mindcyber 4 months ago

ภาคผนวกหนึ่ง

1.หลักแห่งความไม่สูญสลายของจิตวิญญาณในคนและสัตว์(โดย ท่านฮวงหานจือ)     จิตวิญญาณไม่มีการเปลี่ยนแปลง และก็ไม่สูญสลายจิตวิญญาณอยู่ในกายของคน เปรียบประดุจคนอาศัยอยู่ในบ้านเหมือนร่างกายตายลง จิตวิญญาณก็จะละจากร่างกาย จึงพูดว่า “คนตาย” ที่ตายคือร่างกาย จิตวิญญาณไม่ตายไปด้วย แต่ได้ละจากร่างกาย ก็เหมือนคนไม่อาศัยอยู่ในห้องแล้ว ถ้าหากคนๆนี้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ได้ก่อกรรมทำเวรไว้ จิตวิญญาณก็อาจจะไปเกิดใหม่เป็นสัตว์ ถึงแม้ร่างกายจะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานไปแต่จิตวิญาณก็คงเป็นจิวิญญาณดวงเดิม เหมือนคนได้เปลี่ยนอยู่ห้องใหม่ จึงกล่าวได้ว่า จิตวิญญาณของสัตว์ก็เหมือนจิตวิญญาณของคน ถ้าจะเปรียบเทียบยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์เยือกเย็น ก็ยังคงความเยือกเย็น ที่มีฤทธิ์เป็นพิษ ก็ยังคงความเป็นพิษอยู่ แม้จะเอาสมุนไพรนั้นไปต้มหรือเคี่ยวอย่างไรก็ตาม คุณภาพของมันก็ยังคงเดิมดังนั้น จิตวิญญาณของคนและสัตว์จะไม่ยิ่งไปกว่าต้นหญ้า ใบไม้หรอกหรือ จะสูญสลายไปอย่างกระนั้นหรือ?

2.หมูสองตัวสนทนากัน(ข่าวปกิณกะ)     ท่านพระอาจารย์โอ่วอี่ต้าซือ เล่าว่า มีชาวเมืองซ่งเจียนผู้หนึ่ง แซ่จู มีอาชีพซื้อหมูชำแหละเนื้อขาย อยู่ในรัชสมัยราชวงศ์ฉงเจิน ปีเถาะ เดือนอ้าย เวลาตีสองของคืนหนึ่ง ขณะกำลังปลดทุกข์อยู่ในห้องน้ำ บังเอิญได้ยินเสียงคนกำลังคุยกัน เข้าใจว่ามีขโมยเข้าบ้าน ก็ถือท่อนไม้ท่อนหนึ่งแล้วค่อยๆย่องตามเสียงนั้นไปจนกระทั่งเสียงนั้นมาอยู่ที่เล้าหมู เสียงจากหมูตัวหนึ่งพูดว่า น่าสงสารตัวข้าพเจ้า พรุ่งนี้ก็ต้องถูกฆ่าแล้ว พลันอีกเสียงหนึ่งก็โต้ตอบมาว่าเจ้าจะต้องเกิดเป็นหมูถึง 7 ชาติ บัดนี้ก็เป็นครั้งที่ 6 แล้ว จะพ้นทุกข์ทรมานในเวลาไม่นานนัก ส่วนตัวข้าพเจ้านี่ซิ ต้องเกิดเป็นหมู่ถึง 5 ชาติ และชาตินี้ก็เพิ่งจะเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดทรมานของข้าพเจ้ายังอีกไกลนัก คนแซ่จูเมื่อได้ยินคำสนทนากันของหมู่สองตัวนี้แล้ว จึงได้รู้ว่า พวกสัตว์เดรัจฉานนี้ก็ล้วนเวียนเกิดมาจากคนนั้นแหละ ต่อแต่นั้นมาเขาก็เลยเลิกอาชีพชำแหละเนื้อขาย

3.เกิดเป็นหมูมาชดใช้หนี้สิน(ข่าวปกิณกะ)     ท่านพระอาจารย์โอ่วอี่ต้าซือ เล่าว่า หมู่บ้านในหุบเขาเขตอำเภอหนานอัน มีชาวบ้านคนหนึ่งตื่นขึ้นในเวลากลางดึกเห็นมีคนผู้หนึ่งคุมตัวอีกคนหนึ่งให้เข้าไปอยู่ในบ้านข้างเคียง ผู้ที่ถูกคุมตัวนั้นไม่ยอมเข้าไป และพูดว่า ฉันเพียงเป็นหนี้เขาอยู่แค่สามตำลึงเท่านั้น แต่ผู้คุมก็ใช้ไม้กระบองบังคับเขาเข้าไปจนได้ ชายผู้นั้นเห็นแล้วก็แปลกใจ พอวันรุ่งขึ้นเขารีบเข้าไปถามความคนในบ้านข้างเคียงนั้น ผลปรากฎว่า ในบ้านเขามีลูกหมูเกิดใหม่ตัวหนึ่งเขาก็ยังคลางแคลงใจอยู่นั้นว่า หมูตัวนี้ก็ยังมีราคามากกว่าสามตำลึงอยู่ดี ต่อมาอีกไม่นานลูกหมูตัวนี้เกิดพลัดตกลงไปตายอยู่ในท่ออุจจาระ และก็มีคนมาขอซื้อไปในราคาเพียงสามตำลึกพอดี

4.เกิดเป็นวัวชดใช้หนี้สิน(ข่าวปกิณกะ)     ท่านพระอาจารย์โอ่วอี่ต้าซือ เล่าว่า ที่อำเภออู๋คัง เมืองหูโจวมีคนรับใช้คนหนึ่ง ขณะเดินอยู่บนถนนได้พบกับคนแปลกหน้าสามคนขายหนึ่งหญิงสอง เขาจึงเดินตามพวกเขาไปจนกระทั่งมาถึงบ้านคนแซ่ล่อ คนทั้งสามได้เข้าไปในบ้านหลังนั้นพร้อมกันขารู้สึกแปลกใจจึงรอดูอยู่ที่หน้าบ้านจนกระทั่งพลบค่ำ ก็ยังไม่เห็นมีใครออกมา จึงได้เข้าไปถามยามประตูบ้าน ยามเฝ้าบ้านว่าเห็นมีคนสามคนเข้าไปในบ้าน ยามบอกว่าไม่มี จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้นจนเจ้าของบ้านรู้เรื่องเข้าจึงเกิดการแปลกใจ เลยสั่งให้มีการสืบหาดูว่า มีห้องใครให้กำเนิดทารกบ้าง ผลปรากฎว่าที่คอกวัวมีลูกวัวเกิดใหม่สามตัว เป็นตัวผู้หนึ่งตัว ตัวเมียสองตัว เจ้าของบ้านจึงเรียกคนรับใช้เข้าไปดู ปรากฎว่าสีขนของวัวกสามตัวนี้เหมือนกับสีเสื้อผ้าของสามคนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน จึงรู้ว่าทั้งสามคนได้เกิดเป็นวัวไปแล้วจึงไต่ถามเจ้าของบ้านว่า มีใครเป็นหนี้เจ้าขจองบ้านบ้างปรากฎว่ามีคนเป็นหนี้ข้าวสารเขา ต่อมาภายหลังเมื่อวัวเติบโตขึ้นก็มีกำลังแรงมากน้อยต่างกัน ตัวที่มีกำลังแรงมากก็เป็นหนี้มากตัวที่มีกำลังแรงน้อยก็มีหนี้น้อย ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย

5.คนชื่อ อิ๋วเอ้อซาน ตายแล้วไปเกิดเป็นวัว(อี่เจียน ผู้บันทึก)     คุณหงไหม้เล่าให้ฟังว่า มีเศรษฐีเมืองฉางโจว ชื่อ อิ๋วเอ้อซานอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต้าตู้ ปีที่สามแห่งพระเจ้าเซ่าซิน เศรษฐีได้เจ็บป่วยและตายลง ที่หมู่บ้านคุนซานทางทิศตะวันออกมีลูกวัวสีขาวเกิดขึ้นนตัวหนึ่ง ใต้ซี่โครงมีขนสีดำงอกขึ้นเป็นตัวอักษร 7 คำ ว่า “อิ๋วเอ้อซานเคยเป็นผู้คุม” ตามประวัตินายอิ๋วเอ้อซานเคยยากจนมาก่อนและได้ทำงานเป็นผู้คุมนักโทษ เคยทำบาปโดยไม่มีผู้ใดรู้ ชาตินี้เลยมาเกิดเป็นวัว พอลูกหลานรู้เข้าจึงนำเงินสองหมื่นไปขอซื้อแต่เจ้าของบ้านไม่ยอมขายให้ ต่อมาเมื่อวัวตัวนี้แก่ตัวลงก็ถูกฆ่าตาย

6.ผิดประเวณีจึงไปเกิดเป็นหมู(ปกิณกะ)     พระอาจารย์หลิงอิ่นเฮย เล่าให้ฟังว่า เ ดือนหกปีที่แปดแห่งพระเจ้าคังฮี ที่เมืองซูโจว ที่ถนนทางข้ามสะพานมีร้านขายเต้าหู้เจ้าของชื่อ เฉียวเต๋อฟู มีหมูอยู่สองตัว จะขายสองชั่งห้าตำลึง ในคือวันที่ 15 พลันหมูตัวหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เพราะชาติก่อนข้าพเจ้าทำผิดประเวณีจึงมาเกิดเป็นหมู จนจะขึ้นตะแลงแกงแล้ว” นายเฉียวเต๋อฟูและภรรยาคิดว่าเป็นคำสนทนาของคนเดินถนน จึงตั้งใจฟังอีกที จึงได้ยินเสียงว่ามาจากคอกหมู รู้สึกตกใจกลัว พอตกคืนวันที่ 16 ก็ได้ยินหมูตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันสารทจีนพระธรณีสารอภัยโทษให้ เพราะตามวัดวาอารามมีการทำพิธีกราบไหว้ พวกเราอาจไม่ถูกฆ่าก็ได้ เราพากันไปบำเพ็ญธรรมทางทิศตะวันตกกันเถอะ” หมูอีกตัวก็พูดว่า “ข้าพเจ้ายินดีขึ้นตะแลงแกง” สามี-ภรรยาทั้งสองพอได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกใจใหญ่เรื่องนี้คนข้างบ้าน นายหวังจุ้นซือ ก็ทราบเรื่องด้วย จึงออกเงินจำนวนหนึ่งชั่งหกตำลึงไปซื้อหมูมาปล่อย เรื่องนี้ คุณซีโฮ่วจ๋อเป็นผู้พบเห็นด้วยตัวเอง

7.ข่มขืนหญิงหม้าย ตายแล้วไปเกิดเป็นหมู(ข่าวปกิณกะ)     หมู่บ้านเล็กๆ ชายเขาคุณซาน นายอูซี่หยู่ ได้ยืมเงินชาวบ้านแล้วนำหมูสองตัวไปชดใช้หนี้สิน สืบเนี่องจากนายอูซี่หยูได้ไปยืมเงินคู่เขยชื่อ เสิ่นเป๋อซี แลัวต้องการเอาหมูสองตัวไปใช้หนี้แทนเรื่องนี้เกิดในปีที่ 12 แห่งรัชสมัยฮ่องเต้คังซี คืนวันที่ 28 เดือน 12 น้องชายนายอูซี่หยูชื่อ อูอิ๋วสือ ได้ฝันว่า ขณะอยู่ที่เล้าหมูได้พบชายผู้หนึ่ง แซ่ลี่ เพราะชาติก่อนได้ข่มขืนชำเราหญิงหม้ายคนหนึ่งจึงถูกลงโทษให้มาเกิดเป็นหมู จะมีตีนทั้งสี่เป็นสีขาว มันคือตัวข้าพเจ้า และพี่ชายของท่านจะนำข้าฯ ไปใช้หนี้ให้แก่เสิ่นเป๋อซีซึ่งเสิ่นเป๋อซีก็เป็นน้องเขยของข้าฯด้วย ขอให้ท่านจงบอกเขาว่านี่เป็นกฎแห่งกรรม ขอให้เขาอย่าได้สังหารข้าฯเลย พออูอิ๋วสือตื่นขึ้น คนในบ้านกำลังจับหมูในเล้าอยู่ พอเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแลัวนายอู่ซี่หยูจึงได้นำหมูตัวนี้ไปปล่อยไว้ที่วัดอันเสียน

8.พ่อฆ่าสัตว์ บาปเวรตกทอดถึงบุตร-สะใภ้(ซินฮุย บันทึก)     คุณอู๋หลับสู้ เล่าว่า ในรัชสมัยฮ่องเต้คังซี มีพ่อค้าหมูนามอู๋เต๋อฝู่ บ้านอยู่เซิงสะพานอิ๋วจู๋ เมืองหางโจว เขาได้ฆ่าหมูชำแหละเนื้อขายมากกว่า 30 ปีแลัว มีบุตรหนึ่ง สะใภ้หนึ่ง ทั้งสองตายลงในเดือนหก พอเดือนเก้าสามีภรรยาอู๋เต๋อฝู่ก็ได้ฝันพร้อมกันว่าได้เห็นลูกชายและลูกสะใภ้กลับมาบ้าน ลูกชายแต่งสีขาว เอวคาดผ้าดำ ลูกสะใภ้แต่งสีกาแฟ ได้มาบอกว่า จะไปเกิดเป็นสุนัขบ้านแซ่เซี่ย ขอให้พ่อแม่มาหาด้วยโดยให้จำสีเสื้อผ้าไว้ ทั้งสองสามีภรรยาตกใจตื่น พอรุ่งขึ้นจึงไปที่บ้านแซ่เซี่ย ปรากฎว่าสามีภรรยาแซเซี่ยก็ได้ฝันเช่นเดียวกัน ในฝันนั้นได้ถามเขาสองคนว่าเป็นลูกชายลูกสะใภ้บ้านอู๋ ทำไมจึงมาที่นี่ เขาตอบว่า “มาเกิดใหม่ขอให้สงสารด้วยเถิด” ทันใดก็จะฝันเห็นว่า มีชายสองหญิงหนึ่งผลุนผลันเข้ามา ทั้งสองจึงตกใจตื่นขึ้น พอรุ่งขึ้นสามีภรรยาแซอู๋ก็มาถามหาว่า สะใภ้บ้านคุณคลอดบุตรหรือเปล่า บ้านแซ่เซี่ยตอบว่า สะใภ้สองคนไม่ได้ตังครรภ์ มีแต่สุนัชตัวเมียที่ตกลูกหลายตัวเป็นตัวผู้สามตัว ตัวเมียสองตัว มีอยู่สองตัวที่มีสีสันเหมือนเสื้อผ้าที่ฝันเห็นสูกชายและลูกสะใภ้ สามีภรรยาแซ่อู๋ถึงกับร้องไห้ที่เห็นสภาพลูกชายและลูกสะใภ้ในฝัน ถึงกับตกใจกลัว รอจนว่าลูกสุนัขจะหย่านมแล้วจึงขอนำมาเลี้ยงที่บ้าน

9.ข้าราชการสื่อสารเกิดเป็นหมูสามครั้ง     คุณปู่จินเวิ่นทง เล่าให้ฟังว่า มีาข้าราชการสื่อสารคนหนึ่งกล่าวว่าตนเองเกิดเป็นหมูสามครั้งแล้ว ที่เจ็บปวดทรมานที่สุดก็คือตอนถูกฆ่าเพื่อชำแหละเนื้อขาย ภายหลังยมบาลเมตตาสงสารให้เกิดเป็นลา มีอยู่ครั้งหนึ่ง รับผู้โดยสารคนหนึ่ง ระหว่างกลางทางพบโจรผู้ร้ายจะเข้าปล้น ในใจคิดว่าถ้าหากผู้โดยสารถูกปล้นก็คงเป็นความผิดของเขา ดังนั้นจึงออกวิ่งโดยสุดกำลัง กระโดดข้ามคลองแห่งหนึ่ง ผู้โดยสารหนีรอดไปได้ ส่วนตนนั้นตกลงไปในคลองจมน้ำตาย ท่านยมบาลเห็นแก่ความดีของข้าที่ภักดีต่อเจ้าของจึงให้เกิดมาเป็นคน มีตำแหน่งเป็นข้าราชการเล็กๆ ทำหน้าที่สื่อสาร คุณปู่จินเวิ่นทงมักเล่าเรื่องนี้เสมอๆ

10.เป็นข้าราชการลงโทษประหารคนผิด จึงไปเกิดเป็นสัตว์     ในเมืองเจียนหนาน มีนายพลผู้หนึ่งเล่าให้ฟังด้วยตนเองว่าชาติก่อนเป็นข้าราชการ ได้ลงโทษประหารคนผิดไปครั้งหนึ่งพอตายลงยมบาลชำระโทษแล้วให้ไปเกิดเป็นม้า คอยรับส่งผู้โดยสารตามทางเปลี่ยว ตนเองยังจดจำเรื่องนี้ได้ แต่พูดไม่ได้ มีอยู่วันหนึ่งได้รับธุระเร่งด่วนต้องวิ่งในเส้นทางอันตราย ถูกแส้เฆี่ยนตีเจ็บปวดยิ่ง อยากจะกระโดดหน้าผาตาย แต่ฉุกคิดได้ว่า ชาติก่อนได้ฆ่าคนผิดมาแล้วจึงต้องเกิดเป็นสัตว์ หากทำผิดอีกคงไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดต้องทนทุกข์ไปตลอด เมื่อคิดได้แล้วก็สงบใจอดทนไปมาในชาตินี้ได้เกิดมาเป็นข้าราชาการทหาร ความเจ็บวปวดทรมานขณะที่เกิดเป็นม้านั้นยังจำได้ดี ดังนั้นจึงได้สั่งทำอานม้าชนิดอ่อนนุ่มจำนวนหลายร้อยอัน ส่งไปให้คอกม้าที่รับส่งทางไกลไว้ใช้ เพราะว่าสมัยนั้นอานม้าทำด้วยไม้ จึงทำให้หลังม้าเจ็บปวดมาก เรื่องนี้ท่านผู้เฒ่าหวังไหม้เยิ่นเป็นผู้เล่า และน่องซ้ายของนายพลผู้อื่นยังมีขนม้าขึ้นอยู่ยาวหลายนิ้วอยู่ด้วย ใครๆ ก็เชื่อเรื่องนี้

11.บันทึกเรื่องอดีตสามชาติของนายอำเภอหนิว     คุณซีฟู้เฉิน เล่าว่า ที่เมืองอู่สี มีคนชื่อ หวังเซี้ยหยวน มีอีกชื่อว่า สือค่าน เป็นขุนนางตำแหน่งจิ้นสือ สมัยเมื่อดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองเสฉวนนั้น มีเพื่อนขุนนางที่สอบได้พร้อมกัน และเป็นผู้ช่วยนายอำเภอ เขาชื่อ ผู้ช่วยหนิว และมือซ้ายของเขาเป็นเท้าม้า ซึ่งเขาสามารถจดจำเรื่องของอดีตได้ถึงสามชาติ เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณหวังเซี้ยหยวนฟังว่า..ชาติที่แล้วเขาเป็นขุนนางเนื่องจากมีการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ฆ่าคนไปมาก พอตายลงเลยต้องโทษไปเกิดเป็นม้า ตอนถูกขังอยู่ในคอกม้าจิตใจทุกข์ทรมานมาก เอาแต่พยศร้องไม่ยอมกินหญ้ากินน้ำ จนกระทั่งตายลง สืบเนื่องจากบาปกรรมยังไม่หมด จึงต้องไปเกิดเป็นม้าอีกแต่ก็ไม่กล้าพยศจนอดตายอีก เป็นม้ารับใช้ขุนพลผู้หนึ่ง เขามีอารมณ์ดุร้าย ถูกเฆี่ยนตีเป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งเขาสู้รบกับศัตรู

     ถูกทหารข้าศึกรอบเข้ามา เขากับนายพลต้องรีบหนี มาเจอะลำธารขวางหน้า มีความกว้างหลายเมตร ตรงข้ามเต็มไปด้วยโขดหินแหลมคมดุจปลายดาบ ใจคิดว่าโดดไปต้องตายแน่ แต่เจ้านายก็จะหนีรอดถ้าไม่โดดข้ามไป เจ้านายก็ต้องตายแน่ๆ คิดสาระตะแล้วก็ตัดสินใจกระโดดข้ามไป ท้องของข้าก็กระแทกเข้ากับโขดหินแหลมคมถึงแก่ความตาย แต่เจ้านายรอดชีวิต ยมบาลเห็นว่าข้าซื่อสัตย์ภักดีต่อหน้าที่จึงให้มาเกิดเป็นคน พร้อมกับยศขุนนางระดับ 4 ตอนแรกที่มาเกิดเป็นม้า ยมทูตเอาหนังม้มาห่มบนตัวเขา มาตอนนี้จะเกิดเป็นคน ยมทูตต้องลอกเอาหนังม้าออกจึงต้องใช้มีดกรีดให้ออกจากเนื้อ เจ็บปวดทรมานมาก พอกรีดมาถึงขาม้า เจ็บจนทนไม่ไหวจึงหดขาหน้าซ้ายเข้ามา พอเกิดเป็นคนขาม้าก็คงรูปอยู่เขาเล่าต่อไปว่า ตำแหน่งของเขานั้นถึงที่สุดแล้ว และคงมีชีวิตอยู่อีกไม่นานนัก และจะตายในวันนั้นๆ ผลปรากฎว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

12.ผู้เฒ่าคนหนึ่งเคยเกิดเป็นหมู     หลายสิบปีมาแล้ว เมืองจวือหนิง บ้านเลขที่ 17 หมู่บ้านทิศเหนือ บนถนนสายใหญ่ตรงข้ามร้ายขายยา เวลาทำงานก็ใช้มือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ใครเห็นก็รู้สึกแปลกใจ มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งถลกแขนเสื้อขึ้น จึงพบว่าเป็นขาหมูผู้เฒ่าถึงกับร้องไห้พลางเล่าว่า เขาเคยเกิดเป็หมูมาแล้วสามชาติต้องคุ้ยตามเลนบ้าง อดอยากบ้าง ทุกข์ทรมานมาก ยังจดจำไม่ลืมตอนจะถูกฆ่าร้องขอชีวิตเสียงหลง คิดจะหลบหนีแต่ปลายมีดก็แทง ถึงคอหอย เจ็บปวดจนล้ม ร้องไม่ออก ยิ่งตอนถูกชำแหละยิ่งเจ็บปวด ถูกน้ำร้อนลวกมีดขูดหนัง ถูกผ่าท้องลากไส้หั่นออกมาเป็นชิ้นๆ เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้เขาร่ำไห้จนพูดไม่ออก เขาเล่าต่อว่าเมื่อเกิดครั้งที่สองมีขาข้างหนึ่งไมมีคนมาซื้อ เจ็บปวดสาหัสวิญญาณก็ล่องลอยจนมาเกิดเป็นคนอีก ขาข้างนี้จึงยังคงอยู่ ตอนที่แม่จะคลอดเขาออกมา แม่ได้ฝันเห็นหมูตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่อเขาเติบโตขึ้น ก็ยังแต่ความขายชายหน้าแก่คนอื่น จึงหลบหนีมาอยู่ที่นี่จนกระทั่งพวกท่านมารู้เข้า เมื่อพูดมาถึงตอนนี้เขารู้สึกไม่สบายใจต่อมาอีกไม่กี่วันเขาก็เลยย้ายไปอยู่ที่อื่น เจ้าของร้ายขายยาคุณเจิ้นอี้เถียน ได้เห็นเรื่องนี้มากับตาตนเอง เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด จะไม่เชื่อได้อย่างไรกัน?

13.ได้อธิษฐานจะประกอบกุศลขณะเจ็บป่วยอยู่ผลปรากฎว่ามีอายุยืนยาวและมั่งมี     คุณลินเส้ามู่ มีอีกชื่อว่า จือฉวี เพื่อนของเขา เฉียนถังถูเป็นผู้ว่าเมืองฉินอู อยู่มาปีหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง เขาเจ็บป่วยหนักเพราะแพทย์ได้ให้ยาผิด อาการปางตาย เขาจึงสำนึกผิดและอธิษฐานจะประกอบการกุศล บรรเทาสาธารณภัย บำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น คืนวันหนึ่งเขาก็ฝันเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมพูดกับเขาว่าชาติก่อนเขาเป็นข้าราชการเมืองหูเปร่ย ปฏิบัติงานเที่ยงธรรมดีแต่ใจคอจืดชืด ถึงแม้ไม่เห็นแก่ตัวแต่ทำให้ลดมั่งมีศรีสุข แถมได้ฆ่าสัตว์ไว้มาก ชาตินี้จึงมีอายุสั้น โชคดีที่เจ้าอธิษฐานจะสร้างกุศล ยมบาลจึงเพิ่มอายุขัยให้ แถมเพิ่มความมั่งมีศรีสุข เจ้าต้องประกอบการกุศลให้เต็มที่ พอตื่นขึ้นทั้งครอบครัวงดฆ่าสัตว์ ยังซื้อสัตว์มาปล่อย ภายหลังได้เป็นขุนนางอำเภอยวนโจว ทำงานรับใช้ชาติอย่างหนัก จนกระทั่งได้รับนำเหน็จรางวัลจากฮ่องเต้หลายคร้ง การเจ็บป่วยก็ไม่มี

14.ฆ่าสุนัขโดยไม่ตั้งใจ เผยแพร่กฎแห่งกรรม ชีวิตจึงไม่ตาย     คุณยู๋ชวี่ยวน เล่าว่า ที่เมืองฮั้นโข่ว มีคนหนึ่งแซ่เฉิน เปิดร้านขายเนื้อสวรรค์ บังเอิญมีสุนัขตัวหนึ่งเข้าไปหากินในร้านของเขาซึ่งขณะนั้นกำลังหั่นเนื้ออยู่ มีดในมือก็จามถูกสุนัขไปหนึ่งทีปรากฏว่าสุนัขตัวนั้นเกิดตายลง เขาก็โยนมันทิ้งไปในคลองปลายปีผ่านไป มีอยู่วันหนึ่งเขาเห็นคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าบ้านเลยถามไปว่า มาซื้อเนื้อสวรรค์หรือ คนแก่ตอบว่า “มาจับเจ้าแหละ” จึงถามไปว่า มาจับฉันทำไม คนแก่ว่า “เจ้าโยนข้าลงไปในคลองตั้งสามปี วันนี้รอดออกมาได้ จะให้ลืมเจ้าได้อย่างไง? พอพูดจบคนแก่นั้นก็หายไป ถามคนในร้านว่า เห็นคนแก่บ้างไหม?ต่างก็ตอบว่า ไม่เห็น เห็นแต่หมาตัวหนึ่งกำลังเห่าเธออยู่ ชั่วประเดี๋ยวเดียวเขาก็เกิดตัวร้อน ปวดหัว นัยน์ตาฝ้าฟาง จำคนไม่ได้แล้วก็ร้องตะโกนขึ้นว่า “ชาติก่อนข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองเจียนหนิงตำบลเนินดินเหลือง แซ่โจว เพราะมีบาปจึงเกิดเป็นสุนัข

     เจ้าได้ฆ่าข้าพเจ้าตาย ทิ้งศพลงไปในคลอง ทนทุกข์อยู่นานเนื่องจากมีคนขุดคลอง ข้าพเจ้าจึงรอดออกมาได้ ท่านยมบาลบอกว่า เจ้าฆ่าข้าพเจ้าโดยไม่ตั้งใจ ไม่ต้องชดใช้ชีวิต ข้าพเจ้าก็พร่ำถึงความทุกข์แสนสาหัสจนยมบาลสงสาร จึงให้ยมทูตสองตนมาพร้อมกับข้าพเจ้าวันนี้ไม่ได้มาเอาชีวิต แต่ต้องการให้เผยแพร่เรื่องนี้ให้คนได้ใส่ใจกับชีวิตสัตว์ มิใช่ฆ่าแก่งตามชอบใจ ชีวิตเพียงหนึ่งชีวิตของข้าฯสามารถรักษาชีวิตอีกหลายชีวิตได้ ข้าฯก็สามารถลดบาปของข้าฯได้ ชาติหน้าก็จะไปเกิดเป็นคน” ลูกเมียของเขาตกใจกลัว พูดว่า “ขอให้เขาหายไข้ก่อน จะทำการเผยแพร่เรื่องนี้” ไม่นานนักเขาก็หายป่วยไข้

15.เฉาหานผู้ฆ่าล้างเมือง ยมบาลลงโทษให้เกิดเป็นหมูทุกๆชาติ     พระอาจารย์หลิงอิ่นฮุยต้าซือ เล่าว่า นายหลิวอี้โซ่ว หรืออีกนามหนึ่งว่า ซียวน เป็นข้าราชการฝ่ายสอบสวนเมืองกุ่ยโจวมีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างการเดินทาง คืนหนึ่งได้ฝันเห็นคนหนึ่งมีรูปหน้ายาว บอกกับเขาว่า “ฉันชื่อเฉาหาน เป็นรองแม่ทัพในสมัยราชวงศ์ซ้อง ในชาติก่อนสมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนค้าขาย มีอยู่ครั้งหนึ่งได้เดินผ่านวัดแห่งหนึ่ง พอดีมีพระกำลังบรรยายธรรมอยู่จึงได้นำอาหารเจไปถวายพร้อมกับฟังธรรมอยู่ครึ่งวัน เพราะกุศลอันนี้จึงได้รับราชการตำแหน่งเล็กๆ มาหลายชาติ จวบจนถึงสมัยราชวงศ์ซ้อง จึงได้ตำแหน่งรองแม่ทัพ ชื่อว่า เฉาหาน ครั้งหนึ่งไปตีเมืองเจียนโจว ก็เข้าตีเมืองไม่ได้จึงเกิดลุแก่โทสะมาก พอตีเมืองแตกก็สั่งฆ่าล้างเมือง จึงมีบาปมหันต์ ต้องโทษเกิดเป็นหมูทุกๆ ชาติไป

     เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็ได้มาเกิดเป็นหมูในบ้านของท่าน ขอให้ท่านหลิวโปรดช่วยชีวิตด้วย ในวันนี้ในที่ๆ ท่านจอดเรืออยู่ ก็คือที่ๆ ฉันจะถูกฆ่า วันรุ่งขึ้นหมูตัวที่จะถูกฆ่าตัวแรกก็คือฉัน เนื่องจากมีบุญสัมพันธ์ได้มาพบท่าน ขอโปรดได้เมตตาสงสาร ช่วยชีวิตฉันนด้วย” หลิวอี้โซ่วตกใจตื่นขึ้นจึงไปที่ๆ จอดเรืออยู่ ก็พบว่ามีร้านหมูดังว่า ทันใดก็มีเสียงร้องอันดังของหมูตัวหนึ่ง หลิวอี้โซ่วจึงซื้อหมูตัวนั้นแล้วนำไปเลี้ยงในสวน มีคนเรียกมันว่า เฉาหานมันก็จะขานรับ เ รื่องนี้มีผู้พบเห็นจำนวนมาก

     หมายเหตุ: พวกหมูมีบาปหนักมาก นิสัยก็โง่มาก ไม่สามารถเข้าฝันได้ ที่สามารถเข้าฝันได้นั้นสืบเนื่องจากชาติปางก่อนเคยฟังพระบรรยายธรรมมาบ้าง จึงยังมีปัญญาอยู่บ้าง ก่อนสิบปีอาตมาได้ฟังธรรมร่วมกับหลิวซี่ยวน ท่านหลิวได้เล่าเรื่องนี้ให้อาตมาฟัง อาตมาเลยไปที่สวนเพื่อดูเจ้าหมูตัวนี้ นิสัยมันชอบความสะอาดพอเรียกชื่อมัน มันก็ขานรับ

     ในสมัยเฉาหานมีชีวิตอยู่ เขามีน้องชายชื่อ เฉาปิง เฉาปิงเดินทัพไม่ยอมฆ่าคนผิดแม้แต่คนเดียว ลูกหลานของเขาก็เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยกันมาตลอด ส่วนเฉาหานนิสัยชอบฆ่าคน จึงต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทุกๆชาติเพื่อให้เขาฆ่า กฎแห่งกรรมนั้นชัดแจ้ง สร้างกรรมอะไรไว้ก็รับผลกรรมอันนั้นเพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นไม่มีผู้ใดหลบพ้น

     เมื่อพวกเจ้ากำลังจะถูกฆ่า มีวิธีไหนบ้างจะช่วยปลดทุกข์ได้บ้าง” เฉาหานตอบว่า “ก็มีอยู่ หากได้ยินเสียงสวดมนต์หรือพุทโธก็จะคลายทุกข์ทรมาน ขอให้ท่านได้โปรดสวดมนต์ ท่องคาถายามที่เห็นเหล่าสรรพสัตว์กำลังถูกฆ่า มันมิเพียงแต่ช่วยให้ปลดจากความเจ็บปวดเท่านั้น มันยังช่วยให้หลุดพ้นจากเส้นทางทุกข์อีกด้วย” พูดจบเฉาหานก็พนมมือขึ้นไหว้ น้ำตาไหลพรากด้วยความเศร้าโศกยิ่งนัก

16.ผิดพลาดไปเข้าในท้องหมู     ที่เมืองซานตง อี๋ซุ่ย มี่ตาแก่คนหนึ่ง แซ่ตู้ มีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่เขาไปซื้อของที่ตลาด พอซื้อเสร็จก็รอคอยหาเพื่อนร่วมทางกลับบ้าน จึงนั่งพักรอที่กำแพงเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยอ่อน ไม่นานนักก็หลับไป ท่ามกลางความขะมุกขมัว ก็มองเห็นพนักงานสองคน มือถือหมายทางการ มิทันได้ถามความให้กระจ่าง ก็ได้ยิน “แกร๊ก” มือก็ถูกกุญแจล่ามเสียแล้ว พร้อมกับคุมตัวไป เขาเดินตามสองคนไป เดินๆไปผ่านที่ๆ แปลกตาต่างๆตาแก่แซ่ตู๋เดินพลางคิดพลางว่า “ช่างเป็นดังคำว่า นั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ เคราะห์กรรมก็ยังมาถึงจนได้” ตนเองไม่เคยหลบภาษีหนึ่งไม่เคยลักขโมยหนึ่ง และไม่เคยฆ่าคนอีกหนึ่ง เป็นคนที่ซื่อตรงใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่รู้ว่าทำผิดประการใด กำลังโกรธขึ้นมาอยู่ก็มาถึงที่ทำการแห่งหนึ่ง

     ขณะที่มาถึงหน้าประตูใหญ่ที่ลงรักปิดทองก็พบคนผู้หนึ่ง ที่ศีรษะสวมหมวกที่แพรวพราวดังแก้วเดินออกมาจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วทักขึ้นว่า “เอ้อ นั่นคุณจางอาซานที่ไม่เห็นหน้ามาหลายปีแล้วใช่ไหม?” คุณจากเห็นตาแก่ตู้ก็ตกใจ พูดว่า”พี่ตู้มาทำไมที่นี่” ตาแก่ตู้กำลังโกรธเรื่องนี้อยู่พอดี ก็ตอบว่า “ไม่รู้ว่าทำผิดอะไร จึงมีหนังสือทางการมา" คุณจางกลัวว่าจะผิดพลาดจึงจะเข้าไปตรวจสอบให้รู้แน่ชัด จึงบอกกับตาแก่ตู้ว่า “พี่ตู้รออยู่ที่นี่ก่อน ห้ามเดินไปไหนเด็ดขาด ฉันจะรีบไปรีบมา” ตาแก่ตู้รออยู่สักครู่ ไม่เห็นนายจางออกมาสักที จิตใจก็กระวนกระวาย จึงคิดจะไปเดินเล่นใกล้ๆ พนักงานที่คุมตัวเขามาก็ออกมาบอกเขาว่า ไม่มีความผิดอะไร จับตัวมาผิด ตาแก่ตู้พอได้ยินดังนั้นก็ดีใจไม่น้อย ยกมือขึ้นปัดผมบนศีรษะทีหนึ่ง แล้วถอนเท้าหันหลังกลับโดยไม่ได้คิดถึงเพื่อนของเขาจางอาซานเลย

     ตาแก่ตู้ชั่วอึดใจหนึ่ง ไม่รู้ว่าได้เดินมากี่ลี้แล้ว กำลังรู้สึกเหนื่อยอ่อน ทางซ้ายมือก็มีบรรดาหญิงสาวอายุประมาณ 17-18 ปีจำนวน 6 คน วิ่งผ่านมา หน้าตาสวยงามน่ารัก ตาแก่ตู้หูตาก็สว่างขึ้นมาพลัน ถึงกับลืมไปว่าตนเองก็เฒ่าชะแลแก่ชราแล้ว ผลุนผลันติดตามพวกนางไป ละทิ้งทางถนนสายใหญ่ เดินลัดเลาะไปตามทางเล็ก แต่หูก็ยังได้ยินเสียงเรียกจากนายจางอาซานว่า “พี่ตู้จะไปไหน รีบกลับคืนมา” ตาแก่ตู้หลงในรูปสตรีแล้ว ไม่สนใจการเรียกของจางอาซานเลย รีบติดตามเหล่านางไป ทันใดก็เห็นเหล่านางวิ่งเข้าไปในถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตาแก่ตู้มองดูรู้ว่าที่นี่เป็นภัตตาคารหวัง จึงรีบสาวเท้าเข้าไปโดยเร็ว เบียดตัวเข้าไปส่องดูนิดหนึ่งแล้วร้องว่า เอ๊ะ! นี่มันคอกหมูนี่นา

     กำลังสงสัยอยู่ก็เห็นร่างตนเองกลายเป็นลูกหมูตัวเล็กแค่หัานิ้วฟุตเท่านั้น ตอนนี้หูก็ยังได้ยินเสียงเรียกของเจ้าจางอาซานว่า “พี่ตู้ อย่าเข้าไปรีบออกมาเร็ว” ตาแก่ตู้รู้สึกตกใจกลัว ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว วิ่งชนไปทั่ว พลันก็ได้ยินคนคุยกันว่า “เธอดูซิ เจ้าลูกหมูตัวเล็กนี่พอออกมาก็เกิดบ้าเสียแล้ว” สักครู่เดียวก็แลเห็นตนเองกลายเป็นคนอีกครั้งหนึ่ง รีบสาวเท้าออกมาพบกับจางอาซานรออยู่ที่หน้าประตู ต่อว่าตาแก่ตู้ว่า “เรียกไม่ให้พี่ตู้ไปไหน พี่ก็ไม่ยอมฟังเกือบจะเสียเรื่องแล้ว” นายจาก็พาตาแก่ตู้กลับส่งที่ตลาด แล้วร่ำลาจากไป ตาแก่ตู้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตะวันกำลังจะตกดินแล้วตัวเองยังเอนนอนอยู่ที่กำแพงเตี้ย จึงรีบเดินไปที่บ้านแซ่หวังเพื่อถามเรื่องราว จึงพบว่าที่บ้านแซ่หวังมีแม่หมูตัวหนึ่งคลอดลูกได้ 7 ตัวมีอยู่ตัวหนึ่งออกมาก็ชนก้อนหินตาย ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลย

17.เกิดเป็นหมูสามชาติ (วารสารพุทธศาสนาจีน)     ข้าพเจ้าจะขอเล่าเรื่องที่เห็นมากับตาตนเองไว้เป็นหลักฐานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ในปี ค.ศ. 1937 ข้าพเจ้าได้เดินทางไปอยู่ที่วัดกวงฟู่ บนเขาหลู่ซาน ตำบลซีเชียน มณฑลเสฉวนเช้าวันหนึ่ง ผู้คนก็เดินทางเข้าไปทำธุระในเมือง เมื่อลงจากเขาแล้วต้องผ่านทะเลสาบเพื่อความสะดวกรวดเร็วจึงลงเรือข้ามทะเลสาบข้าพเจ้าได้ลงเรือไปพร้อมผู้โดยสารอีกประมาณ 10 คน เป็นเด็กอายุประมาณ 11-12 ขวบเสีย 3-4 คน เด็กคนหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นเด็กเลี้ยงวัว เขาเอามือขวาซ่อนอยู่ในบั้นเอวโดยมีเสื้อคลุมทับข้างนอก มีเด็กซุกซนคนหนึ่งดึงแขนขวาเขาออกมาด้วยกำลังแรงทำให้แขนขวานั้นหลุดออกมานอกเสื้อ สภาพที่พบเห็นกลายเป็นขาหมูที่มีขนรุงรัง ข้าพเจ้ามองเห็นแล้วรู้สึกตกใจ มันเป็นภาพแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนเลย ผู้เฒ่าที่ร่วมเรือมาด้วยกันเห็นอาการตกใจกลัวของข้าพเจ้าจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า เด็กคนหนึ่งสามารถระลึกชาติได้ถึงสามชาติ เขารู้ว่าคลอดทั้งสามชาติล้วนเกิดเป็นหมู

     แต่ละครั้งที่ถูกเชือดเขาจดจำไว้อย่างดีโดยเฉพาะตอนที่ถูกฆ่า ระลึกถึงคมมีดที่แทงเข้าไปในลำคอเขาจะรู้สึกว่าหัวใจกำลังถูกเชือดเฉือน ภายหลังถูกฆ่าแล้วตอนถูกนำขึ้นเขียงหมูเพื่อจำหน่าย มีดแต่ละครั้งที่เฉือนลงไปมันสะเทือนถึงตับไตไส้พุง จนกว่าเนื้อจะถูกขายหมดนั้นแหละสัญญาวิญญาณจึงจะถอยห่างออกไปเกิดใหม่ เขายังระลึกถึงความรู้สึกทั้งสองชาติครั้งสุดท้ายได้ แต่ในชาติสุดท้ายตอนที่ร่างหมูของเขาถูกชำแหละเพื่อจำหน่าย ขายเป็นเวลานานก็ขายไม่หมดยังเหลือขาข้างหนึ่งที่ขายไม่ออก ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานในตอนนั้นยากที่จะอดทนต่อไปได้ จึงออกแรงสลัดสุดเหวี่ยง ฉับพลันวิญญาณก็หลุดลอยจากขาหมู มาในชาติปัจจุบันแม้หนี้กรรมจะสิ้นสุดลงได้เกิดเป็นคน แต่เป็นเพราะขาหมูขานั้นยังมีกรรมสัมพันธ์อยู่จึงได้สะสมมาพบอยู่ในชาติปัจจุบัน โดยเหลือขาหมูข้างหนึ่งมาปรากฏสู่โลกนี้ เนื่องจากเด็กคนนี้ยังจดจำถึงกรรมตอบสนองดุจดังเหตุการณ์ปัจจุบัน ทำให้เจ็บปวดไปถึงท้องไส้ ดังนั้น จึงซ่อนเท้านั้นไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้มันปรากฏเป็นการฟื้นความทรงจำอดีตและเป็นทีสังเกตของคนซึ่งจะเป็นสื่อทำให้ระลึกถึงความเจ็บปวดในกรรมเก่า

     อย่างไรก็ตาม กรรมตามสนองไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้พบเห็นมากับตาตนเอง

18.คนสัตว์เวียนเกิด     ที่เมืองเจียนเปร่ย ในปี ค.ศ. 1923 ชายผู้หนึ่งมีนิสัยโหดร้ายเกิดเจ็บป่วยหนัก บังเอิญมีพระรูปหนึ่งมาหาพร้อมกับพูดว่า “คุณโยมทำบาปกรรมไว้มาก เมื่อตายแล้วต้องไปเกิดเป็นหมูควรรีบๆ สำนึกผิดเสีย” อาการป่วยของเขาทรุดหนักลงมาแล้วพอได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นก็ยกมือข้างซ้ายทำความเคารพ เหมือนกับพระสงฆ์จีนที่ยกมือข้างเดียวทำความเคารพ พระรูปนั้นพูดต่อไปว่า “เพราะมือข้างนี้มีความศรัทธาไหว้พระ ดังนั้น มือข้างนี้ไม่ต้องมีรูปร่างเหมือนขาหมู น่าเสียดาย เหลือแค่มือเดียวเท่านั้น ถึงกระนั้นก็เถอะ ก็ไม่ต้องตายเพราะคมมีดอีกแล้ว” เท่านั้นเขาก็ตายลงทันใดนั้นบ้านใกล้เคียงก็มีหมูตกลูกออกมาตัวหนึ่ง ขาซ้ายหน้าเป็นรูปมือคน เวลาเดินขานี้ก็ไม่แตะพื้นทำท่าไหว้คนอยู่ทุกเวลาคนในบ้านเขารู้เข้าก็ไปขอซื้อตัวมา แล้วส่งไปปล่อยในวัดเป่าฮัวเมืองเซี่ยงไฉ้ จวบจนบัดนี้นับได้ 10 ปีแล้ว ข้าเพเจ้ก็ได้ไปดูที่วัดด้วยตนเอง เมื่อไต่ถามดูก็รู้ข้อเท็จจริงนี้มา จึงให้ร้านถ่ายรูปไปถ่ายภาพไว้เพื่อเป็นเรื่องเตือนโลก

19.เด็กขอทานเล่าถึงอดีตสามชาติ     ในต้นสมัยรัฐบาลกั๊กหมิน (ราว ค.ศ.1922)ที่มณฑลหูเปร่ย อำเภอจี้ชุน หมู่บ้านลี่เจียโจว มีเด็กขอทานคนหนึ่งอายุประมาณ 12 ปี หน้าตาเหมือนหมูเขาระลึกชาติได้ถึงสามชาติสามชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นบัญฑิต มีความรู้ความสามารถในเชิงอักษร ปากกาเขาดั่งคมมีด ร้อยเลห์เพทุบาย ชอบทำชั่วทุกอย่างทั้งข้าราชการและผู้ดีต่างได้รับความอับอายจากเขามิใช่น้อยต่างก็กลัวเขาเหมือนกลัวเสือ ภายหลังเขาตายลงได้รับโทษกรรมต่างๆ ในขุมนรก พอพ้นโทษก็ไปเกิดเป็นไก่ อันเป็นชาติก่อนสองชาติ ถึงแม้จะมีร่างเป็นไก่ เขาก็ยังจำอดีตได้ สืบเนื่องจากกรรมเก่ามีมาก ดังนั้นขณะเป็นไก่จึงสงบเสงี่ยม ระมัดระวังแต่ละครั้งที่เจ้าของนำอาหารมาเลี้ยง ก็ไม่แย่งอาหารกับเขา ปล่อยให้ตัวอื่นๆ กินเสร็จเสียก่อนจึงไปกินอาหารที่เหลือ ยิ่งเป็นพวกตัวหนอนตัวแมลง ก็ไม่กล้าไปทำอันตราย จึงกลายเป็นไก่นักบุญ

     ถึงแม้จะถูกเขาฆ่าไปแกงก็ไม่ต้องเวียนเกิดเป็นไก่อีก แต่เวียนเกิดมาเป็นหมู คือเป็นชาติที่แล้ว ถึงแม้จะเกิดเป็นหมูเขายังจดจำอดีตชาติได้แต่ละครั้งที่ต้องกินรำข้าวทำให้รู้สึกสกปรก จึงยอมหิว ไม่ยอมกินได้ยินเจ้าของพูดว่า ไม่ยอมกินก็ต้องฆ่าเสีย ด้วยความกลัวจึงต้องฝืนกิน ภายหลังที่กินของสกปรกจิตใจก็เกิดประเดี๋ยวขุ่นมัวประเดี๋ยวแจ่มใส ไม่เห็นอะไรกระจ่างแจ้งเหมือนก่อน แต่ก็กินอาหารเพียงแต่น้อย เมื่อถึงเวลาถูกเชือด มีดที่แทงถึงคอหอยไม่สู้เจ็บปวดนัก จวบจนคมมีดเชือดถึงหัวใจจึงเจ็บปวดเหลือที่จะกล่าวจนอดทนไม่ไหว วิญญาณจึงหลุดจากร่างไป แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ข้างๆ แต่ละครั้งที่ถูกน้ำร้อนลวกเพื่อขูดเอาขนออก ความเจ็บปวดเข้าถึงกระดูก ตอนที่ถูกหั่นขึ้นหม้อแกงก็ไม่รู้สึกปวดอะไร เนื่องจากเนื้อที่ตักขึ้นมายังร้อนอยู่ ผู้กินก็เป่าลม ตอนนี้ซิมันเจ็บปวดเหลือทน

     ขณะที่เนื้อถูกแบ่งไปขายในที่ต่างๆ วิญญาณก็ยังติดตามเนื้อนั้น จนกระทั่งเนื้อนั้นถูกชาวบ้านซื้อไปแล้ว วิญญาณจึงละจากไปได้ แต่บังเอิญมีอยู่สองขาที่เขาเอาไปทำหมูแฮม ต้องรอจนสองปีขอทั้งสองจึงถูกคนกินไป จึงสามารหลุดพ้นกลับมาเกิดเป็นเด็กขอทาน

     กรรมตามสนองนานาประการ พูดให้ผู้มีกุศลฟังโดยเฉพาะยิ่งตอนเล่าให้ฟังมีผู้คนมากก็ต้องเบาเสียงลง หากพูดด้วยเสนียงอันดังหรือพูดให้คนถ่อยฟังแล้ว ตกตอนกลางคืนเวลานอนจะได้รับความทุกข์ทรมาน อีกอย่างหนึ่งคือ “ในชาตินี้เขาต้องอดๆ อยากๆไม่รูสึกอบอุ่น ถึงแม้จะพบผู้ให้ทานมากก็มิกล้าโลภในลาภสักการะมาก หากโลภมากชาติหน้าบุญวาสนาก็จะถูกหักออก” เล่าต่อไปว่า “เมื่ออายุได้ 14 ปี ก็จะตายแล้วไปเกิดเป็นคนใหม่ จะมั่งมีศรีสุขเพียงแต่เกรงว่าจะไม่สามารถรู้เแจ้งในอดีตชาติ และถ้าหากหลงทำบาปอีก ก็จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก ช่างน่ากลัวนัก..” ต่อมาได้ยินข่าวว่า เด็กขอทานคนนั้นพออายุได้ 14 ก็เจ็บป่วยตาย

20.สุนัขซื้อสัตย์ สืบคนร้ายได้     ข่าวจากหนังสือพิมพ์ชิงกวงฟู่ วันที่ 3 สิงหาคม ในสมัยกั๊กหมิน ข่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ที่อำเภอก่วนหวิน มีคดีเรื่องสุนัขซื่อสัตย์สืบจับคนร้ายได้ เรื่องนี้น่าสยองขวัญมาก เรื่องมีอยู่ว่า หมู่บ้านแซ่ซุน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอำเภอก่วนหวิน มีชาวนาแซ่ซุน ได้เลี้ยงสุนัขอ้วนแข็งแรงไว้ตัวหนึ่ง วันหนึ่งมันคาบเอาขาหมูข้างหนึ่งมาจากนอกบ้าน ทั้งๆที่เป็นอาหารอันโอชะสำหรับมันแต่สุนัขที่ซื่อสัตย์คิดถึงบุญคุณนายมัน จึงไม่กล้ากินขาหมูที่มันหามาได้ มันใช้ขาหน้าสองขายกขาหมูขึ้นต่อหน้านายของมันนายของมันมีฐานะค่อนข้างยากจนอยู่แล้ว ไม่ได้ลิ้มรสอาหารอันน่าเอร็ดอร่อยมานานแล้วจึงรู้สึกดีใจไม่น้อย จึงไม่ใส่ใจว่าสุนัขมันได้ขาหมูมาจากไหน กลับนำไปปรุงอาหารเพื่อทุกคนในบ้านได้อร่อยมาก ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียเดียวกันว่า “เป็นลาภปาก”

     โดยไม่คาดคิดมาก่อน พอวันรุ่งขึ้นบ้านข้างเคียงคนแซ่ลี้ก็เข้ามาค้นหาถึงภายในบ้าน จึงสืบรู้เรื่องเข้า ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดทะเลาะกันขึ้น ฝ่ายแซ่ลี้มีคนมากกว่าก็จับสุนัขผูกมัดไว้ที่ต้นไม้แล้วช่วยกันทุบตีโดยความโกรธแค้น ฝ่ายแซ่ซุนมีคนน้อยกว่าและด้อยด้วยเหตุผลจึงนิ่งไม่ต่อต้าน ได้แต่อดทนกลั้นเอาไว้ เมื่อสุนัขถูกตีจึงเหาร้องด้วยเสียงอันดัง พอดีมีพ่อค้าหมูผ่านมาพอดี รู้เรื่องเข้าจึงเกิดเมตตาสงสาร จึงยอมควักเงินสองเหรียญเพื่อเป็นค่าขาหมูสุนัขจึงได้รับการปลดปล่อยพ้นเงื้อมมืออันตราย หารู้ไม่ว่าในการช่วยเหลือสุนัขขณะควักเงินออกมานั้นฝ่ายแซ่ลี้เห็นเงินจำนวนมากมายในย่อมจึงเกิดใจโลภขึ้น จึงกล่าวกับพ่อค้าหมูว่า ขณะนี้ก็ค่ำแล้ว ควรค้างที่บ้านสักคืน แถวนี้ก็มีโจรผู้ร้ายมาก การเดินทางกลางค่ำกลางคืนอาจถูกจับจี้ปล้นได้ ฝ่ายพ่อค้าหมูซึ่งจะเป็นแขกรู้สึกเห็นพ้องด้วยในควาามหวังดีของเขา ฝ่ายแซ่ลี้ต้อนรับด้วยเหล้ายา ถึงกับฆ่าไก่ยกย่องเป็นแขกผู้มีเกียรติ สนทนากันอย่างสนิทสนม แขกก็ถูกมอมเหล้าจนหลับไป ฝ่ายแซ่ลี้ก็ฉวยโอกาสนี้เอาเชือกที่มัดสุนัขนั้นรัดคอจนแขกขาดใจตาย แล้วใช้มีดเฉือนศพออกเป็นชิ้นๆ แล้วยัดใส่ไห ตั้งไว้ใต้เตียง คิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้เห็น ยังได้เงินใช้อีกมาก คงไม่มีปัญหา

     กล่าวย้อนถึงสุนัขที่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่ลืมพระคุณคนนั้น และเห็นว่าเขาไปพักแรมที่บ้านแซ่ลี้ เฝ้ารออยู่หน้าบ้านเพื่อแสดงความขอบคุณ รออยู่ถึงสองวันก็ยังไม่พบแขกผู้นั้นแม้แต่เงา จึแอบเข้าไปค้นหาในบ้าน ด้วยจมูกที่ไวต่อกลิ่นเหม็นจึงพบว่าศพถูกอัดไว้ในไห จึงรีบวิ่งไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านทันที เมื่อถึงตัวผู้ใหญ่บ้าน สุนัขก็หมอบลงต่อหน้าแล้วร้องไห้น้ำตาไหลจนผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าผิดสังเกต แล้วสุนัขก็งับชายเสื้อของผู้ใหญ่บ้านนำไปยังบ้านของนายลี้ แล้วดันเตียงให้ล้มไป มันใช้เท้าตะกุยที่ไห ทันใดกลิ่นเหม็นเน่าของศพก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว จนก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่บ้านก็พอได้ข่าวมาบ้าง ครั้นมาพบศพอันเป็นของกลางเช่นนี้จึงได้จับผู้ต้องหาไปส่งที่อำเภอเพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป

0
249

กฎลงโทษนรก

เจ้าหลักเมืองโบราณ

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

10 ขั้นตอนการพัฒนาจิต ดับทั้งคู่

แปลโดยท่านพุทธทาส

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

คติพจน์ 20 ประการ ของเทพเจ้าฝูอี้ว

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago

เหวียนเต๋อชูพึ่งหนังสือเทวราชโองการ ช่วยแม่ที่ล่วงลับและช่วยชีวิตของภร...

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago

ครั้งที่ 43 ตอน ท่องแดนไฟนาบนิ้วมือนรกน้อย

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago