mindcyber 2 weeks ago
admin #hell2

บันทึกกรรมสนอง

รัชกาลเสียนฟง ปีที่ 5 (ค ศ 1855) มีชาวเมืองกุ้ยโจวแซ่หวงท่านหนึ่ง สอบได้ราชบัณฑิต ทางการส่งไปเป็นนายอำเภอที่อำเภอสู้หนิง

หลังปฏิบัติหน้าที่นายอำเภอ ทุกครั้งที่นายอำเภอหวงนั่งบัลลังก์ตัดสินคดีความจะประกาศว่า “ข้าพเจ้าชาติที่แล้วช่วงรัชกาลเจียชิ่ง เคยรับหน้าที่เป็นนายอำเภอสูหนิงมาก่อน เคยตัดสินคดีหญิงชนบทนางหนึ่งเนื่องจากเป็นโรคท้องบวม แต่ถูกครอบครัวสามีฟ้องร้องว่ามีชู้ และท้องกับคนอื่นช่วงพิจารณาคดี ข้าพเจ้าหลงเชื่อคำพูดของยามเฝ้าประตูตั้งโจทย์สอบสวนเป็นคดีท้องกับผู้อื่น ทำให้หญิงนั้นอับอายใช้มีดผ่าท้องตัวเองเพื่อพิสูจน์ความจริงจนตาย

ทุกครั้งที่ขึ้นพิจารณาคดี นายอำเภอหวงต้องประกาศเช่นนี้เป็นประจำ แต่หลังจากพิจารณาคดีเสร็จ นายอำเภอเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะเป็นปกติ เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ที่ปรึกษานายอำเภอรู้สึกแปลกประหลาด จึงสั่งพนักงานบรรณสารตรวจค้นคดีเก่าก่อน ว่ามีคดีดังกล่าวจริงหรือไม่มีพนักงานสูงอายุท่านหนึ่งตอบว่า “มีคดีเช่นนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยเจียชิ่งจริง ช่วงนั้น ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กหนุ่ม รับตำแหน่งอาลักษณ์เห็นเหตุการณ์นั้นจริง” เมื่อเลขานายอำเภอนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ออกมาตรวจสอบเรื่องราว ทุกคำพูดก็ตรงกับคำประกาศของนายอำเภอหวง

เรื่องนี้รู้ถึงหูรองผู้การท่านหนึ่ง สงสารนายอำเภอหวงซึ่งเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ จึงสั่งให้อาจารย์โรงเรียนหลวงท่านหนึ่งไกล่เกลี่ย และคลี่คลายคดีความบาดหมางชาติก่อนของนายอำเภอ อาจารย์โรงเรียนหลวงจึงเขียนฎีกาเผาทูลยมบาล และให้นายอำเภอตั้งป้ายวิญญาณเซ่นไหว้นางผีอาฆาตตลอดชีวิต ปรากฏนางผีตนนั้นอาศัยร่างของนายอำเภอพูดออกมาว่า “ยมโลกจะเคารพนับถือต่อหญิงพรหมจาริณี และลูกกตัญญูเป็นที่สุด นายอำเภอหวงฟ้าลิขิต ต้องสอบได้ราชบัณฑิตสามชาติ ปัจจุบันก็ได้เป็นขุนนางไปแล้วสองชาติ ชาติหน้ายังจะสอบได้ราชบัณฑิตอีกเนื่องจากเด็กหนุ่มท่านนี้เป็นลูกกตัญญูยิ่ง ฉะนั้นยมโลกจึงไม่ทอนอายุขัยเขา เพียงแต่ตัดทอนลาภยศวาสนา มิเช่นนั้นคนคนนี้คงต้องตายโหงไปแล้ว เรื่องจะยุติเรื่องราวบาดหมาง

คงทำไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของยมโลก”

อาจารย์หลวงฟังเช่นนี้ก็จนปัญญา

ต่อมา นายอำเภอหวงลาออกจากราชการไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ปัจจุบันยังสอนหนังสือสร้างกุศลอยู่ตามชนบท

น่าเสียดาย เนื่องจากตัดสินคดีผิดของหญิงพรหมจาริณีท่านหนึ่งมีกรรมถึงสามชาติ สอบได้ราชบัณฑิตแต่ไม่สามารถเป็นขุนนาง ยังโชคดีที่คนแซ่หวงนี้มีจิตกตัญญูจึงรอดพ้นการถูกคร่าชีวิต ถ้าไม่กตัญญูกรรมเก่านี้จะสนองอย่างไรยังมิทราบ ส่วนครอบครัวสามีที่ใส่ร้ายนาง และคนเฝ้ายามที่รับสินบนแล้วแสร้งเป็นพยานมาใส่ร้ายนาง โทษกรรมจะเป็นเช่นใดไม่นึกคงต้องทราบว่าสาหัสสากรรจ์

โบราณกล่าวว่า “หมื่นบาป กามราคะ มาเป็นหนึ่ง

กตัญญู คือสุดยอด แห่งผลบุญ”

ผู้ที่รำดงตำแหน่งขุนนาง ควรยึดเรื่องนี้เป็นครู

ตำบลเฉาเอ๋อในมณฑลเจ้อเจียง มีคนแจวเรือ ชื่อเสิ่นต้าเหมา เสิ่นต้าเหมา เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต กำเนิดบุตรชายสองหญิงสอง เป็นครอบครัวที่พอจะมั่งคั่ง มีกินมีใช้

เสิ่นต้าเหมามีเพื่อนรักคนหนึ่ง ชื่อต่งต้าเหวย บ้านอยู่ตำบลใกล้เคียงสั้งซันจังเจียปู้ สองครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวอย่างเช่นเครือญาติมาเป็นเวลาสิบกว่าปี

เรื่องเกิดเมื่อวันแรม 9 ค่ำ ของเดือน 12 รัชกาลถงจื้อปีที่3 (ค.ศ.1864) ต่งต้าไปธุระเยี่ยมญาติที่ตัวเมืองเส้าซิง ขากลับเนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำ เดินทางไม่ถึงบ้าน จึงแวะมาพักค้างคืนอยู่ที่บ้านเสิ่นต้าเหมา

ในคืนนั้น ช่วงเข้านอน ต่งต้านำถุงย่ามสัมภาระที่ติดตัวมาวางไว้ใต้เตียง แล้วนอนหลับถึงสว่าง

รุ่งเช้า หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ต่งต้าแบกถุงย่ามล่ำลาเจ้าของบ้านแล้วเดินทางกลับบ้าน เมื่อเดินทางมาประมาณครึ่งลี้ (1 ลี้เท่ากับครึ่งกิโลเมตร) ต่งต้ารู้สึกย่ามเบาผิดปกติ ฉงนใจจึงเอามือล้วงเข้าไปในย่าม ปรากฏถุงเงินที่มีเงิน 30 ตำลึง และจดหมายของญาติมิตรที่ฝากถึงครอบครัวเขาได้อันตรธานหายไป ต่งต้าตกใจมาก รีบวกกลับไปยังบ้านเสิ่นต้าเหมาถามหาความจริง

ครอบครัวเสิ่นต้าเหมาก็ตกใจ หลายคนช่วยกันค้นหาทั่วบ้านก็ไม่ปรากฏมีถุงเงินตกหล่นอยู่ในบ้าน ต่งต้าจนปัญญา ได้แต่เดินกลับอย่างเคืองแค้น

ระหว่างทาง ต่งต้ายิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ ยิ่งกังวล เพราะเงินที่สูญหายไปนั้น ล้วนเป็นเงินพร้อมจดหมายของญาติมิตรที่จะฝากกลับบ้านใช้จ่ายในช่วงตรุษจีน เวลานี้เงินถูกเขาทำสูญหาย พวกญาติมิตร ตรุษจีนจะทำอย่างไร? ตัวเองจะมีหน้าไปพบญาติมิตรได้อย่างไร? จะให้คำตอบเขาอย่างไร? ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งคิดยิ่งแค้น สุดท้ายตัดสินใจ เอาตัวเองไปผูกติดกับก้อนหิน แล้วอุ้มก้อนหินกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

วันรุ่งขึ้น วันแรม 11 ค่ำของเดือน 12 รัชกาลถงจื้อปีที่3 ศพต่งต้าลอยขึ้นอึดที่หมู่บ้านซานเมี่ยวในแม่น้ำ เฉาเอ๋อห่างจากตำบลเฉาเอ๋อสามลี้ คนไปแจ้งให้ครอบครัวต่งต้าทราบ ต่างก็ไม่รู้สาเหตุของการตาย

ปีถัดมา วันแรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย อากาศทั่วตำบลเฉาเอ๋อร้อนอบอ้าวผิดปกติ หลังเที่ยงเมฆดำเกิดทั่วสี่ทิศของตำบล ตกบ่ายฝนฟ้าคะนอง พายุฝนมุ่งหน้าไปยังบ้านของเสิ่นต้าเหมา ต่อจากนั้นเกิดสายฟ้าผ่าเปรี้ยงไปยังหลังคาบ้านเสิ่นต้าเหมา พร้อมกระชากลูกสาวคนโตของเสิ่นต้าเหมาออกมากลางถนน ถูกฟ้าผ่าคุกเข่าตาย ณ กลางถนน คนแห่กันไปดูปรากฏศีรษะคนตายมีรูเท่าก้านธูป ผ่าทะลุมาถึงหน้าอกส่วนเสิ่นต้าเหมาเห็นฟ้าผ่าลูกสาวตัวเอง ตกใจวิ่งเข้าหาเตาไฟเห็นที่เตาไฟมีรอยแตกแยก ปรากฏมีจดหมายและเงิน 30ตำลึงที่ญาติมิตรต่งต้าฝากต่งต้านำกลับบ้าน เขาจึงรู้ว่าที่แท้เงินของต่งต้าสูญหาย คือ ฝีมือของลูกสาวคนโตของเขาเป็นผู้กระทำ ฉะนั้น ลูกสาวเขาถูกฟ้าผ่าตายเป็นโทษทัณฑ์ที่ลูกสาวเขาควรจะได้รับ หลังจากเจ้าหน้าที่ทางการชันสูตรศพเรียบร้อย เรื่องราวนี้ก็ระบือไปทั่วทั้งเมืองแล้ว

เรื่องที่บันทึกนี้ ล้วนเป็นเรื่องจริงที่ข้าพเจ้าเห็นกับตาจึงขอฝากต่อชาวโลกผู้ที่มีจิตละโมบ การเห็นแต่ผลประโยชน์ตนเอง ไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นนั้นควรงดเว้นเสีย

บันทึกโดยอู๋ฝูไท่


ตระกูลหลี่ ที่อาศัยอยู่ทางถนนเซี่ยซาของตำบลเฉาเอ๋อเป็นตระกูลใหญ่มีลูกหลานมากมาย ในตระกูลนี้มีแซ่หลี่คนหนึ่งสมมุติชื่อว่าหลีโม่ว อายุสามสิบกว่าปี ทำการเพาะปลูกเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งพึ่งพาตนเอง มีกินมีใช้ ไม่สนใจลาภยศชื่อเสียงจนคนในละแวกนั้นขนานนามเขาว่าเทวดาเดินดิน

อยู่มาวันหนึ่ง หลีโม่วจู่ๆทุบโต๊ะกระแทกเก้าอี้ ร้องเสียงเอะอะโวยวายว่า “จะมาทวงชีวิต จะมาทวงชีวิต” ว่าแล้ววิ่งเข้าหลังบ้านถือมีดจะฆ่าตัวตาย ญาติมิตร เพื่อนฝูง เห็นเช่นนั้น รีบเข้าไปห้ามปราม แต่เขามีแรงมหาศาลหลายคนเข้าไปยังสยบเขาไม่ลง อยู่ในระหว่างยื้อยุดฉุดกระชากหลีโม่วจะร้องเสียงเกรี้ยวกราดว่า “ความจริงข้าไม่ต้องตายแต่เจ้าไปใส่ร้ายข้าต่อหน้าโจรกบฏ ทำให้ข้าถูกพวกโจรถ่อยฆ่าตายอย่างน่าสังเวช เมื่อข้าถูกปองร้าย คนในครอบครัวข้าล้วนตายตามไปกับข้า เหตุเพราะคนนี้แท้ๆ ฆ่าข้าทั้งครอบครัวแค้นนี้จะไม่ชำระได้อย่างไร? เวลานี้ข้าสืบหาคนคนนี้มาเกิดที่นี้ ข้าได้รับอนุญาตจากยมบาลให้ข้ามาทวงชีวิตคืน ข้าได้รวบรวมญาติมิตรเพื่อนฝูง วันนี้มาร่วมกันทวงชีวิตกับคนคนนี้ พวกเจ้าจะมาช่วยเขาไม่มีประโยชน์ หลีกไปคนในครอบครัวและญาติมิตรหลีโม่ว เห็นเป็นผีอาฆาตมาอาละวาดต่างคุกเข่าลงไปกราบไหว้ บ้างเสนอเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เพื่อสลายความแค้น บ้างเสมอทำทักษิณานุประทาน สวดอภิธรรมให้เพื่อสลายความแค้น

อาการหลีโม่วสงบลง หลี่โม่วก็พอรู้สึกตัว ทุกคนค่อยคลายความกังวล หลีโม่วบอกกับญาติมิตรว่าไม่ต้องดูแลเขาอีก แต่ละวัน ยังมีเพื่อนฝูงญาติมิตรเฝ้าใกล้ตัวหลีโม่วถึง4-5 คน

วันหนึ่งหลังอาหารเที่ยง ญาติมิตรเฝ้ายามไม่เข้มงวดหลีโม่วร้องเสียงหลงว่า “ช่วยด้วย” แล้วปรี่วิ่งออกนอกบ้านเร็วดุดสายฟ้า ญาติมิตร 4-5 คนวิ่งตามเข้าไปฉุดกระชากต่างถูกเหวี่ยงจนหกล้ม หลีโม่ววิ่งจากถนนเซี่ยซา มุ่งไปยังไป่กวน ระหว่างทางปากก็ตะโกน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”ตลอดเวลา เวลานั้น พอดีพบกับผู้มีพละกำลังมหาศาลผู้หนึ่งชื่อซุนชี เดินมาจากไป่กวน เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็เข้าไปขัดขวาง และจับตัวหลีโม่วไว้ แต่ที่ไหนได้ ถึงซุนชีมีฉายา“กำลังพันชั่ง” หลีโม่วก็พยายามจนดิ้นหลุด ซุนชีคว้ากระจุกผมของหลีโม่วไม่ยอมปล่อย แต่หลีโม่วก็กระชากจนผมหลุดออกจากหนังศีรษะทั้งกระจุก วิ่งรี่ตรงดั่งธนูหลุดจากเกาทัณฑ์ พุ่งกระโจนลงกลางแม่น้ำ จมน้ำตาย

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรัชกาลกวางสีปีที่15 (ค.ศ. 1889)

ที่หังเหวีน มีร้านขายแพรไหมอยู่ร้านหนึ่ง เปิดกิจการมาหลายสิบปีแล้ว เจ้าของร้านวัยเลย 50 เป็นคนจิตอกุศลไร้ความเมตตา หลายปีก่อนที่ละแวกร้านเกิดอัคคีภัยเพลิงจวนลามมาถึงร้าน แต่หลังร้านแพรไหมนี้มีบ้านครอบครัวยากจนบ้านหนึ่งอาศัยอยู่ ทั้งครอบครัวมีสามชีวิต อาชีพรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า และพึ่งพาเส้นทางเล็กข้างร้านเป็นทางสัญจรเข้าออก เมื่อเกิดไฟไหม้ ครอบครัวยากจนตะโกนเรียกเจ้าของร้านแพรไหมให้เปิดประตูให้เขาหนีไฟ แต่เจ้าของร้านแพรไหมไม่เพียงไม่เปิดประตู ซ้ำยังเอาของขวางประตูไว้ป้องการเขาพังประตูตัวเอง ก็เอาแต่ขนย้ายสินค้าในร้านจนหมดหลังไฟสงบ ปรากฏครอบครัวยากจนสามชีวิตถูกไฟคอกตายอยู่ในกองเพลิง

เวลาผ่านไปหนึ่งปี เจ้าของร้านแพรไหมเกิดเสียชีวิตอย่างฉับพลันมีอยู่คืนหนึ่ง ลูกชายเจ้าของร้านแพรไหมได้ฝันเห็นพ่อเขามาพูดกับเขาว่า “ข้าเห็นชีวิตคนจนเป็นผักหญ้าทำให้ครอบครัวยากจนหลังบ้านต้องตายในกองเพลิง ยมบาลไม่ให้ข้ามาเกิดเป็นมนุษย์อีก เวลานี้ให้ข้าไปเกิดในครรภ์สุกรที่ครอบครัวชาวนานั้น หมูที่คลอดออกมาทั้งหมดมี 4ตัว แต่ในนั้นมีตัวหนึ่งลายจุดขาวดำคือตัวข้าพเจ้า จงไปซื้อหมูตัวนั้นกลับมาเลี้ยง ข้าจึงสามารถหนีพ้นจากการถูกจับไปเชือดเฉือน” พูดจบก็ร้องไห้

ลูกชายเจ้าของร้านแพรไหมตกใจตื่น รู้สึกความฝันคล้ายกับความเป็นจริงยิ่งนัก จึงไปตามที่อยู่พ่อบอกในฝันปรากฏว่ามีหมูลายจุดจริงเมื่อหมูลายจุดเห็นลูกมาก็ร้องเสียงลากยาว ทำท่าทางอย่างน่าสงสาร ลูกชายเขาเห็นเช่นนั้นจึงให้ราคาสูงแก่เจ้าของหมู แล้วซื้อหมูตัวนั้นกลับไปเลี้ยงที่บ้าน

ลูกชายเจ้าของร้านแพรไหมเปิดห้องๆ หนึ่ง ไว้เลี้ยงหมูโดยเฉพาะ และจ้างคนงานสองคน มีหน้าที่คอยปฏิบัติรับใช้หมู อาบน้ำให้หมู นำข้าวปลาอาหารให้หมูกินดังเช่นปฏิบัติต่อบิดา ช่วงเจ้าของร้านมีชีวิตอยู่เขาเป็นคนชอบกินเหล้าและสูบยา ลูกเจ้าของร้านก็ปฏิบัติต่อหมูเช่นกัน วันๆ ให้อาหารแล้วต้องให้เหล้าหมูกินจนหน้าแดง ต่อจากนั้นให้สูบยาคนใช้จะเอาบ้องยายัดเข้าในปากหมู หมูก็ฮูฮูดูดยาเข้าคอ ลูกชายร้านแพรไหมปฏิบัติเช่นนี้เป็นเวลาหลายปี

มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าหมูมาเข้าฝันอีก และพูดว่า “ข้าชาติที่แล้วบาปกรรมหนักหนา จึงต้องถูกทำโทษมาเกิดเป็นสัตว์ชาตินี้ยังได้เจ้าเลี้ยงดูกินอยู่ไม่ต่างจากคน แต่การเสวยสุขเช่นนี้มีแต่เพิ่มโทษทัณฑ์ให้แก่ข้า ต่อจากนี้ไปเรื่องอาบน้ำกินเหล้า สูบยา ควรงดหมด เพียงให้อาหารกินอิ่มอย่างเดียวก็เพียงพอ”

หมูตัวนี้ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ และเรื่องๆ นี้รู้กันไปทั่วนครหังโจว

บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ข่าวสดหน้าที่ 6 วันขึ้น1 ค่ำ เดือน 4 สาธารณรัฐจีนปีที่ 17 (ค.ศ.1928 )

หนีเอี้ยวเหมยแห่งเซียวซันน้อมบันทึก

กินเนื้อสัตว์เป็นเวรกรรม

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

บาปบุญเหตุผลการตอบสนอง

อาจารย์เซ่งทง

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

พระโพธิสัตว์ฉุดช่วยคุ้มครอง

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
เห็ดหอมอบวุ้นเส้น

เห็ดหอมอบวุ้นเส้น

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

ชีวิตกับเดินเรือทะเล

อาจารย์เส่งฮ่วย

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago