไม" พอพูดจบก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน แล้วก็เดินไปถึงเฟยไล้ฟง ฝ่ายคุณย่าจาง กำลังอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นคุณปู่จางพาจี้เตียนมาถึง รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงว่า "ท่านพระภิกษุ ทำไมไม่เห็นหน้าตาตั้งนานเชิญนั่งข้างใน!" คุณปู่จางว่า "เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคุย ไปเอาเหล้ามาดื่มกันก่อน" คุณย่าจางว่า "ได้ซิ ได้ซิ!" ว่าแล้วก็เข้าไปในครัว ต้มน้ำแกงจืดเต้าหู้ขึ้นมาสองชาม แล้วอุ่นเหล้าขึ้นมากระปุกหนึ่ง นำมาตั้งบนโต๊ะ เรียกหลานรินเหล้าให้จี้เตียนและคุณปู่จาง จี้เตียนว่า "ทุกคนที่นี่ใจดี รู้สึกเกรงใจ" คุณย่าจางว่า "กับข้าวพื้นๆ แต่เหล้านั้นทำเอง ขอให้ดื่มตามสบายไม่ต้องเกรงใจ" จี้เตียนขอบคุณแล้วก็ดื่มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดื่มไปทั้งหมดสิบห้าสิบหกชาม เมื่อรู้สึกว่าจะเมาเสียแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ คุณย่าจางจึงว่า "เจ้าอาวาสองค์นี้ไม่อนุญาตให้ดื่มเหล้าตอนนี้หากเมาโซเซกลับไปก็ต้องถูกลงโทษ แถมพวกเราจะถูกตำหนิอีกด้วย น่าจะพักที่นี่สักคืน รอจนสร่างเมาแล้วค่อยไป" จี้เตียนว่า "คุณย่าพูดถูกต้อง" คืนนั้นจึงพักกับลูกๆ ของคุณปู่จาง
เช้าวันรุ่งขึ้น เห็นท้องฟ้าสงบแล้ว คิดในใจว่า "ข้ากลับไปคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่ได้เข้าเมืองมานานแล้ว เพื่อนฝูงก็เหินห่างกันไปหลายคนเห็นทีไปเยี่ยมเยือนหน่อยคงดี" หลังจากอำลาคุณปู่จางแล้ว ก็เดินไปตามทิศทางสุสานเจ้าเย่เฟย ก็ได้แต่เจอะกับท่านขุนวังหวังที่กำลังจะไปที่เทียนจุ๊จี้เตียนจึงถามขึ้นว่า "ท่านขุนวังจะไปไหน" ขุนวังเห็นว่าเป็นจี้เตียน จึงสั่งให้พนักงานหยุดเกี้ยว แล้วลงจากเกี้ยว พลันถามว่า "ผมคิดถึงท่านมาก ทำไมไม่เห็นตั้งนาน" จี้เตียนจึงเล่าเรื่องที่กลับไปเทียนไถให้ฟังขุนวังจึงกล่าวว่า "วันนี้ผมมีธุระจะไปเทียนจู๊ ไม่สามารถไปกับท่านได้พรุ่งนี้ขอเชิญท่านไปที่จวนผม ผมจะรอต้อนรับท่านที่บ้าน" จี้เตียนว่า "ขอบใจมาก" ว่าแล้ว ขุนวังก็นั่งเกี้ยวจากไป จี้เตียนก็เดินทางมาถึงเฉียนถังเหมิน ลงสะพานเอี๋ยนเฉียวเฮอก็มาถึงบ้านเฉินถี่เตี่ยน ยามหน้าประตูเห็นจี้เตียนมาถึงก็รีบพูดขึ้นว่า "เชิญข้างในๆ เจ้านายกระผมคิดถึงท่านมาก บังเอิญท่านออกไปธุระตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็คงกลับ ขอเชิญท่านอาจารย์นั่งก่อน กระผมจะไปตามท่านออกมา" จี้เตียนว่า "เจ้าไปตามหาสู้ข้าไปตามเองไม่ได้" กำลังจะหันกลับก็พอดีมีหิมะโปรยลงมา เกิดอารมณ์อยากแต่งกลอน จึงเอาพู่กันเขียนลงบนผนังกำแพง ได้ความว่า
ฟ้าสีชาดชายฝั่งน้ำเห็นลิบลิบหนาวสะท้าน
ฟ้าโปรดสาดเกล็ดหยกขาวเป็นขุยขุย
ดอกสาลี่เดือนเต็มดวงลอยตามคลื่น
ปากน้ำลึกเห็นแต่หลังเย็นเหน็บจิต
กุฏิพระชราหนาวลมพัด
ภูเขาทองกลับกลายเป็นภูเขาเงิน
วิมานหยกแวววับจรัสแสง
ท่านหวังหยุยสรรเสริญว่าเป็นภาพดี
จะเขียนต่อก็เห็นทีจะลำบาก
เขียนจบก็คิดว่า หิมะตกหนักอย่างนี้ เขาก็ไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้ต้องอยู่ที่บ้านนางหวังเป่าโถวแถวสะพานซีชี้ คงต้องเข้าไปลากตัวกลับมา (หวังเป่าโถวเป็นเพื่อนหญิงของเฉินถี่เตี่ยน) ภายหลังออกจากบ้านเฉินก็มาถึงสะพานซีชี้ รำพึงว่า "ช่วงสั้นๆ ของชีวิตคน คงต้องปล่อยเขาเคล้าสุรานารีไป จะยุ่งเขาไปทำไม" ก็พอดีก็มาถึงบ้านของนางหวังเป่าโถวโปรดติดตามตอนต่อไปว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
อธิบายท้ายบท โดยพระอรหันต์จี้กง
1. ท่านเจ้าอาวาสมอบพวกอัฐบริขารไว้ให้ทำไม จีวรและบาตรอาตมาก็รับไว้ในใจแล้ว พวกสงฆ์ไม่มีตาทิพย์ ไม่รู้ว่าของแท้อยู่ภายในมัวแต่แสวงหาพุทธะภายนอกติดยึดกับวัตถุ ข้าก็ปล่อยเลยตามเลยเอาของโบราณที่อาจารย์ให้ไว้แจกจ่าย ปล่อยให้เขาแย่งกันจนหัวร้างข้างแตก ความโลภยังฝังลึกนัก ฮะฮะ! นั่นคือ
ธรรมาจารย์มิได้ซ่อนอยู่ภายใน
ตราจิตใจตะวันตกถูกขโมย
บาตรจีวรใต้อาสนะเที่ยวค้นหา
หัวโล้นมากระแทกกันเลือดพุทธะไหล
2. อาจารย์มรณภาพไปข้าพเจ้าก็จากวัดหลิงอิ่นไปชั่วคราว ทิวทัศน์ทะเลสาบซีหูช่างงามจับจิต ก็เลยถือโอกาสอยู่ชมสักพัก ภายหลังกลับมาถึงบ้าน เข้าพบโยมลุงโยมป้าแล้วเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง อนิจจา! ฟ้าดินยังมีเยื่อใย ไฉนเลยคนจะไม่ใยดี ต้องเอาเยื่อใยนี้แปรเปลี่ยนเป็นธรรมสัมพันธ์
ต่อหน้าพุทธ ตนเองต้องเย็นชา จิตเป็นเหล็กไหลกลายเป็นทองแดง จึงจะอยู่ทน ถึงทะเลแห้งภูเขาจะทลาย ก็ยังดีกว่ามีเนื้อหนังในโลกนี้เพียงไม่กี่สิบปี
คุณลุงเห็นข้าพเจ้าใส่จีวรขาดกะรุ่งกะริ่ง จึงสั่งให้คนทำให้ใหม่หลายชุด แล้วก็ให้ดื่มเหล้าไปบ้าง อาตมาตอบว่า "เหล้าที่บ้านไม่มีรสฌาน จีวรใหม่ก็ไม่สบายตัว" นั่นคือ
เหล้าพุทธะสั่งให้จิตลอยดุจเซียน จีวรพลิ้วเบาลิ่วลิ่วไม่ต้องซัก
3. เจ้าอาวาสเหยี่ยนเซี้ยถังมรณภาพแล้ว เจ้าอาวาสเต๋อเชียนรับตำแหน่งแทน ก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ เลยต้องงดเหล้าเนื้อไปตั้งสองเดือนทำให้รู้สึกบริสุทธิ์ขึ้นไม่น้อยทีเดียว
บังเอิญคนครัวเกิดสงสาร ที่เห็นขาโล่งของข้าในช่วงหิมะตกหนักเลยให้อาตมาดื่มเหล้าสักชามหนึ่ง ก็เพราะเหล้าชามนี้ เลยทำให้โรคพิษสุรากำเริบ เลยหยุดไม่อยู่ (ขอให้ชาวโลกอย่าได้เอาแบบอย่าง อย่าได้ลองดูเพราะพอลองแล้วก็จะเป็นไอ้ขี้เหล้า)
4. เมื่อออกพ้นประตูวัดเพื่อบอกบุญ ก็ให้คุณปู่และคุณย่าจางเลี้ยงเหล้า บอกปัดก็ไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเพราะเหล้าเหมาะกับปากด้วย ที่ว่าเมื่อบวชแล้วก็ต้องถือศีลงดสุรา เป็นเพราะต้องโปรดเวไนยสัตว์ "เมื่อเหล้าเข้าปาก ก็ไม่มีสักหยดที่ตกถึงคอ" ทำเป็นเมาแต่ภายในตื่น เพราะกายพุทธนั้นถาวรดุจ วัชรไม่แปรเปลี่ยน มิฉะนั้นก็คงป่วยตายไปแล้วเวไนยสัตว์ไม่มีกายอย่างนี้ ฉะนั้นห้ามเลียนแบบอย่างที่เหลวไหลอย่างข้าพเจ้า
5. ท่านขุนวังหวังและท่านเฉินถี่เตี่ยนต่างก็ไม่กล่าวหาจี้เตียน กลับยินดีร่วมดื่มเหล้าและแต่งกลอนด้วยนั่นคือ
ผู้ออกบวช อย่างแท้จริง
ไม่ถูกพุทธ ควบคุมไว้
บอกบุญทั่ว ทุกทุกบ้าน
ทุกทุกตน รู้จักพุทธ