รัก นั้นเปรียบฝุ่นเข้าตามองไม่เห็น โลภสำคัญทำลายตนหารู้ไม่ โกรธนั้นเปรียบดั่งเปลวไฟเผามอดไหม้ หลงสบายกลายทุกข์ขมเท่าทวีชีวิตของท่านทุกวันนี้ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนชีวิตที่เย็นเฉียบขาดความอบอุ่น อันว่าเปลวเทียนชีวิตของตนไม่รู้จักติด ปัญญามีไม่รู้จักใช้ความเข้าใจมีแต่ไม่พยายาม การศึกษาทำได้แต่ไม่ขวนขวายทำ บุคคลทุกคนที่อยู่รอบข้างเราล้วนเป็นบุคคลที่สำคัญทั้งสิ้น แม้จะมีกรรมสัมพันธ์ แม้จะมีบุญสัมพันธ์ ล้วนแล้วสัมพันธ์กับเราทั้งสิ้น ในวันนี้จึงต้องเป็นวันรู้ตื่นรู้แจ้ง หากชีวิตนี้ยังสัมพันธ์กับ ความรัก โลภ โกรธ หลงเราชี้นำให้ดูความรัก โลภ โกรธ หลง ไว้ในบทกลอน ความรักเปรียบเช่นกับผงเข้าตา ความโลภนั้นเปรียบเสมือนอาวุธที่ทำลายตน เมื่อท่านถือมีดที่จะทำร้ายผู้อื่น เคยคิดไหมว่ามีดนั้นจะหันมาห้ำหั่นตนเองบทเรียนในชีวิตก็มีอยู่แล้ว เวลาท่านถือมีดหั่นผักหั่นเนื้อ เคยไหมที่มีดนั้นย้อนกลับมาหั่นเนื้อเราเอง ความโลภก็เป็นเช่นนี้ เมื่อท่านต้องการที่จะทำลายผู้อื่น ความโลภนั้นก็จะย้อนมาทำลายตนเอง ถือมีดเล่มใหญ่คิดจะห้ำหั่นคนจำนวนมาก ถือมีดเล่มเล็กคอยจะห้ำหั่นคนเพียงคนเดียว เราก็เจ็บน้อยลงใช่หรือไม่ แต่ถ้าให้ดีควรรู้จักถือความเมตตาไว้ เป็นการให้พรผู้อื่นทั้งยังให้พรตัวเอง เป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า
ความโกรธนั้นเปรียบเสมือนอะไร (เปรียบเสมือนเปลวไฟ) เปลวไฟนั้นถ้าอยู่ในมือจะร้อนหรือไม่ถ้าจุดอยู่บนฟืนก็จะกลายเป็นกองไฟเลยไฟเพียงนิดเดียวก็กลายเป็นไฟลุกท่วมได้ เผาฟืนกองเดียวหรือเผาบ้านทั้งหลังก็เริ่มจากไฟนิดหน่อยเท่านั้น ฉะนั้น ท่านจึงประมาทในการใช้ชีวิต ประมาณว่าเพียงกองไฟเล็กน้อย เปลวไฟนิดหน่อย ที่จริงแล้วไม่มีความแตกต่างเลย ชีวิตนี้หากประมาทเพียงหนเดียว เผลอทำความผิดเพียงหนเดียว แล้วผิดหนต่อไป ผิดที่ใหญ่กว่าจะเกิดขึ้นได้ไหมฉะนั้นพึงระลึกไว้ว่า เปลวไฟก็คือเปลวไฟ ความโกรธก็เป็นเปลวไฟจริงแต่ทำลายจิตใจไม่ใช่ทำลายภายนอก เมื่อภายในถูกเผาหมดสิ้นแล้วภายนอกจะหลงเหลือมีแต่รูปกาย ภายในนั้นหมดสิ้นไปกับกองไฟแล้วท่านจะมีความสุขได้อย่างไร
ความหลง ให้คุณหรือให้โทษ (ให้โทษ) ความหลงนั้นให้ความสุขหรือให้ความทุกข์ (ให้ความทุกข์) แล้วท่านอยากได้ความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข) ถ้าท่านอยากมีความสุขท่านต้องตัดอะไรด้วย(ตัดความหลง) หากวันนี้ท่านไม่ตัดแล้วเมื่อไหร่จะตัด หากไม่ตั้งจุดหมายให้กับชีวิตชีวิตนี้ก็จะเดินอย่างไร้จุดหมายชีวิตของท่านมีจุดหมายอยู่ ณ ที่ใด (นิพพาน) ถ้าท่านทำตัวเช่นทุกวันนี้จะไปนิพพานได้หรือไม่(ไม่ได้) ก็ยังไม่ได้เดินไปตามจุดหมายที่ตั้งไว้ ดังที่บอกไว้ ความสุขแท้จริงไม่ใช่อยู่บนนิพพาน อย่าหวังว่าขึ้นไปแล้วจะได้พบความสุขหากว่าอยู่บนโลกแล้วยังวุ่นวาย ปลงไม่เป็น เจอความสุขก็เกิดความหลงเหมือนกับเท้าที่ก้าวไปแต่ไม่ถึงจุดหมาย รู้จักปลงเพียงนิดหน่อย รู้จักเมตตาเพียงน้อยนิด รวมๆ แล้วท่านยังไม่ได้ถึงคุณธรรมข้อไหนเลยการไปนิพพานจึงยังเป็นทางที่ไกล แต่ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ว่าจะสามารถบั่นยาวอันนี้ให้กลายเป็นสั้นได้หรือไม่
ท่านแปดเซียนหลวี่ ต้ง ปิน
พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพฯ
2 พฤษภาคม 2542