อรหันต์ตรัสจากจิต ธรรมจารย์ชี้ทางหลง
เร่งพินิจสัทธรรม เปิดเผยนามธรรม
อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2525
กลอนนำเสด็จ
บารมีพุทธะ
สัจธรรมหนุนนำ
ตามรอยเส้นทางใหญ่
กุศลช่วยผ่อนคลาย
อิสระโปรดผู้ธรรม
ดวงกมลเบาสบาย
ใกล้วิสุทธิ์แดนจุดหมาย
สังคมได้สันติสุข
อรหันต์จี้กง : การบำเพ็ญเพียรมีการแปรเปลี่ยนได้หลายแบบอย่าง แต่ละบุคคล สิ่งแวดล้อม และบุญวาสนา ไม่เหมือนกัน ดังนั้น วิถีทางและอุปสรรคย่อมแตกต่างกัน แต่ที่รู้ ๆกันรู้ธรรมะเป็นสิ่งง่าย แต่การปฏิบัตินี่ซิมักลำบาก ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนมักมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่ก็ได้เข้าใจในรสชาติของมันดี หยางเซิงขึ้นบนบัวอาสน์ เตรียมตัวแต่งหนังสือ “เส้นทางอริยะ” กัน!
หยางเซิง ; ขอรับกระผม กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญทางอาจารย์ออกเดินทางได้
อรหันต์จี้กง : หยางเซิงลงจากบัวอาสน์ เธอดูซิว่าที่นี่เป็นที่ไหน
หยางเซิง : ที่นี่อยู่บนภูเขา ริมเหวใหญ่ เมืองไถ่ตงนี่
อรหันต์จี้กง : ใช่แล้ว เป็นทิวทัศน์ เขต เหวใหญ่ พาเจ้ามาที่นี่ จะทำอะไรรู้ไหม
หยางเซิง : ท่านอาจารย์รักลูกศิษย์มาก คงพามาเดินเล่นให้สบายใจกระมัง
อรหันต์จี้กง : ก็นับว่ายังฉลาดดีอยู่ การอาศัยอยู่ในเมืองผู้คนหนาแน่น จิตใจคนก็อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แถมอากาศยังมีมลภาวะ มีเสียงอึกทึก ล้วนไม่ถูกสุขลักษณะ ตอนนี้มาผ่อนคลายกายใจสักครู่ เพื่อสุขภาพต่อชีวิต
หยางเซิง : ที่แท้อาจารย์ก็เข้าใจมลภาวะของบ้านเมือง เลบออกมาพักจิตสักครู่
อรหันต์จี้กง : เรามานั่งใต้ต้นไม้นี้ ทำสมาธิสักครู่เพื่อพิจารณาสภาวะนอกสังคมกัน (อาจารย์กับศิษย์ นั่งกันคนละข้างหลับตาพักจิต แล้วพิจารณาทิวทัศน์ที่สวยงาม)
หยางเซิง : ขอรับ อาจารย์กับศิษย์นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่แล้วมองสู่เบื้องต่ำ เห็นทิวทัศน์ยามราตรีของเมืองไถ่ตงอย่างสวยงาม มีดวงไฟเป็นจุด ๆ ประดุจดวงดาวบนฟ้า ราวกับว่าอยู่บนสวรรค์ในโลก ทุกบ้านช่องเปิดไฟรับลมเย็น
อรหันต์จี้กง : พูดได้เพราะ ข้าจะกล่าวต่อ (ใต้พฤกษาเหนือภูผา ศิษย์อาจารย์นั่งอยู่ เฝ้าดูผู้คนยื้อแย่งโลกีย์อันว่างเปล่า) พอแล้วอย่าดูโลกภายนอกเลย เราละทิ้งไว้แค่นั้น อย่าให้เกิดความคิด หลับตามองภายในกันเถอะ
หยางเซิง : ขอรับ (หลับตาลง เปิดตาใน ลมเย็นพัดผ่าน ไม่มีรั้วกั้นลม จิตปลอดโปร่ง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกค่อยๆ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ)
อรหันต์จี้กง : ภายหลังหลับตาลง เมื่อเข้าสู่สมาธิแล้ว มองเห็นกลุ่มคน มีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ทั้งหญิงและชาย กำลังมุ่งหน้าสู่บนเขาในยามรุ่งอรุณ ขณะนั้นมีระลอกลมพัดเข้าจมูกแล้วก็ไหลเคลื่อนสู่ศูนย์กลางกาย ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นไอร้อนจากปลายสุดของกระดูกสันหลัง ค่อย ๆ เคลื่อนสู่เบื้องบนถึงสิบสองขั้น จากส่วนท้ายทอยสู่กลางกระหม่อม ที่เห็นแบบนี้หมายความว่ากระไรครับ
อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า !เกิดความอัศจรรย์ในสมาธิที่เห็นฝูงชนขึ้นเขาในยามเช้านั้น พวกเขาเป็นสมาชิกในสำนัก พวกเขาพอตื่นขึ้นในตอนเช้า ขึ้นเขาก็เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และฝึกฝนร่างกาย และที่รู้สึกมีระลอกลมเป็นลมปราณจากภูเขา และมีไอร้อนเคลื่อนสู่เบื้องบน เกิดจากกระแสจิตที่ตอบรับ (ผู้ที่มุ่งมั้นในการปฏิบัติธรรม ถ้ารู้สึกได้แต่แรกเหมือนพวกสมาชิกที่ตื่นแต่เช้าเพื่อรับอากาศที่บริศุทธิ์กว่าในที่สูง ๆ ) เป็นลมปราณแท้แห่งธรรมชาติ มันจะเคลื่อนไหวอยู่ในจิต เหมือนคนขึ้นสู่มหาเจดีย์สูงถึงสิบสองชั้น เมื่อขึ้นมองในที่สูงก็จะเห็นฝูงชนดังฝูงมดที่คอยต่อสู้ แก่งแย่งชิงกัน ทำลายทั้งปัญญาและชีวิต รู้สึกเศร้าสลดยิ่งนัก (ดั่งผู้หนุนหมอนธรรมดาเปลี่ยนเป็นหนุนหมอนทิพย์ นอนอยู่บนยอดเจดีย์สูงสิบสองชั้น มีความสำราญยิ่ง ไร้ความกังวล)
ฮาฮ้า !เผลอแผล็ลเดียว ตื่นขึ้นมาตะวันโด่งแล้ว ข้าเองก็สดชื่นอยู่บนวิมานเวียงฟ้า (เหนือเจดีย์สร้างวิมานแก้วที่รื่นรมย์) อันวิมานดินสกปรกโสมม วิมานแก้วบริสุทธิ์ขับเคลื่อนลมปราณอันพิสุทธิ์ ดังนั้น เจ้าหยางเซิงจึงมีเหงื่อร้อนรินไหล หากปีนเขาแล้วไม่ได้เหงื่อก็เปล่าประโยชน์ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีเหงื่อก็เหมือนไม่ได้ปฏิบัติ (ไม่ใช้วิริยะธรรม ถ้าไม่รอพุทธะจุติลงมาที่เชิงเขา ต้องรีบ ๆ ปีนขึ้นไปเองจะดีกว่า) ความแยบคายของเหตุผลนี้ ขอให้พิจารณาให้ดี
โปรดจำไว้ !น้ำใสสะอาดอยู่บนยอดเขา หวังว่าผู้คนจะขึ้นที่สูง จงอย่าลอยตามกระแสสู่เบื้องต่ำ พวกที่รักหวงแหนในพรหมจรรย์ (สงวนอสุจิ) พลังธาตุและสติ โดยเฉพาะจุดมุ่งหมายคือ สอนให้คนคลายกำหนัด เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย การรั่วไหลของอสุจิและพลังธาตุ นอกจากฉันสามีภรรยาอันถูกต้องแล้ว ยังสูญเสียไปกับความกำหนัดทางจิตบ้าง การบำบัดความใคร่ด้วยมือบ้าง ด้วยการข่มขืนบ้าง ด้วยการเที่ยวโสเภณีบ้าง เสพสมเกินกำลังบ้าง (อย่างเช่นการทำชำเรา หรือชายหญิงสมสู่กันโดยไม่ถูกต้อง) แบบนี้ได้ชื่อว่า การประพฤติผิดในกาม มีคำกล่าวว่า “ในบรรดาบาปทั้งปวง การผิดประเวณีเป็นบาปอันดับแรก” คนเราเกิดได้เพราะความใคร่ และก็ตายด้วยความใคร่เช่นกัน เพราะฉะนั้น การบำรุงรักษาพรหมจรรย์ พลังธาตุ และสติ จึงมีประโยชน์เป็นการประคับประคองความประพฤติของคนหากมีความใคร่มาก ย่อมก่อให้เกิดการเสื่อมเสียศีลธรรมและเสื่อมบุญกุศลในที่สุด ในทางกลับกัน ถ้าอสุจิ พลังธาตุและสติ เต็มเปี่ยม สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง มีพละกำลังในการทำงาน แม้จะสั่งสอนกล่อมเกลาคนก็มีความกระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือธรรมธุระ ย่อมประสบแต่ความสำเร็จ เพราะฉะนั้น นักธรรมแห่งเต๋าฝึกฝนด้วยวิธีนี้ก็เพื่อมุ่งหมายต่อความยืนยาวของชีวิต จนกระทั่งถึงจุดละทิ้งสังขาร แล้วทะยานสู่เบื้องบน ซึ่งหมายถึงมีชีวิตแก่ชรามากแล้ว ดังนั้นการฝึกฝนธรรมะก็ต้องอาศัยการสะสมบุญเป็นหลักไม่มีใครพ้นการตาย ทุกคนต้องละสังขาร แต่สวรรค์จะเลือกแต่ผู้ที่มีนิสัยดีเท่านั้น ไม่สนว่าคุณจะมีความแข็งแรงเพียงไหนเมื่อถึงเวลาร่างกายย่อมแตกสลายสักวัน
การกินเจ มีจุดมุ่งหมายเพื่อขจัดนิสัยแห่งสัตว์เดรัจฉานและการกินเนื้อสัตว์มากเกินควร ฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้นเกิดการผลักดัน ก่อเกิดความกระสันอยาก เจ้าอารมณ์ทำให้เสื่อมบุญ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายแรก แต่จุดมุ่งหมายที่สองคือจะได้ลดวิบากกรรมลง เพียงแต่คุณไม่ผิดในกามก็สามารถสร้างบุญกุศลได้มากมายแล้ว ดังนั้น การกุศลจะปกป้องพรหมจรรย์พลังธาตุ และสติ สมาธิจิตก็จะบำรุงเลี้งร่างกายก็สามารถบรรลุมหาสัทธรรมได้ ซึ่งเป็นหลักแท้แน่นอนหากเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของศีลแล้ว ก็จะไม่ถูกครอบงำด้วยเหตุผลของสังคมทางโลก อันก่อให้เกิดการหลงผิด
หยางเซิง : ท่านอาจารย์แสดงธรรมได้พิสดาร ส้ำลึก ไม่มดเท็จเหมือนคนขายแตงก็ว่าแตงหวานบอกเพียงว่าแตงนี้ช่วยแก้กระหายน้ำได้เท่านั้น ซึ่งก็เป็นการเพียงพอที่จะชี้แนะผู้คนเตือนใจตื่นจากความเพ้อฝัน! ขณะนี้กำลังนั่งสบายๆเหนือแผ่นหินนี้ ไม่คิดอยากจะลุกขึ้นเลย
อรหันต์จี้กง : แม้แต่เสาหินก็ยังโน้มรับ ดีที่มีแผ่นหินก้อนนี้มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีที่นั่ง ทุกอิริยาบถล้วนเป็นธรรมการนั่งสมาธิสามารถขจัดความคิดภายนอกได้ การนั่งวิปัสสนากรรมฐานก่อให้เกิดปัญญา การนั่งเป็นการเจริญสติ ทำให้สติมีพลัง มีประโยชน์ต่อจิตและกาย ถ้าหากเจ้ามัวยึดอยู่กับอะไรที่เกิดขึ้น เช่น มีไอร้อน มีพลังธาตุเคลื่อน มีความเบาลอยตัวต่างๆเป็นต้น แล้วสำคัญผิดคิดว่าสำเร็จแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็จะอยู่ห่างไกลจากธรรมอย่างลิบลับ
หยางเซิง : ในระหว่างทางฝึกฝนธรรม มักจะได้ยินผู้ปฏิบัติธรรมกล่าวว่า ฝึกทั้งทางจิตและชีวิตบ้าง หรือไม่ก็มักได้ยินว่าขณะทำสมาธิจะรู้สึกว่ามีไอธาตุเคลื่อนทั้งตัว หรือไม่ตาก็เห็นพระโพธิสัตว์บ้าง พวกเขาเหล่านั้นต่างทึกทักเอาว่า ได้บรรลุธรรมแล้ว มีอภิญญาแล้ว มิทราบว่าท่านอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
อรหันต์จี้กง : ในขณะทำสมาธิอยู่แล้วเกิดมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงของไอธาตุชนิดหนึ่ง มักพูดว่าเป็น “พลังภายใน หรือพลังธาตุ” อย่างเช่น ปัจจุบันมักนิยมว่าเป็นพลังภายใน... หรือ วิทยายุทธ์... บ้าง และก็มีสำนักนั้นๆมีการรับลูกศิษย์ โดยอวดสรรพคุณว่ามีวิทยายุทธ์ไปต่างๆนานา แม้การฝึกฝนร่างกายจะมีคุณประโยชน์ แต่วิทยายุทธ์ต่างๆถึงแม้จะดี แต่ก็ใช่จะมีธรรมะดีๆได้ อย่างเช่น พี่น้องชาวยุทธจักรมักมีวิทยายุทธ์ที่เยี่ยมยอด แต่ถ้าพูดถึงมนุษยธรรมแทบจะพูดได้ว่าไม่มีเลย ดังนั้น จึงพูดได้ว่า “วิทยายุทธ์นั้น ใครๆก็ฝึกได้ แต่การปฏิบัติธรรมนั้นมิอาจฝึกได้ทุกคน” ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า วิทยายุทธ์ก็คือ “ศิลปศาสตร์” ชนิดหนึ่งดังนั้น การฝึกวิทยายุทธ์ไม่อาจนำมาโอ้อวดว่าเป็นการปฏิบัติธรรมได้ เพราะศิลปศาสตร์ชนิดนี้ไม่มีความเกี่ยวดองกันกับการปฏิบัติธรรมเลย การมีวิทยายุทธ์นั้นจะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ หากยังยึดติดกับวิทยายุทธ์ ก็จะเป็นการหลอกลวงตนเองซึ่งเป็นการปิดกั้นตนเอง เหมือนอยู่ที่ก้นบ่อ
หยางเซิง : ที่ท่านอาจารย์กล่าวออกมา พอเพียงที่จะให้เพื่อนๆได้พิจารณาเกี่ยวกับการนั่งหรือไม่นั่งสมาธิ
อรหันต์จี้กง : การนั่งสมาธิ เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของสากลสามารถทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี ซึ่งก็มีผลประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรม แต่จงอย่าเข้าใจว่า การนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมต้องพร้อมด้วยการสร้างกุศล มีการสำนึกในความผิด และกับการแก้ไขปรับปรุง ซึ่งต้องปฏิบัติร่วมกับการกินเจ สวดมนต์ การทำสมาธิ ถ้าหากการกินเจแต่ไม่สบายใจ มีการสวดมนต์แต่ไม่มีพุทธะในดวงจิต และการนั่งสมาธิแล้วไม่บรรลุ ก็เหมือนการวกวนในกายเนื้อหรือมีการแสวงธรรมกับโครงกระดูก โปรดตระหนักให้ดีหากกล่าวเน้นถึงใครคนหนึ่งว่า เขามีความชำนาญในหารเข้าฌานจริงๆหากเป็นเช่นนี้มิเป็นการนำเอา “มหาสัทธรรม” อย่างธรรมดานำมาปรุงแต่งใส่เสื้อให้เกิดความลี้ลับอัศจรรย์ไว้ข้างนอก ยิ่งมิเป็นการทำให้ผู้ศรัทธาในธรรมะหลงทางหรอกหรือ? ซึ่งอาตมาเห็นว่าเป็นวิธีการที่เสื่อมลง
ดังนั้น เพื่อที่จะไม่ให้ผู้คนสำคัญผิดหรือหลงทาง หรือทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น ก็อยากจะบรรยายธรรมในหัวข้อ “ไม่ปฏิบัติธรรม แต่นิยมชอบในการนั่งสมาธิ” ให้บรรดาลูกๆได้พิจารณาให้ถ่องแท้
คุณหยางเซิงก็ถามขึ้นมาทันทีว่า “วิธีนั่งสมาธิ ทั้งพุทธและเต๋า ต่างก็มีวิธีปฏิบัติของตนเอง ยกเว้น ขงจื้อ ศิษย์ยังไม่ทราบวิธีนั่งเลย เพื่อให้สะดวกในการปฏิบัติธรรมขอโปรดอธิบายให้ด้วย”
อาจารย์กล่าวว่า “ในพระคัมภีร์เต๋าเต็งเก็ง” กล่าวว่า มนุษย์ถือตามกฎแห่งปฐพี ปฐพีถือตามกฎแห่งฟ้า ฟ้าถือตามกฎแห่งธรรม ธรรมถือตามกฎปห่งธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นสิ่งสุดยอดของผู้ปฏิบัติธรรม ภายใต้ฟ้าดิน มนุษย์ของประพฤติชั่ว ดังนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่จึงสูญเสียความปกติของธรรมชาติไป โดยเฉพาะผู้ที่เย่อหยิ่งจองหอง หรือพวกที่ฮึกเหิม ไม่เกรงกลัวก็มี พวกพุทธและเต๋าก็มีการนั่งคู่บัลลังก์ อันเป็นแบบฉบับที่แน่นอนสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนำไปฝึกพลัง ที่จริงแล้วในมหาสัทธรรมมิได้มีเพียงเท่านี้ โดยทั่วๆไปกล่าวว่า เต๋า (คำว่า เต๋า ก็คือ ธรรมในศาสนาเต๋า โดยมีท่านเล่าจื้อเป็นพระศาสดา) มิอาจห่างจากแม้สักครู่เดียว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ต้องมีความละเอียดรอบคอบ (มิใช่เป็นสิ่งลวกๆ) มีความยากลำบาก ถ้ากล่าวว่าการนั่งคู่บัลลังก์เหมาะกับเต๋า ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่เต๋า เช่นนี้แล้วพวกเราเลยทึกทักเอาว่า ต้องนั่งคู่บัลลังก์ต้องมีความอดทนในการนั่งกระนั้นหรือ? การนั่งเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว! แต่สำหรับอาตมารู้ว่า นั้นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ตามความนิยมของสังคมที่ชอบนำเอาการนั่งคู่บัลลังก์มาเป็นการปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งการพูดเช่นนั้นไม่ต้องมีเหตุผลอื่นใดมาลบล้าง ก็จะพ่ายไปเองในที่สุด
พระศาสดาแห่งพุทธและเต๋า ให้ความสำคัญกับการทำวิปัสสนากรรมฐาน แล้วพวกเธอจะว่าไม่ถูกต้องกระนั้นหรือมิเป็นการขัดกันกับความเห็นของพระบรมศาสดาหรอกหรือ วันนี้ก็จะเป็นการอธิบาย ชี้แนะ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดต่อพระศาสดา พระพุทธเจ้านั่งวิปัสสนาใต้ต้นโพธิ์ ส่วนพระไท้เสียงนั่งอยู่ที่ช่องอันลี้ลับ ซึ่งเป็นหลักธรรมอันละเอียดอ่อนของพระศาสดา เป็นที่เข้าใจว่า เป็นวิถีทางแห่งการปฏิบัติธรรมชนรุ่นหลังซึ่งไม่เข้าใจถึงธรรมแจ่มแจ้ง ก็นำมากล่าวว่าเป็นพิธีการของการปฏิบัติธรรม ชักนำให้ผู้คนยึดติดในรูปแบบซึ่งทำให้สูญเสียแก่นแท้ไป แล้วจะกล่าวถึงธรรมะกันได้อย่างไร? พึงระลึกรู้ว่า การปฏิบัติธรรมที่สำคัญคือ “สติ” หากขาดสติแม้จะนั่งจนพื้นทะลุก็เปล่าประโยชน์ ถ้าหากจิตไม่มีสติ ก็อย่าหวังเลยที่จะได้พบธรรม ยังไม่พบสติก็ไม่รู้หนทางแห่งธรรมได้ เมื่อไม่มีพลังสติ ก็ไม่สามารถเฝ้าดูธรรมได้ ไม่มีสติ ปัญญาจะไม่เกิด ก็ไม่สามารถบรรลุธรรม การเฝ้ารักษาสติไว้ความวุ่นวายภายนอกก็ไม่อาจลุกล้ำได้ อกุศลก็ไม่อาจกล้ำกรายได้เลย ผู้ปฏิบัติธรรมถ้าหากครองสติอยู่ ไม่ว่าจะนั่ง นอน เดิน ยืน ก็ได้ ปัจจุบันขอให้ลูกๆหมั่นครองสติเอาไว้ โดยอย่าไปกำหนดเอาแต่เฉพาะนั่ง หาไม่แล้วแก่นแท้จะถูกเบียดบังธรรมะก็จะถูกจองจะไว้
นักปราชญ์กล่าวว่า “เดิน ยืน นั่ง นอน ก็ไม่หลีกพ้น จากธรรมะ หรือหลีกห่างจากธรรมนี้ อย่าพลาดได้” วิธีนี้สอนคนคลอด 24 ชั่วโมง โดยเฝ้าสติไว้ที่ใจ ซึ่งก็ไม่ละจากธรรมแม้แต่น้อยนิด
ดังนั้น พวกขงจื้อเมื่อปฏิบัติธรรมมักพูดว่า นั่งให้เหมือนระฆัง ยืนสง่าดังต้นสน เดินต้องตรง นอนหนุนขดตัว คิดอยู่กับปัจจุบัน ไม่พึงช่วยจำ ทุกอย่างปล่อยเป็นธรรมชาติ มิใช่ดัดจริตต้องสร้างวิธีนั่ง ในสมัยที่อาตมาปฏิบัติธรรมอยู่ ต้องมีการถือศึลดุจเดียวกับสำนักขงจื้อ
จากที่กล่าวมาแล้ว ก็สามารถแสดงให้เห็นว่า วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการดำรงชีพที่มีความกระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ต้นโพธิ์ หรือช่องลี้ลับ สิ่งที่ชี้แนะก็คือจิตเดิมของมนุษย์หากยังไม่เข้าใจถึง “สิ่งนี้” ละก็ เหมือนมีพายุพัดตันโพธิ์ หรือไม่ก็มีเสือสิงห์เผ่นออกมาจากช่องลี้ลับเป็นแน่แท้ หากพลังสติไม่มีการนั่งจนอาสนะทะลุก็คงได้เพียงแต่โพธิสัตว์กายเนื้อเท่านั้นเอง
สังฆปรินายก ฮุยเน้ง (เว่ยหลาง) ท่านกล่าวว่า “หลุดพ้นจากสิ่งภายนอก รวมทั้งบาป กุศลทั้งปวง จิตไม่มีการคิดเกิดขึ้น ภายในพบแต่จิตตนเองอย่างสงบแล้วไโซร้นั่นคือ “ฌาน” ในวัชรสูตร กล่าวว่า “หากเอากายเนื้อมาพบข้าหรือมีเสียงอ้อนวอนข้านั้น เป็่นคนมีมิจฉาทะฐิ มิอาจสามารถพบพระพุทธเจ้ายูไลได้” หรือกล่าวว่า “ทุกอย่างเป็นบารมี เหมือนความฝัน เหมือนเงา เหมือนหมอก และก็เหมือนประจุไฟฟ้า ต้องพิจารณาให้เห็นเช่นนี้” ผู้ที่มีใจทำวิปัสสนา ให้พิจารณาความหมายของวิปัสสนาก่อนจึงจะไม่หลงเดินผิดทาง ปัจจุบันพวกวัยรุ่นนั่งสมาธิกัน บางครั้งทำให้วิปริต ประสาทสับสน แม้แต่อาจารย์ผู้สอนก็ไม่สามารถจะกำราบความวิปริตได้ บาปกรรมแท้ๆ อาตมาใคร่ขอร้องแต่ละสำนักที่จะสอนผู้ปฏิบัติธรรม ควรสอนเป็นคนๆไปมิใช่ว่า ใครก็ตามที่เข้ามาแล้วจะปฏิบัติเหมือนกันหมดควรจะรู้สภาพของผู้มาเรียน รู้สภาวะผลกรรมเสียก่อน แล้วจึงเริ่มสอนสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ พวกที่มีวิบากกรรมหนัก ก็ต้องสอนให้เขาทำกุศล ให้ทานก่อน พวกที่มีโรคภัยไขัเจ็บ สภาพจิตไม่ค่อยดี ก็ควรให้เข้าฝึกการสวดมนต์หากร่างกายอ่อนแอและเข้าใจธรรมะดีแล้ว ไม่ยึดติดในรูปก็สามารถที่จะสอนให้เขาทำสมาธิ...ต่างๆ เป็นต้น ควรเป็นธรรมจารย์ที่แท้จริง ต้องมีความรู้ และรู้จักการปรับปรุงในการสอนคน อบรมแต่ละบุคคลเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์ถึงจุดหมาย มีความสุขกายและใจ จนกระทั่งเน้นถึงคาดเคราะห์ขอตากรรม มติสวรรค์ อาจารย์แท้ศาสนาแท้เป็นต้น มิใช่เป็นเรื่องของจิตวิทยา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีรูปลักษณ์ หรือถ้าหากมีการโฆษณาหาคนเข้าสำนักละก็ยิ่งมิใช่เป็นผู้มีความรู้ดี ขอให้ผู้คนโปรดเข้าใจไว้ด้วย!
หยางเซิง : ท่านอาจารย์สู้อุตส่าห์พร่ำสอน วิตกกังวล ประการหนึ่ง เพื่อปลอบเตือน ประการที่สอง เพื่อให้แต่ละศาสนา แต่ละนิกาย มีความสุขุมคัมภีรภาพ ไม่ยกตนข่มท่าน ที่กล่าวมาทั้งหมดเพื่อความยุติธรรมเพื่อให้เข้าใจถึงธรรมะ สมเป็น “พระกัมมัฏฐานจี้กง” ที่แท้จริงซึ่งเป็น “กัมมัฏฐานแท้”
อรหันต์จี้กง ! หากดำรงสภาพจิตให้เป็นกลางแล้วทำสมาธิจึงสามารถเข้าถึงความมีสติ ขณะที่นั่งจะต้องสำรวจสภาพจิตของตนเองอย่างเคร่งครัด ว่ามีความคิดเห็นที่บริสุทธิ์หรือไม่หวนพิจารณาถึงวิทยายุทธ์ ขจัดอกุศลจิตทั้งปวงให้หมดไปขจัดความหลงติดภายในจิตให้สิ้น การทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นวิถีทางที่ถูกต้องของการนั่งสมาธิ หากไม่ขจัดอกุศลจิตไม่งดเว้นการทำบาปแล้วไปทำสมาธิ ก็ได้แต่สร้างภาพพจน์ภายในกายเนื้อเท่านั้น ซึ่งไม่อาจประสบความสำเร็จได้การที่คิดจะเอานิรมิตของฟ้าดิน ซึ่งอาตมาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ลองดูว่าตอนที่มีลมฝนพัดมานั้น ผู้ที่นั่งสมาธิไม่สามารถนั่งที่กลางแจ้งเพื่อสู้กับลมฝนได้ ไม่เพียงไม่สามารถเอานิรมิตแล้วยังต้องหลบนิรมิตอีก สภาพการนั่งแล้วเกรงลมพัดเกรงเสียงอีกทัก (คงจะเป็นเพราะผู้ทำสมาธิมีพลังไม่แกร่งกล้า) แสดงให้รู้ว่า อันนี้เป็นการฝึกฝนร่างกายและวิธีฝึกพลังสติทำให้ร่างกายแข็งแรง สามารถสร้างบุญก่อกุศล เป็นคนดีเท่านั้น ต้องถือสภาพจิตที่บริสุทธิ์ จึงสามารถขึ้นสู่สวรรค์ได้ดังนั้น ขอให้พินิจพิจารณาคำพูดจากใจของอาตมาให้ดี ใช้เหตุผลและปัญญาเพื่อสร้างทางอริยะของตนเอง ถึงแม้ว่ามรรคหลายเส้นทางก็คล้ายๆกัน แต่ถ้าไม่ดูทิศทางให้ขัดเจนทำให้บางครั้งยิ่งเดินยิ่งห่างไกลจากจุดประสงค์ ถนนคือทางที่ตนเดินออกมา ขอให้เข้าใจธรรมและทิศทาง อย่าหลับหูหลับตาคล้อยตามไป!
หยางเซิง : มหาสัทธรรมเจริญใหญ่โต พวกมารก็เจริญขึ้นดังนั้น ในสำนักธรรมที่แตกต่างกัน การแก่งแย่งชิงเด่นกันก็นับวันจะมีมากขึ้นทุกขณะ คำพูดของท่านอาจารย์จึงสามารถแก้ไขไกล่เกลี่ยความยุ่งยากต่างๆ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ผ่านด่านแห่งการขัดขวางที่ล้อมรั้วไว้เสียแน่นหนาได้
อรหันต์จี้กง : ถ้าหากยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งกังวล ปัญหายิ่งมากรูปลักษณ์ยุ่งเหยิงนั้น ย่อมแสดงถึงทิศทางที่เดิน (ปฏิบัติ)จะเพี้ยนไปเสียแล้ว! ควรรีบเร่งพิเคราะห์อย่างสงบ ใช้สติปัญญาตัดสินว่าจะดำเนินต่อไปหรือจะถอยหลัง วันนี้ยิ่งรั้งดูเหมือนยิ่งไปไกลเสียแล้ว เห็นทีจะต้องลงจากเขาเสียที!
หยางเซิง : ไม่ขึ้นนั่งบนบัวอาสน์กลับ แล้วจะลงเขาอย่างไร?
อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า ! ขึ้นเขาง่าย ลงเขายาก ข้างล่างเป็นปากเหวใหญ่ หากพลั้งเผลอก็คงจะหล่นลงเหวแน่ ถึงตอนนั้นก็คงไม่รู้จะได้โผล่ขึ้นมาอีกเมื่อไร คืนนี้เราจะไปที่โรงงานไปสัมภาษณ์ญาติธรรมผู้หนึ่ง
หยางเซิง : ทำไมต้องไปถึงโรงงานด้วยล่ะ?
อรหันต์จี้กง : เพราะเป็นวาระโปรดสัตว์ ไม่ว่าจะที่แห่งไหนก็มีผู้เรียนพุทธธรรม มีพุทธบุตรอยู่ก็เหมือนการปฏิบัติไม่อาจขาดคุณธรรมแปด มีหลายคนคิดจะบรรลุธรรมะสวรรค์แต่ก็ละทิ้งมนุษยธรรมไป ก่อให้เกิดปัญหาแก่ครอบครัวและสังคม ซึ่งไม่ใช่เป็น “เส้นทางอริยะ” ซึ่งอาตมามีความรับผิดชอบอย่างมาก จึงขออาศัยโอกาสอันนี้ชักจูงศิษย์รักให้รู้จักค้นหาสัจธรรม ซึ่งง่ายต่อการโปรดสัตว์ เจ้าหยางเซิงขึ้นบนอาสน์ซิ!
หยางเซิง : ขอรับกระผม! กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางเถิด!
อรหันต์จี้กง : ถึงแล้ว
หยางเซิง : ลงจากบัวอาสน์ มองเห็นโรงงานทอผ้า ที่นี่เป็นที่ไหนกันขอรับ!
อรหันต์จี้กง : ที่นี่เป็นเขตท่อฮึ้ง โรงงานทอผ้าแห่งนี้มีพนักงานทำงานกัน 3 กะ เพราะฉะนั้น กลางคืนจึงมีคนทำงานอยู่ด้วยข้างในมีญาติธรรมหญิงผู้หนึ่งที่ปฏิบัติธรรมมานาน กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น เราเข้าไปข้างในกัน!
หยางเซิง : มียามอยู่หน้าประตู เราก็มิใช่พนักงานในบริษัทนี้ไม่มีบัตรผ่านประตู จะเข้าไปได้อย่างไรกัน?
อรหันต์จี้กง : เรามาด้วยธรรมกาย พวกเขามองไม่เห็นหรอกเราเข้าไปเถิด
หยางเซิง : ขอรับ! ตามท่านอาจารย์เข้าไปในโรงงาน เห็นพนักงานจำนวนประมาณ 20 คน กำลังดูแลเครื่องจักรอยู่มีอยู่ผู้หนึ่งหน้าตาหมดจด ลักษณะสงบเสงี่ยม บนศีรษะของหล่อนมีวงรัศมีที่เจิดจ้า แผ่รังสีเป็นเส้นสีทอง 3 สายคงจะต้องเป็นคนนี้แน่ๆ ที่เป็นนักปฏิบัติธรรม!
อรหันต์จี้กง : พลังสายตาของเจ้าแกร่งกล้าขึ้นมาก หล่อนเป็นผู้มีศรัทธา หมั่นในการปฏิบัติธรรม แล้วก็ได้ทานเจมา 3 ปีแล้ววันนี้เราจะมาสัมภาษณ์หล่อนกัน
หยางเซิง : เธอกำลังใช้แรงงานอยู่คงไม่รู้ว่าเรามา แล้วจะสัมภาษณ์หล่อนได้อย่างไรกัน?
อรหันต์จี้กง : ข้ามีหนทาง อาตมาจะใช้พัดนี้โบกที่ศีรษะครั้งเดียวเพื่อชักนำวิญญาณหล่อนให้มาคุยกับเรา ... ดูอาตมาแสดงซิ..
หยางเซิง : ท่านอาจารย์เอาพัดเคาะที่ศีรษะหล่อนหนึ่งที หล่อนรู้สึกสะดุ้งเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ลักษณะดูอืดอัดบ้าง
อรหันต์จี้กง : เธอรู้สึกงัวเงีย เหมือนกับถูกสะกดให้หลับปานนั้นข้างๆ ร่างของหล่อนก็มีร่างๆ หนึ่งค่อยๆ แยกออกมา ลักษณะเหมือนกันราวกับแกะ (เหมือนฟ้ายังมีฟ้า นอกกายยังมีกายอีก) ตอนนี้วิญญาณของหล่อนก็สามารถพูดคุยกับเราได้แล้ว
หยางเซิง : หลังจากที่หล่อนถูกท่านอาจารย์ปลุกเสก ฉับพลันก็เกิดมีคนเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งออกมา น่าอัศจรรย์จริงๆ นะครับวิญญาณหล่อนกำลังจ้องมองมายังเรา หล่อนทำท่าทางฉงนฉงาย!
อรหันต์จี้กง : อาตมาคือพระจี้กง ส่วนเขาคือคนทรงแห่งเมืองไถ่ตง รู้สึกชื่นชมการปฏิบัติธรรมของเธอ จึงได้มาเยี่ยมเยือน
คุณหนูลิ้ม : ที่แท้คือท่านพระจี้กง และคุณหยาง ฉันเองก็เป็นผู้อ่านหนังสือ นิตยสารของสำนักท่าน วันนี้ได้พบกับท่านทั้งสอง รู้สึกเป็นบุญมากที่ได้รับความกรุณาจากท่าน
อรหันต์จี้กง : วันนี้มาเยี่ยมเยือนเธอ ก็เพราะต้องการแผยแผ่คุณงามความดีของเธอให้ชาวโลกล่วงรู้ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เห็นความผิดพลาดของตนเอง แล้วปรับปรุงตัวได้ถูกต้องขึ้น
คุณหนูลิ้ม : สิ่งที่หนูยึดมั่นก็คือ ความศรัทธา นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมากมายนัก ท่านพระจี้กงยกย่องมากเช่นนี้ หนูรู้สึกไม่สบายใจ!
อรหันต์จี้กง : ปัจจุบันการปฏิบัติธรรมต้องมีคุณธรรมแปดเธอทำงานในโรงงานก็จริง เพราะมีความจงรักภักดีในบริษัทอย่างเช่น การทำงานในวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุด คนส่วนใหญ่ก็มีนัดออกไปนอกบ้าน ดูหนังฟังเพลง ไม่มีใครคิดอยากจะทำพิเศษ บ้างก็ไปวัดไปฟังธรรม ก็ยังไม่ยอมทำงานพิเศษถึงแม้ว่าเจ้าของโรงงานจะขอร้องพนักงานให้ช่วยเหลือกันหน่อยก็มิใช่จะได้รับความร่วมมือได้ง่ายนัก เพราะบริษัทต้องส่งสินค้าตามกำหนด ถ้าไม่ทันบริษัทเสียหาย อาจถึงขั้นปิดกิจการพวกพนักงานทั้งหมดก็ตกงาน ถึงตอนนั้นทุกคนคงลำบากถึงแม้ทุกคนต้องการเวลาส่วนตัวบ้างก็จริงอยู่ แต่ในทางมนุษยธรรม การเสียสละเวลาส่วนตัวบ้างนี้จึงเป็นการแสดงถึงคุณธรรมในข้อที่ว่า ความจงรักภักดี (รักชาติ) ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งในสังคมปัจจุบัน แม้ในสวรรค์ พุทธ เทพ ต่างก็สรรเสริญ ถึงแม้ผู้ปฏิบัติธรรมต้องถือธรรมะยิ่งใหญ่ แต่ในสังคมก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ตนให้สมบูรณ์ยิ่ง มิฉะนั้นก็จะละอายใจที่ขาดมนุษยธรรม สักแต่ว่ามีความรู้ธรรมเต็มภูมิก็จริง แต่เสมือนสูญเปล่า แล้วเช่นนี้จะเรียนธรรมะไปไย? สิ่งเหล่านี้มักถูกสังคมมองข้ามไป จึงมันถูกมองไปในแง่อคติควรรีบแก้ไข เพราะฉะนั้น หวังว่าผู้ที่มีธรรมในใจควรสำรวจตนเองด้วยความสงบเพื่อหมดคำครหา โดยเข้าใจผิดว่าผู้ปฏิบัติธรรมคือผู้ที่ “งมงาย” ซึ่งไม่เหมาะกับสังคม เพราะถือความคิดของตนเอง ดังนั้น คุณค่าของธรรมะจึงถูกเหยียดหยามโจมตี ซึ่งก่อให้เกิดเรื่องไม่ดีงามใช่ไหม? คุณหนูลิ้มต่างจากบุคคลอื่น การปฏิบัติธรรมที่ไม่เสียหายต่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น การปฏิบัติของเธอจึงถูกยกย่องรัศมีของจิตจึงสว่างไสวยิ่ง หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คือการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ผิดกับผู้ที่รู้จักฟังธรรมะ รู้จักอธิบายธรรมะ แต่ไม่อาจปฏิบัติได้ก็เหมือนกับสูญเปล่า ขอให้ชาวโลกโปรดเข้าใจไว้ ละทิ้งความคิดอกุศล หรือไม่ถูกต้องออกไปเสีย หนทางที่จะไปสู่ “เส้นทางอริยะ” ย่อมสดใสแน่นอน
คุณหนูลิ้ม : ท่านอรหันต์จี้กงยกย่องเกินไป หนูก็รับไม่ไหวหนูเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
อรหันต์จี้กง : เพื่อที่จะเชิดชูคุณธรรมที่มีอยู่ จะได้ไม่ต้องลำบากอาตมาจึงต้องเที่ยวแสวงหา เพื่อสร้างสรรค์ความสุขแก่สังคมโลก เพื่อให้มนุษย์มีความสุขกับปัจจัยสี่ พบอยู่ในสังคมที่มีแต่กุศล เป็นสังคมที่ปราศจากปัญหา การจงรักภักดีในบริษัทจงรักภักดีในภรรยา บุตร ก็ทำให้ปัญหาครอบครัวหมดไปเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้ว ความสิริมงคลก็บังเกิดขึ้น สังคมก็คือสวรรค์บนโลกมนุษย์แล้ว คุณหนูลิ้ม เธอจงทำงานต่อไปเถอะ
หยางเซิง : ท่านอาจารย์เอาพัดโบกกลับไปที่ธรรมกายของคุณหนูลิ้มอีกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นภาพของสองคนก็กลับเข้ารวมกันเป็นคนคนเดียว คุณหนูลิ้มก็ดูเหมือนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีก
อรหันต์จี้กง : วันนี้หมดเวลาไปมากแล้ว เตรียมตัวกลับสำนักเถอะ
หยางเซิง : ขอรับ!
อรหันต์จี้กง : ถึงสำนักเซี้ยเต็กตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากบัวอาสน์วิญญาณกลับเข้าร่าง