พระจี้กงประทับทรง วันที่ 14 มีนาคม 2527
ชีวิตคน ดุจแมลง เร่งบำเพ็ญ
พึงละเว้น มิจฉากาม อกุศล
ย้อนหลังดู อดีต วีรชน
ล้วนพลีตน แม้ตัวตาย แต่ชื่องาม
พระจี้กง :ชีวิตคนเราดุจความฝัน เปรียบเสมือนการแสดงละคร ถ้าหากไม่รักถนอมจิตวิญญาณอันอมตะของตน มุ่งแต่แสวงหาความสุขสบายจากวัตถุธาตุนอกกาย จนตนเองต้องตกสู่ห้วงเหวลึก เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ทว่าสัตว์โลกก็ยังเห็นกงจักรเป็นดอกบัวอยู่นั่นเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังเจตนาประพฤติดังนั้นเมื่อทำผิดแล้วมาคิดเสียใจทีหลัง ก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว การตั้งสำนักทรงโปรดสัตว์โลกในทุกวันนี้ จุดมุ่งหมายเพื่อจะตักเตือน ชี้แนะและเหนี่ยวรั้งจิตใจผู้คนไม่ให้ก่อกรรมชั่ว จนทำให้เสียอนาคต ซึ่งเป็นการให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น
ชิวเซิง :อาจารย์พูดถูกต้องที่สุด สมัยนี้วิทยาการต่าง ๆ เจริญก้าวหน้า แต่ศีลธรรมจรรยากลับเสื่อมลง ทุกคนคิดถึงแต่ผลประโยชน์และความอยู่รอดของตนเอง ไม่สนใจถึงผลร้ายที่จะติดตามมา
พระจี้กง :ที่เธอพูดก็ถูก ถ้าทุกคนมุ่งแต่แสวงหาประโยชน์ตน โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น ๆ สังคมคงจะปรากฏสภาพการณ์แห่งความเลวร้ายจนน่าหวาดผวาเป็นแน่ ชิวเซิง..เธอรู้ไหมว่าที่ทุกวันนี้ เกาะไต้หวันร่มเย็นสงบสุขเช่นนี้เป็นเพราะสิ่งใด ?
ชิวเซิง :ผมไม่ทราบ เพราะอะไรหรือครับ?
พระจี้กง :ก็เพราะมีหนังสือธรรมะแพร่หลายไปทั่วอย่างต่อเนื่อง และได้มีการจัดตั้งสถานธรรมขึ้นอย่างดาษดื่น บุคคลเหล่านี้ได้อุทิศตน เพื่อช่วยฟื้นฟูวัฒนธรรมอันดีงาม อย่างเช่น นายไช่เจ้าสำนัก ก็เป็นบุคคลประเภทดังกล่าว ดูหน้าตาภายนอกของเขาแม้จะเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าตั้งแต่เขาได้ตั้งสัตย์ปณิธานแล้วในส่วนลึกของดวงจิต เขาได้อุทิศตนเพื่อเพื่อนร่วมโลกมาแล้วไม่น้อย และทุกวันนี้เขาก็ยังรับภาระในการทรงเจ้าถึง 2 สำนักอย่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ แต่ยังมีคนบางกลุ่มหัวเราะเยาะเขาว่า ไม่ประมาณตนหาว่าหลงงมงาย ปรามาสว่าเขาด้อยภูมิปัญญา ไม่มีทางรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้ วิพากษ์วิจารณ์เขาต่าง ๆ ทว่า นายไช่ก็หาหวั่นไหวหรือใส่ใจกับการถากถางเหล่านี้ไม่ จนที่สุดก็สามารถจัดตั้งสำนักเซิ่งเทียนขึ้นมาได้สำเร็จ
ชิวเซิง :เรื่องนี้ผมก็พอรู้ อันที่จริงการประกอบกิจกรรมทางธรรมะยากลำบากกว่าการเปิดร้านขายของมากนัก คนทำการค้ายังมีเวลาว่างสำหรับพักผ่อน ส่วนผู้ทำกิจกรรมธรรมะ เรื่องครอบครัวจะต้องปล่อยวางหมด ซึ่งเรื่องนี้ผมยังต้องฝึกฝนอีกมาก
พระจี้กง :แต่ก็ไม่เลวนัก การที่ผู้อื่นโจมตีนี้กลับเป็นการหล่อหลอมเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีสมาธิจิตยิ่งขึ้น อันน้ำขมนั้นเมื่อกินบ่อยครั้ง รสขมย่อมจะชาชินไปเอง แบบเดียวกับการกินน้ำแกงมะระ หรือกินยาหม้อขม แม้ตอนเข้าปากจะขม แต่หลังจากนั้นกลับตรงข้าม คือยังมีกลิ่นเย็นหวานฉ่ำเหลือค้างอยู่ในปาก
ชิวเซิง :ฮ่าฮ่า ....ความจริงก็ใช่ อาจารย์เปรียบเทียบได้เยี่ยมมาก ผมคิดว่าพี่ไช่ก็คงเข้าใจหลักการข้อนี้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นได้
พระจี้กง :ฮ่าฮ่า...เรื่องนี้ยังพูดยาก บางครั้งอาตมาเห็นนายไช่เป็นคนไม่ชอบเปิดเผยความขมขื่นของตนเองเพราะเขากลัวจะมีผลกระทบถึงความเชื่อมั่นศรัทธาของพวกเธอผู้ปฏิบัติธรรม ดังนั้นเขาจึงได้แต่อดทน โดยตนเองยอมเสพน้ำขมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนน้ำอมฤตแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ร่วมเสพ
ชิวเซิง :แบบนี้ไม่เป็นการอยุติธรรมหรือครับ ?
พระจี้กง :ผู้แบกภาระใหญ่ก็ต้องเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้เธอมิต้องกังวล กังวลไปก็ไร้ประโยชน์
ชิวเซิง :ครับ
พระจี้กง :เวลาไม่คอยท่า เราออกเดินทางกันเถอะ
ชิวเซิง :ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ไปได้
พระจี้กง :ถึงแล้ว....ชิวเซิงรีบลงจากดอกบัวเร็ว นั่นหัวหน้าแดน ได้รอคอยอยู่แล้ว
ชิวเซิง :กระผมขอคารวะท่านหัวหน้า
หัวหน้า :ตามสบาย เชิญเข้าไปนั่งข้างในก่อน
พระจี้กง :เวลามีจำกัดเราตรงไปที่หมายกันเลยดีกว่า
หัวหน้า :ก็ดีเหมือนกัน งั้นเราไปด้วยกันเลย
ชิวเซิง :อาจารย์ครับ...ที่นี่บรรยากาศยมภูมิแรงเหลือเกิน ขาของผมชาไปหมดแล้วครับ
พระจี้กง :ไม่เอาไหนเลย รีบกินยาสงบจิตนี้เข้าไปซิ
ชิวเซิง :ขอบพระคุณอาจารย์ หลังจากกินยาสงบจิตแล้ว ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วครับ โอ....อาจารย์ครับ ดูคนข้างหน้านั่นซิ มีหนอนยั้วเยี้ยเต็มตัวไปหมด เนื้อหนังก็แตกเป็นแผลเน่าเปื่อย มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาจากตัว พร้อมทั้งตับไตไส้พุงบางส่วนทะลักออกมานอกเนื้อ และมีแมลงวันขนาดยักษ์มากมายบินวนเวียนอยู่รอบตัว เห็นแล้วขนลุกน่าสะพรึงกลัว
พระจี้กง :ชิวเซิง...เธอไม่ต้องกลัวหนอนและแมลงวันพวกนี้ ก่อตัวและแปรสภาพมาจาก “ธาตุยม” ซึ่งจะดูดกินเลือดเนื้อของผู้ไร้ซึ่งจิตมนุษย์โดยเฉพาะ มันไม่ทำอันตรายเธอหรอก
ชิวเซิง :อาจารย์ครับ...คนผู้นี้ได้สร้างบาปกรรมร้ายแรงอะไรหรือครับ? จึงได้มีสภาพเช่นนี้
พระจี้กง :เดี๋ยว...อาจารย์จะเสกน้ำมนต์ช่วยให้สติสัมปชัญญะเขากลับคืนมา แล้วค่อยว่ากัน
ชิวเซิง :น้ำมนต์วิเศษจริง ๆ เพียงครู่เดียวหนอนและแมลงวันก็หายไปหมด...นี่คุณ ผมคือชิวเซิงคนทรงแห่งสำนักเซิ่งเทียน ได้รับเทวโองการให้ลิขิตหนังสือเรื่อง “ท่องอเวจี” ที่คุณต้องได้รับผลกรรมสนองด้วยความทุกข์ทรมานเช่นนี้แท้จริงตอนเป็นมนุษย์คุณได้ทำความชั่วอะไรไว้หรือ?
วิญญาณบาป :ผมไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานานแล้วท่านให้อาหารผมกินก่อนซิ แล้วผมจึงจะบอกท่าน
พระจี้กง :จงกินยาเม็ดนี้เข้าไป แล้วเธอก็จะหายหิว
วิญญาณบาป :วิเศษจริง ขอบคุณพวกท่านมาก แต่ว่าเมื่อผมเล่าเรื่องราวความอัปยศต่าง ๆ ครั้งเป็นมนุษย์ให้ฟังแล้วพวกท่านช่วยปล่อยผมไปได้ไหม?
พระจี้กง :คงทำไม่ได้
วิญญาณบาป :งั้นผมไม่เล่าละ
หัวหน้า :บังอาจ เจ้ารู้มั้ยว่าท่านผู้นี้คือใคร?
วิญญาณบาป :เป็นใครก็เหมือนกัน
พระจี้กง :ตอนเป็นมนุษย์เจ้าฆ่าชาวจีนจำนวนไม่น้อยคาดไม่ถึงว่าตายแล้วยังก้าวร้าวเช่นนี้อีก
ชิวเซิง :ร้ายกาจน่าดู
หัวหน้า :เจ้าหน้าที่จัดการโบย 100 ทีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ชิวเซิง :ผลของการปากแข็ง จึงต้องลงเอยเช่นนี้
เจ้าหน้าที่ :ได้โบยครบ 100 ทีแล้วครับ
วิญญาณบาป :โอย...โอย....อยู่ที่นี่ทรมานเหลือเกินผมทนไม่ไหวแล้ว
พระจี้กง :ยามเป็นมนุษย์เจ้าทำร้ายผู้อื่น แล้วผู้อื่นทนไหวมั้ย ? จงรีบเล่ามาเพื่อให้พ้นจากการถูกโบยอีก
วิญญาณบาป :ครับ...ตอนเป็นมนุษย์ ผมเป็นเจ้าหน้าที่แพทย์ทหารชั้นสูงของญี่ปุ่น ตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะคิดจะเผด็จศึกประเทศจีนโดยเร็ว ดังนั้นผมจึงเสนอให้ใช้อาวุธเชื้อโรค เพื่อบรรลุเป้าหมายในการยึดครองดินแดนประเทศจีน ดังนั้นพวกเรากลุ่มเจ้าหน้าที่แพทย์ผู้เหี้ยมโหดจึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเชื้อโรคต่าง ๆ อย่างลับ ๆ ในระหว่างการวิจัย พวกเราได้จับชาวจีนเป็นจำนวนมากมาเป็นเครื่องทดลอง โดยตอนแรกให้การเลี้ยงดูด้วยอาหารชั้นดี จนทุกคนอ้วนท้วนสมบูณ์ จากนั้นก็เอาเชื้อโรคฉีดเข้าไปในตัว แล้วคอยดูสภาพการเริ่มเน่าเปื่อยของร่างกาย แล้วก็ทดลองวิจัยเคมีที่มีพิษรุนแรงกว่า เพื่อให้ความเน่าเปื่อยของร่างกายเขาเหล่านั้นเพิ่มระดับเร็วยิ่งขึ้น ชาวจีนที่จับมารุ่นนี้พวกเราเรียกตามรหัสว่า “ไม้กลม” พวกที่ร่วมวิจัยค้นคว้ากันในขณะนั้นอาจพูดได้ว่าแต่ละคนล้วนแต่ไร้จิตใจของความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ถือว่า ชาวจีนที่จับมาเป็นคน และไม่ได้สนใจความเจ็บปวดทรมานของพวกเขาเลย ใจจดจ่อมุ่งแต่ให้งานวิจัยบรรลุผลสำเร็จ คาดคิดไม่ถึงว่าความฝันจะพังทลายประเทศญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้สงคราม และยอมจำนน เนื่องจากพวกเราเกรงว่า ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปอาจถูกชาวโลกประณามว่ากระทำโหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรม ดังนั้นจึงได้ระเบิดศูนย์วิจัยทั้งศูนย์ จนแหลกละเอียดไปพร้อมกับชาวจีนเหล่านั้นด้วย
ต่อมาผมได้กลับสู่ประเทศญี่ปุ่น ได้เกิดป่วยเป็นโรคประหลาดชนิดหนึ่ง มีอาการเจ็บปวดรุนแรง และบวมทั่วทั้งตัว และเนื่องจากผมไม่อาจทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดนี้ได้ จึงคว้านท้องฮาราคีรี เดิมทีคิดว่าการทำเช่นนั้นสามารถหนีพ้นจากความทุข์ทรมานโดยเร็ว คิดไม่ถึงว่าพอตายแล้วถูกยมทูตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเหี้ยมโหดยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก ใช้โซ่ตรวนล่ามมือล่ามเท้าของผมกุมตัวไปเมืองนรก ซึ่งได้ถูกท่านยมบาลด่าประณาม และตำหนิอย่างรุนแรง และยังต้องไปรับโทษทัณฑ์จากนรกขุมต่าง ๆ จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ถึงได้ถูกส่งมาที่นรกอเวจีทุก ๆ วันต้องถูกดูดกินเลือดเนื้อจากพวกหนอนและแมลงวัน เจ็บปวดจนวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตายแล้วก็ฟื้น ๆ อยู่เช่นนี้ โอย...ทุกข์ทรมานเหลือเกิน
ชิวเซิง :แล้วแมลงวันพวกนี้ไล่ไม่ไปดอกหรือ?
วิญญาณบาป :ถ้าไล่ไปได้เราก็ไล่ไปนานแล้ว ก็เพราะไล่ไม่ไปนะซิ ผมจึงว่าอยากจะตายเสียยังดีกว่า แต่ก็ตายไม่ได้สักที พระคุณเจ้าท่านนี้รีบ ๆ ช่วยผมทีเถอะ ผมทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ
หัวหน้า :ทำกรรมใดไว้ก็ต้องรับกรรมนั้น ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าอยู่ที่นี่ก้มหน้ารับกรรมไปเถิด
วิญญาณบาป :ฮือฮือ....พวกท่านก็ช่างไร้น้ำใจเสียจริง
หัวหน้า :ถ้าเจ้าพูดอีกคำ ข้าจะสั่งให้เจ้าหน้าที่จัดการโบยเจ้าอีก 100 ที
ชิวเซิง :สภาพเช่นนี้น่าเวทนาจริง ๆ
พระจี้กง :น้ำมนต์ที่ให้เขาเมื่อครู่นี้ จะสามารถลดความเจ็บปวดทรมานไปได้อีกหลายวัน
ชิวเซิง :อิทธิฤทธิ์ของอาจารย์ช่างเกรียงไกรจริงไฉนไม่ให้ผมมั่ง
พระจี้กง :ถ้าเช่นนั้นเธอก็ไม่ต้องมาเป็นศิษย์อาจารย์กัน
ชิวเซิง :ทำไมครับ ?
พระจี้กง :ผู้ที่จะมาเป็นศิษย์ของอาตมา ก็ต้องเสพทุกข์ก่อน แล้วจึงเสพสุขทีหลัง มิใช่มุ่งแต่แสวงหาความสุขชั่วครู่ชั่วยาม
ชิวเซิง :อาจารย์พูดมีเหตุผลดี ศิษย์ละโมบเกินไปหน่อย ต่อไปคงต้องปรับปรุงตัวใหม่
พระจี้กง :เอาละ....วันนี้ดึกมากแล้ว เรากลับกันเถอะ รีบอำลาหัวหน้าแดน
ชิวเซิง :ผมขอลาท่านหัวหน้าครับ
หัวหน้า :ขอส่งท่านจี้กงและคุณชิวเซิง
พระจี้กง :นั่งดอกบัวให้มั่นคง เตรียมเดินทาง
ชิวเซิง :ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว อาจารย์กลับได้
พระจี้กง :ถึงสำนักเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเซิงลงจาดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง