"นำเที่ยวเมืองนรก"
"ทั่ว 10 ขุมนรก"
ครั้งที่ 1 วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2519
"เที่ยวภูเขาหัวใจชมถ้ำนรก"
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จมาแล้วตรัสในบทกลอนความว่า
อันสวรรค์ นรกนั้น อยู่ในใจ
บุญบาปใคร ล้อมจิตตน มุ่งใฝ่หา
คํ่าคืนนี้ พระจี้กง จะนำพา
ให้หยางเซิง เที่ยวลอยไป บนดอกบัว
อรหันต์จี้กง :เจ้าหยางเซิง คืนนี้เราจะไปเที่ยวเมืองนรก เจ้ามี
ความรู้สึกอย่างไร ?
หยางเซิง :กระผมต้องขอกราบขอบพระคุณในความมหากรุณา
จากสวรรค์ก่อนใดๆ ทั้งสิ้น ที่ท่านได้กรุณาให้โอกาสกระผมไปเที่ยวชมเมืองนรก กระผมมีความรู้สึกปรีดาอันหาที่เปรียบมิได้
อรหันต์จี้กง :สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง อันขึ้นต่อสวรรค์ทักษิณ
ซึ่งมีศิษย์สาวทั้งหลายต่างบำเพ็ญตนพากเพียรในการสร้างบุญกุศล ชักจูงผู้ลุ่มหลง จำหน่ายแจกจ่ายตำรับการกุศลอย่างมากมายมหาศาล เพื่อให้มวลมนุษย์ท่องอ่าน กุศลบุญแผ่คลุมทั่วพิภพ ดังนั้นท่านเง็กเสียงอ๊วง จึงได้ประทานบัญชาให้แต่งหนังสือเรื่อง "เที่ยวเมืองนรก" เพื่อที่จะเปิดเผยความจริงแห่งขุมนรก อันที่จะไปเที่ยวในครั้งนี้ ศิษย์ผู้ร่วมสำนักคนอื่นยังมิได้เคยเที่ยวชมมาก่อน เมื่อเจ้าได้ไปเห็นมาแล้วจงนำไปเผยแพร่อบรมแก่ชาวโลกทั้งหลาย เมื่อก่อนเจ้าก็เคยฝึกฝนในเรื่องการประทับทรง ขณะนั้นอาตมาได้จุติลงสั่งสอน เลยทำให้เราทั้งสองได้กลายเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์จนกระทั่งถึงทุกวันนี้และวันนี้สวรรค์ท่านได้โปรดให้เราแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ก็เพราะรู้ว่าท่านมีอุปนิสัยใจคอที่สัตย์ซื่อเที่ยงตรงของอาตมาสามารถชักนำชาวโลกไปในทางที่ถูกที่ชอบยิ่งนัก และกระตุ้นเตือนให้สร้างแต่บุญกุศล เอาละ…. บัดนี้เราเริ่มออกเดินทางได้แล้ว
หยางเซิง :ขอขอบพระคุณ น้อมรับคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ กระผมเคยได้ยินมาว่าการท่อง เที่ยวเมืองนรกนั้นต่างก็ขี่เทพอาชาหรือโดยสารในดอกบัว แล้วไฉนท่านอาจารย์จึงสั่งให้เดินเท้าเล่า ?
อรหันต์จี้กง :ช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ เจ้าหยางเซิงเอ๋ย อันทางไปนรกนั้นน่ะจะเป็นดีได้อย่างไรๆ แล้วคิดจะห่อเหินเดินอากาศด้วยฤา ? ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปไกลมาก ไปไหนก็ต้องนั่งรถเก๋ง เจ้าคิดจะขับบ้างหรือ ? อันที่จริงนั้นนรกไม่มีทางเข้า มนุษย์นั้นต่างหากที่พาตัวเข้าไปเอง อย่าเพ้อฝันไปเลยเมื่อผ่านพ้นทางทุรกันดารแล้วจึงสามารถขึ้นสู่สวรรค์
หยางเซิง :กระผมว่าอาจารย์ท่านคล้ายเมาเหล้าในยามนี้
อรหันต์จี้กง :ความจริงก็ดื่มมาบ้างแล้ว ในเมื่อฉันรู้แจ้งเห็นจริงต่อสรรพสิ่งของมวลมนุษย์แล้ว ซึ่งจิตใจของคนน่าสะพรึงกลัวมากนัก ยากที่จะชักจูงให้ตลอดรอดฝั่งได้ ทำให้ฉันเสียใจเป็นอย่างยิ่งก็เลยอาศัยสุรายาเมา เพื่อกลบเกลื่อน ฉันว่าเจ้าก็ควรดื่มเสียบ้างให้รู้แล้วรู้รอดไป ให้มันเมาดับจิตเสียเลย
หยางเซิง :กระผมดื่มเหล้าไม่เป็น ท่านอาจารย์ล้อเล่นเก่งจังเลย
อรหันต์จี้กง :เอาละ เวลามีจำกัดฉันจะเสกบัวช่อหนึ่ง เพื่อเป็นยานพาหนะเดินทางของเรา
หยางเซิง :ท่านอาจารย์มีอิทธิฤทธิ์ล้นฟ้า พอเสกคาถาจบบัวขาวช่อหนึ่งก็โผล่ขึ้น แต่ว่าเท้ากระผมไม่สะอาดพอ ไม่กล้าเหยียบย่ำขึ้นบนดอกบัว
อรหันต์จี้กง :หากว่าจิตใจเจ้าสะอาดพอแล้ว ก็ไม่เป็นปัญหาอันใด คำสุภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า "ดอกบัวนั้นเติบโตจากตมเลน แต่ก็ไม่มีสิ่งเปรอะเปื้อนติดอยู่เลย"
หยางเซิง :ถ้างั้นกระผมก็ลองเสี่ยงดูสักครั้ง กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จะไปทางไหนกัน
อรหันต์จี้กง :ปิดตาของเจ้าทั้งสองเสีย ฉันจะนำเที่ยวแล้วละ
หยางเซิง :ขอรับ กระผม
อรหันต์จี้กง :เจ้าลืมตาได้แล้ว
หยางเซิง :ที่นี้คือแห่งหนตำบลใด ? ทำไมตรงหน้ามีภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง และบนผนังหินนั้นมีตัวอักษรว่า "ภูเขาขั้วหัวใจ" ส่องแสงแพรวพราวตระการตา
อรหันต์จี้กง :ภูเขานั้นแหละชื่อ "ภูเขาขั้วหัวใจ" เดินขึ้นไปบนภูเขาก็จะเป็นประตูสวรรค์ เจ้าเห็นไม่บ้างไหมข้างภูเขานั้นมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง มองดูมืดมิดไม่จรดก้นถ้ำ ถ้ำนี้แหละคือ ถ้ำนรกชาวโลกผู้มีจิตใจสุจริตซื่อตรง เมื่อสิ้นลมปราณแล้วก็จะได้ขึ้นสู่บนภูเขานี้ ถ้าหากเป็นคนจิตใจชั่วร้ายทำเวรสร้างบาปเมื่อตัวตายแล้ววิญญาณล่องลอยมาถึง ณ ที่นี้ เมื่อเห็นตัวหนังสือ "ภูเขาขั้วหัวใจ" ที่ส่องแสงระยิบระยับ นัยน์ตามักมักจะเบิกออกยาก ในขณะที่ไม่ทันจะตั้งตัว ก็ต้องตกลงไปในถ้ำนรกอันลึกล้ำนั้น ดังนั้นนักปราชญ์โบราณ ท่านจึงกล่าวไว้ว่า "จิตเป็นทั้งสวรรค์และเป็นทั้งนรก" ล้วนขึ้นอยู่กับความรู้สึกผิดชอบบุญบาปวูบหนึ่งเท่านั้นเอง
หยางเซิง :ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง คนเราจะเลือกทางไปสวรรค์หรือนรกก็ย่อมจะได้ คนจะเป็นเทวดาก็ได้ เป็นผีก็ได้
อรหันต์จี้กง :คืนนี้เวลาจำกัดมาก เราเที่ยวชมเท่านี้ก่อนเถิด รีบขึ้นนั่งบนดอกบัวเสีย
หยางเซิง :ขอรับ กระผม
อรหันต์จี้กง :ปิดตาเร็ว มิฉะนั้นตาของสามัญปุถุชนจะทนต่อลมเย็นที่เชือดเฉือนโชยมาได้ยาก
อรหันต์จี้กง :ปิดตาเร็ว มิฉะนั้นตาของสามัญปุถุชนจะทนต่อลมเย็นที่เชือดเฉือนโชยมาได้ยาก
หยางเซิง :ขอรับ กระผม ลมจัดมาก กระผมทนไม่ไหวแล้ว
อรหันต์จี้กง :ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว
หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม