mindcyber 1 year ago

ประวัติพระอรหันต์จี้กง ตอนที่ 7

สัมมาสติไม่หลงรูป ธรรมจิตรู้ตื่นไม่เมาเหล้า

กล่าวฝ่ายจี้เตียน เมื่อได้มาถึงหน้าบ้านนางหวังเป่าโถว ก็แลเห็นแม่นางผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้าน จี้เตียนจึงถามว่า "แม่นาง คุณเฉินถี่เตี่ยนอยู่ที่บ้านเจ้าหรือเปล่า" แม่นางว่า "ท่านเจ้าคุณเฉินมาตั้งแต่เมื่อคืนตอนนี้กำลังอาบน้ำอยู่ หากท่านต้องการพบเขา ก็ขอเชิญข้างในแล้วโปรดนั่งรอสักครู่" จี้เตียนกล่าวว่า "ถ้าหากคุณเฉินอยู่ ข้าก็จะเข้าไปรอเขาข้างใน" ว่า แล้วก็ตรงขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในห้องของนางหวังเป่าโถว เห็นเงียบเชียบนางหวังเป่าโถวก็ยังนอนอยู่จี้เตียนเดินไปถึงหน้าเตียง ค่อยๆ เปิดม่านเห็นนางหวังเป่าโถวนอนสลบไสลอยู่ในความฝัน จี้เตียนก็หยิบรองเท้าข้างหนึ่งที่พื้น ค่อยๆ เปิดผ้าห่ม แล้วเอารองเท้าวางไว้บนของลับของนางขณะกำลังจะหันตัวกลับก็จวบเหมาะกับเฉินถี่เตี่ยนอาบน้ำเสร็จออกมาร้องเรียกจี้กงว่า "จี้กงไม่เห็นท่านนานแล้ว คิดถึงยิ่ง วันนี้มีบุญสัมพันธ์ที่มาถึงที่นี่" จี้เตียนว่า "ข้ากลับมาจากเทียนไถไปหาท่านที่บ้าน เขาว่าท่านไม่กลับบ้าน ข้าก็เดาว่าท่านก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงมาตามหาที่นี่" เฉินถี่เตี่ยนว่า "มาพอดีอาหารเช้า เชิญรับด้วยกันเถิด" พอดีนางเป่าโถวตื่นขึ้นมา พบรองเท้าที่หน้าท้อง กำลังสอบถามพวกนางเล็กๆ ว่า เห็นใครขึ้นมาบ้าง พวกนางบอกว่า "ไม่เห็นมีใคร นอกจากพระจี้เตียน" ก็พอดีเห็นเฉินถี่เตี่ยนเดินเข้ามากับจี้เตียน หวังเป่าโถวแลเห็นจี้เตียน ก็ยิ้มแล้วว่า "เป็นคนออกบวช ทำพิรุธแล้วยังไม่หลบ ทำไมไร้มารยาท" จี้เตียนว่า "มิใช่พระภิกษุจะไร้มารยาท แต่เพราะมีบุพเพสันนิเวส" หวังเป่าโถวว่า "ทำพูดเล่นไป มีบุพเพสันนิวาสอะไรกัน" จี้เตียนว่า "ตอนที่เจ้ากำลังฝันอยู่ ได้พบเห็นอะไรบ้าง" หวังเป่าโถวว่า "ฉันกำลังฝันถึงกลุ่มวัยรุ่นที่เลวทราม กำลังล้อมกรอบฉันอยู่" จี้เตียนว่า "แล้วต่อไปมีอะไร" หวังเป่าโถวว่า "พอฉันลืมตาขึ้น ก็ไม่เห็นอะไร" จี้เตียนว่า "นี่มิใช่เป็นบุพเพสันนิวาสหรือ" ว่าแล้วก็เอากระดาษเขียนข้อความว่า 

หมู่ภมรเคล้านารีจนเหนื่อยอ่อน  เผลอหลับฝันหวานเคลิบเคลิ้มใจ

เสื้อผ้าแพรพรรณไม่ติดกาย เผยโฉมเอวองค์อ้อนแอ้น 

ละลาบละล้วงตามแต่บุปผาเทพ  จึงนำรองเท้าปิดปากถ้ำ 

จงอย่าถือโกรธเมื่อรู้ตัวตื่น มิใช่ภิกษุยุ่งแสร้งทำนุ่มนวล 

แต่เพื่อตัดหนทางเกิดดับ  ให้หมดสิ้นไปจากความบาป


เฉินถี่เตี่ยนฟังแล้วหัวเราะลั่นว่า "ที่แท้เป็นบุพเพสันนิวาสเช่นนี้เองทำให้ตื่นจากความฝันหวาน ยังไม่รีบเอาสุรามาขอบคุณท่านจี้เตียนที่หวังดี" ขณะที่พูด แม่นางก็ได้นำเหล้ามาให้สามชาม จี้เตียนดื่มเสร็จแล้วว่า "แค่หนึ่งชามคงไม่พอ" หวังเป่าโถวจึงว่า "ชามของฉันนี้ ขอยกให้ท่าน" จี้เตียนยกขึ้นดื่ม พวกแม่นางก็เสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ ทั้งสามจึงร่วมรับประทานอาหาร พอเสร็จ จี้เตียนกล่าวขอบคุณแล้วก็ละจากไป เฉินถี่เตี่ยนพูดว่า "หากมีเวลา ต้องไปที่บ้านผมให้ได้ ผมมีเหล้าดีจะเลี้ยง" พูดจบก็จากกันไป


จี้เตียนจำได้ว่า วันนี้ท่านขุนวังหวังได้นัดให้ไปหา คงต้องไปสักคราจึงเดินผ่านหมู่บ้านชิงเฮอ เดินมาถึงหน้าภัตตาคารเซินหยางก่วน เห็นร้านเหล้าเต้าหู้ที่อยู่ตรงข้ามมีคนนั่งดื่มเหล้ากันมากมาย พอดีกับหิมะเริ่มจะโปรยโปรยลงมา พลางคิดว่า "ข้าเพิ่งดื่มไปแค่สองชาม ยังไม่พอเพียงสู้อยู่ดื่มที่ร้านนี้อีกสักหน่อยคงจะดี" ว่าพลางก้าวเข้าไปในร้านนั้นหาโต๊ะที่ว่างนั่งลง พนักงานก็เข้ามาถามว่า "อาจารย์จะเอามากน้อยแค่ไหนจี้เตียนว่า "เท่าไรก็เอามาเถอะ ข้าก็จะดื่มไปเรื่อยๆ" พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟอยู่สี่อย่าง พร้อมเต้าหู้หนึ่งจาน เหล้าหนึ่งโถ ชามและตะเกียบจี้เตียนไม่พูดร่ำทำเพลง ก็ลงมือกินไป ชั่วพริบตาก็ดื่มหมดโถ รู้สึกหอมหวานพนักงานก็เสิร์ฟอีกโถ ก็ดื่มหมดอีก เรียกให้เอามาอีก พนักงานว่า "เหล้าที่นี่รสดี ดีกรีก็สูงด้วย ท่านจะเก่งแค่ไหนก็ดื่มได้เพียงสองโถ ถ้าเกินกว่านั้นก็จะเมา" จี้เตียนว่า "กินเหล้าไม่ให้เมา แล้วจะกินไปทำไม ไม่ต้องห่วงเอามาอีกก็แล้วกัน" พนักงานเลยนำมาให้อีกสองโถ จี้เตียนดื่มอย่างสบายใจลุกขึ้นยืนคิดจะกลับ แต่จนใจที่ไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะเดียว ก็ได้แต่เบิ่งตามองดูหน้าร้านเพื่อรอหาเจ้ามือ รอจนครึ่งวันก็ไม่ปรากฏว่ามีใครรู้จักผ่านมาพนักงานก็เร่งจะเก็บเงิน จี้เตียนจนปัญญาจึงบอกว่า "ข้าไม่ได้เอาเงินติดตัวมา รอสักครู่ แล้วจะส่งมาให้" พนักงานว่า "พระรูปนี้ไม่มีเหตุผล เวลากินเหล้าหนึ่งขวดก็ไม่พอ สองขวดก็ไม่หยุด พอเสิร์ฟช้าก็โวยวาย พอจะเก็บเงินก็จะให้เชื่อไว้" จี้เตียนว่า "ข้าเป็นพระวัดหลิงอิ่น มีคนรู้จักแยะคอยสักครู่ก็จะมีคนมาจ่ายเงินให้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็ตามข้าไปเอาเงินก็ได้" พนักงานว่า "งานของข้ามีแยะไม่มีเวลา เอาง่ายๆ หน่อย ถอดจีวรขาดนี้มาจำนำไว้ จะได้ไม่ต้องพูดมาก" จี้เตียนว่า "ข้าเป็นผู้ยากจน ทั้งตัวก็มีอยู่เท่านี้ จะถอดให้ได้อย่างไร" ทั้งสองก็ยื้อแย่งกันอยู่หน้าประตูร้าน ก็พอดีมีข้าราชการที่อยู่ตรงข้ามมองมาเห็นเข้าจึงเรียกผู้ติดตามออกไปดูซิว่า "ใช่ท่านจี้กงหรือเปล่า จะได้เชิญท่านมาที่นี่" ผู้ติดตามรับคำสั่งรีบไปยังร้านตรงข้ามก็เห็นว่าเป็นจี้เตียน จึงพูดว่า "เจ้านายกระผมขอเชิญท่าน" จี้เตียนเห็นมีคนเชิญ จึงตั้งสติพูดกับพนักงานว่า "เห็นไหม! ข้ามีคนรู้จักข้าแยะต้องมีคนช่วยออกเงินให้ รีบตามข้าไปซิ" พนักงานจึงยอมติดตามไปยังร้านตรงข้าม พอเห็นมิใช่ใครอื่น เป็นพี่น้องเฉินถี่เตี่ยนและเฉินอู่กวนสองคนจึงพูดว่า "พวกท่านก็มัวแต่กินอยู่สบาย ส่วนข้าพเจ้าถูกเจ้าพนักงานข่มเหงเอาแทบแย่ หากช้าไปกว่านี้ คงถูกเขาถลกหนังแน่ๆ" ทั้งสองฟังแล้วก็หัวเราะลั่นเฉินอู่กวนจึงสั่งให้ลูกน้องรีบไปจ่ายเงิน จี้เตียนจึงว่า "ขอบใจมากที่ช่วยสะสางให้" เฉินอู่กวนว่า "หิมะตกอย่างนี้ ไม่มีงานทำ จึงออกมาเที่ยวเล่น กำลังหาคนดื่มเป็นเพื่อน ท่านมาพอดี ขอดื่มให้ชื่นมื่นสักครั้ง" จี้เตียนว่า "เหล้าก็จะดื่ม แต่ถูกเขาดึงรั้งจึงหมดสนุกข้าพเจ้าจะแต่งกลอนแก้กลุ้มสักหน่อย" จึงพูดออกมาทันทีว่า 


เห็นสุราน้ำลายหกรีบกลืนกิน  มิถวิลคะนึงว่าไม่มีทรัพย์ 

หากมิพบผู้นับถือคงยากนัก  ฉุดกันเพลินรั้งกันไปอยากหลีกเร้น 



ทั้งสองฟังแล้วก็หัวเราะใหญ่ว่า "แก้กลุ้มได้ไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ คิดอยากจะดื่มเหล้าหรือยัง" จี้เตียนว่า "อากาศหนาวออกอย่างนี้ ทำไมจะไม่ดื่ม" ว่าแล้วก็พูดต่อว่า 

มิใช่เราทรมานเหล้าอยากกิน เป็นเพราะกลิ่นโชยมาแตะจมูก

ดั่งปลาวาฬกลืนกินสายน้ำดูด ท้องไส้ผูกผ่อนคลายชุ่มฉ่ำจิต


เฉินอู่กวนพูดว่า "ท่านว่าปลาวาฬกินสายธาร ทำไมพูดใหญ่โตขนาดนั้น พูดถึงการดื่มเหล้า มันเป็นเรื่องธรรมดา" จี้เตียนว่า อันนี้เป็นข้อกำหนดแต่โบราณ ไฉนเลยข้าจะกล้าดื่มมาก" ว่าแล้วก็ต่อกลอนอีกสี่วรรค 

ข้าได้ยินสมัยก่อนหลี่ชิงเหลียน  ดื่มแก้เลี่ยนหมดกาหนึ่งแต่งร้อยกลอน

อาตมาขยับเพียงสองสามตอน  มิกล้านอนละเมอเพ้อในร้านเหล้า


ทั้งสองได้ฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจ "คิดถึงจำนวนเหล้าแล้วก็เห็นว่าแต่งกลอนน้อยไป แต่วันนี้พวกเราไม่ต้องการให้ท่านแต่งกลอน แต่ให้ดื่มเหล้า ไม่รู้ว่าท่านจะดื่มมากน้อยแค่ไหน" จี้เตียนว่า "ดื่มเหล้ามีการกำหนดที่ไหน" ว่าแล้วก็แต่งต่ออีกสี่วรรค 

แต่ไหนมาจำนวนเหล้าไม่กำหนด ดุจเหวลึกถมไม่หมดใช่หรือไม่ 

หาเห็นพ้องร่วมโต๊ะนอนข้างไห  ชามหนึ่งใบเติมไม่หยุดคงสุขแฮ


เฉินอู่กวนเห็นจี้เตียนมีอาการมึนเมา จึงพูดกับเฉินถี่เตียนว่า "พระรูปนี้เห็นเหล้าเป็นชีวิต ไม่รู้ว่ากามราคะเป็นไฉน วันนี้เราเรียกมาลองดูไหม"ว่าแล้วก็ให้คนไปเรียกแม่นางมาสามคน มาเป็นเพื่อนกินเหล้า ให้มานั่งข้างๆ แต่ละคน เฉินอู่กวนว่า "จี้กง! เราเห็นว่าท่านดื่มเหล้าได้ แต่งกลอนได้แต่ก็รู้สึกเหงาๆ จึงได้เรียกแม่นางมาเป็นเพื่อนดื่มเหล้า ท่านว่าดีไหม" จี้เตียนว่า "ดี ดี ดี" จึงแต่งกลอนต่ออีกสี่บาท 

มิใช่โลภสุราอิงนารี  พระดีดีแม้นิยมก็ไม่กล้า 

จีวรเป็นของสูงใช่ปลาร้า  เห็นทีท่าจะเปื้อนหอมในวันนี้ 


เฉินอู่กวน เห็นจี้เตียนนั่งใกล้นางโลม โดยไม่มีใจอคติ จึงหยอกล้อจี้เตียนว่า "ที่นี่เป็นภัตตาคารมิใช่อยู่บ้านช่อง ท่านจี้เตียนจะเข้าไปหยอกเล่นกับแม่นางในห้องก็คงไม่เป็นไร" เฉินถี่เตี่ยนสัพยอกต่อไปว่า "จี้กงชาญชัยในบทกลอนและสุรา จะไปขาดทำไมกับสิ่งนี้" จี้เตียนยิ้มๆ และพูดว่า "ข้านั้นยอมหมดแล้ว ที่กลัวก็คือความมีอยู่ของความไม่ยอม" ว่าแล้วก็ร่ายกลอนต่อ

เสียงนางแอ่นแว่วหวานนางหงส์ฟ้า  งามบุปผาที่จริงน่าสงสาร 

อยากลอบรักหลายครั้งผีเสื้อสาว ใจข้าร้าวดุจเหล็กเพชรทำไงดี 


เฉินอู่กวนกล่าวต่อว่า "แต่งได้เพราะ ถึงท่านอาจารย์จี้กงจะเป็นเช่นนี้การเสพเมถุนเป็นธรรมดาของชีวิต ผู้ออกบวชก็น่าจะลองดูรสชาติ" จี้เตียนไม่ตอบ แต่ยกบทกลอนขึ้นว่า 

เมื่อก่อนพ่อแม่ก็ทำเช่นนี้  เกิดข้าที่กายเหม็นอสุภะ 

ใจข้าไม่เหมือนพ่อแม่นะ ขจัดราคะตัดรักษาตลอดกาล 


จี้เตียนกล่าวจบ ทั้งหมดก็หัวเราะขึ้น เรียกคนให้ไปอุ่นเหล้า พูดไปคุยไปจนกระทั่งถึงค่ำ จึงได้ลุกขึ้น เฉินถี่เตี่ยนได้ขอตัวกลับไปก่อน เฉินอู่กวนเหล้าออกฤทธิ์จนได้ที่แล้วจึงพูดกับจี้เตียนว่า "คืนนี้ดึกแล้ว จะกลับวัดก็ไม่ทัน ท่านกับผมไปหาห้องนอนค้างสักคืนก็แล้วกัน" ขณะนั้นจี้เตียนก็เมาแล้วจึงตอบรับไปส่งเดช เฉินอู่กวนเรียกคนให้ประคองจี้เตียนไปยังถนนตัดใหม่ ที่บ้านนางโลมหลิวเป่าโถว แม่เล้าเห็นท่านเฉินอู่กวนมาก็ดีใจใหญ่จึงถามขึ้นว่า "ท่านทำไมนำพระเมาเหล้ามาด้วย" เฉินอู่กวนตอบว่า "ค่ำมืดแล้วกลับวัดไม่ทันจึงพามานอนด้วย หากเจ้าไม่ติว่าเขาเป็นพระภิกษุก็ให้หาใครมานอนเป็นเพื่อนด้วย" แม่เล้าหัวเราะว่า "จะเป็นไรไปล่ะ" จึงเรียกโฉมนางออกมาสองคน ให้มาตระเตรียมเหล้าและกับแกล้มให้แก่ท่านเฉินอู่กวน ท่านเฉินอู่กวนร้องว่า "พวกเราเมาแล้วรับไม่ไหวแล้ว" แม่เล้าจึงเรียกโฉมนางผู้พี่ไปนอนเป็นเพื่อนจี้เตียน ผู้น้องไปนอนเป็นเพื่อนเฉินอู่กวน


ผู้พี่เห็นจี้เตียนเมาหลับตานั่งอยู่ในห้องโถงไม่ขยับ จึงเดินไปข้างหน้าพลางหัวเราะแล้วร้องเรียกว่า "พระเมาเหล้า ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะ" จี้เตียนก็ได้แต่อ้อแอ้ เรียกเท่าไรก็ไม่ขยับ นางจึงเข้าไปพยุงให้ลุกขึ้นแล้วพาเข้าห้องไป จี้เตียนก็ยังคงไม่ตื่น นางจึงคิดหาวิธี พอคิดได้ก็พาไปนอนที่เตียง จี้เตียนก็ล้มลงนอนไปเลย เมื่อนางเห็นว่าเมาไม่ตื่นเช่นนี้ จึงฉุดให้ลุกขึ้นเพื่อแก้เชือกผูกเอวออกถอดจีวรให้ พอฉุดให้ลุกขึ้นก็ล้มลงนอนอีกฉุดไปฉุดมาเลยทำให้จี้เตียนตื่นขึ้น พอลืมตาขึ้นเห็นว่าเป็นนางโลมกำลังจะมาถอดจีวรให้ จึงร้องขึ้นว่า "เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหนเนี่ย" แม่นางหัวเราะว่า "ก็เป็นห้องนอนของดิฉันนะสิ ท่านเฉินอู่กวนพาท่านมาส่ง ท่านเมาจนดิฉันเปลืองแรงร้องเรียกไม่รู้จักเท่าไหร่ รีบๆ ถอดเถอะจะได้นอนด้วยกัน" จี้เตียนจึงกระวีกระวาดลุกขึ้นร้องขึ้นว่า "บาปกรรม! บาปกรรม!" แล้วลุกขึ้นยืน เปิดประตูแล้ววิ่งออกมานอกห้อง แม่นางหมดรส ชาติจึงกลับเข้าไปนอน พอจี้เตียนออกมานอกห้อง ก็ได้ยินข้างนอกกำลังเคาะยามสองอยากจะเปิดประตูออกไปก็เกรงว่า จะถูกหาว่าเป็นขโมย เหลือบเห็นผนังข้างๆ มีเตาผิงใหญ่ เอามือไปแตะดูเห็นไฟยังไม่มอดมีไออุ่นอยู่ จึงปีนขึ้นไปนอนบนเตาผิง พอศีรษะแตะพื้นก็หลับไปเลย นอนถึงตีห้าได้ยินเสียงนาฬิกาดังขึ้นจึงรีบปีนลงมา เปิดหน้าต่างออกไปดูข้างนอก เห็นดวงจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า ดวงดาวบางเบา ทางทิศตะวันออกเห็นแสงเรืองขาว นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วอดกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เห็นบนโต๊ะมีพู่กันและกระดาษพร้อมอยู่ จึงเขียนเป็นกลอนว่า 

เรื่องบนเตียงแล้วแต่กรรมสัมพันธ์  ทำไมกันต้องลำบากพูดหยอกเย้า 

เกมเมื่อคืนเป็นบ่วงบาศก์อุบายเจ้า จึงเสียเปล่าแก่แม่เล้าถึงห้าเหรียญ


เขียนจบ ตาเหลียบเห็นบนโต๊ะยังมีเหล้าอีกกาหนึ่งที่วางไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จึงเลื่อนมาข้างหน้าดมๆ ดู กลิ่นนั้นเร้าความอยากเหล้าขึ้นมา แม้เหล้าจะเย็นก็ไม่หวั่น ยกขึ้นจรดที่มุมปาก ค่อยๆ ดื่มจนหมดกา รู้สึกครึกครื้นจึงเขียนกลอนต่อว่า 

แต่ไรมาทุกเรื่องไม่ยุ่งเกี่ยว มีอย่างเดียวหอมดีกรีเกิดความโลภ 

เช้าไม่ได้สักสามชามบริโภค ทนลมโกรกภายนอกได้อย่างไร


พอเขียนจบ จี้เตียนก็เปิดประตูใหญ่แล้วเดินออกไป ฝ่ายแม่เล้าได้ยินเสียงเปิดประตูจึงรีบลุกขึ้นมายังห้องโถง เห็นกาเหล้าบนโต๊ะว่างเปล่าแถมมีหนังสือบนโต๊ะไม่ทราบว่าเขียนอะไร เข้าไปดูในห้อง พระภิกษุก็หายไปแล้วเหลือแต่แม่นางนอนหลับปุ๋ยคนเดียว แม่เล้าเรียกให้ตื่นเพื่อไต่ถามถึงเรื่องเมื่อคืน แม่นางตอบว่า "พระรูปนั้นเมาเสียไม่รู้เรื่อง ข้าเองก็คิดว่าจะเป็นบาป ก็จะไปถอดจีวรให้ ปลุกให้เขาลุกขึ้น ไม่คิดว่าพอเขาตื่นขึ้นมา ก็วิ่งออกจากประตูห้องไป ทำให้ข้านี้กระดากอายจนไม่กล้าจะเอ่ยปากไม่รู้ว่าตอนหลังเขาอยู่อย่างไรทั้งคืน" พอพูดจบเฉินอู่กวนก็ลุกขึ้น เดินมาพร้อมกับน้องนางเพื่อมาดูจี้เตียน เมื่อทราบเรื่องราวและเห็นหนังสือที่เขียนทิ้งไว้บนโต๊ะ จึงกล่าวยกย่องว่า "คุณธรรมสูงส่ง แบบนี้ไม่เสียทีที่เป็นผู้ออกบวช ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมข้าราชการแห่งตำหนักสิบหกจึงยกย่องนับถือนัก สมเป็นผู้มีธรรมะสูง สิงห์มังกรสยบ คุณธรรมยิ่งใหญ่ผีเทพยกย่อง" ว่าแล้วเฉินอู่กวนก็ลาจากไป ไม่รู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป 


อธิบายท้ายบท โดยพระอรหันต์จี้กง


  1. บ้านของนางหวังเป่าโถวเป็นนางโลม จี้เตียนมิได้มาแสวงหากามารมณ์หากเป็นเพราะผู้ออกบวชช่วยกอบกู้ผู้ลุ่มหลง จึงไม่หลบการติเตียนแสดงตนเหมือนนักเที่ยว สู่สวนนางบุปผาเพื่อหารากธรรม (เพราะมีไม่น้อยที่รากธรรม ฝังอยู่ในดงบุปผา ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือฤา! พวกที่ยกตนเองว่าบริสุทธิ์สูงสุด ไม่เข้าแหล่งการพนันช่วยเหลือนักพนัน แต่กลับเข้าจวนขุนนางเพื่อลูบก้นม้า จะไปกอบกู้ก้นนะหรือ!) 
  2. เอารองเท้ามีลายปัก วางบนที่ลับของนางหวังเป่าโถว อย่างนี้ถือว่าละลาบละล้วงมาก ฮะฮะ! ผู้ออกบวชมือสกปรกไร้มารยาทหรือไม่ใช่! ไม่ใช่! เนื้อเหม็นผืนนี้ทำลายคนไม่รู้เท่าไรแล้ว วันนี้อาตมาเอารองเท้าปิดประตูแห่งบาป ตัดขาดทางเกิดดับเพื่อไม่ให้คลองหายนะกลืนกินพืชพันธุ์แห่งโพธิบุตร 
  3. ให้เมามากต้องใช้เหล้าสามพันขวด ภิกษุน้อยอย่างอาตมาไม่ได้มีเงินติดตัวสักอีแปะ ดื่มเหล้าไม่ต้องจ่ายเงิน เป็นการดื่มฟรีๆ ดื่มจนเจ้ามือพอใจ อย่างนี้ต้องนับว่าเป็นฝีมือจี้เตียนนะ! สมัยนี้ถ้ามีพระภิกษุไปขอบริจาคสักเล็กน้อยที่บ้าน เจ้าของบ้านจะโยเยไม่ค่อยพอใจเป็นเพราะว่ายามปกติก็ไม่มีความสัมพันธ์อันดีไว้ก่อนพอตอนต้องการเงิน ถึงได้เห็นหน้าพวกพระสงฆ์ มิน่าพวกเจ้าจึงไม่มีราคาเลย 
  4. เฉินอู่กวน เฉินถี่เตี่ยน ดื่มสุราต่อกลอนที่ภัตตาคารอย่างสนุกสนานจึงตกลงกันว่า "พอจี้เตียนเมาแล้ว อยากรู้ว่ากามารมณ์เขาเป็นอย่างไร" จึงได้เรียกพวกนางโลมมาร่วมดื่มสุรา ช่างไม่สมควร แถมยังพาไปที่บ้านนางหลิวเป่าโถว พวกเจ้ามือก็ตระเตรียมให้จี้เตียนเป็นพิเศษ จี้กงจึงว่า "รูปคือว่าง ความว่างคือรูป หอมรูปมิสู้หอมสุราหอมรูปไม่รู้อิ่ม หลังกามารมณ์ยิ่งหิว สิ่งนี้ ไม่ได้! ไม่ได้!" รูปหลงฌานมีสติเมาแล้วจิตคงตื่น จึงไม่ถูกชาวบ้านนินทาเปรอะเปื้อนพุทธศาสนา คงไว้แต่พืชพันธุ์แท้สืบต่อปัญญาธิคุณ นั่นคือ

วิญญาณคืนสู่จิตเดิมกลางกามา  รู้ตื่นในสุราพุทธเสกเป่า 

ทำฟั่นทำเฟือนรูปกายเบา จิตเริงเร้าสู่วิหารอย่างสง่างาม




0
497

บำเพ็ญใจ

เฉินจวิ่นฟูจือ

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

โยนบาปให้สวรรค์

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago

กุลสตรี

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

คับแค้น

1654918052.jpg
mindcyber
3 months ago

ขจัดความลวง

พระนพภางค์เจ้า (กิ่วเทียนซือเหม็งจิงกุง)

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago