ครั้งที่ 10 พระโพธิสัตว์อธิบายถึงความสำคัญของการสวดพุทธนามในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 4  วันที่ 15  ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2527) พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ

อันหนังสือ จาริกแดน สุขาวดี ย่อมประพันธ์ สำเร็จได้

พุทธนาม ท่องสวดไว้ พ้นเวียนว่าย ได้ไปเกิด แดนสุขา

เหตุปัจจัย อันยิ่งใหญ่ โปรดรากบุญ สามระดับ โดยทั่วหน้า

ยุคปลายธรรม แล้วหนา รีบลงแส้ ปฏิบัติ เร่งบำเพ็ญ

 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! หลายเดือนมานี้จาริกแดนสุขาวดีประพันธ์หนังสือ เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจถึงสภาพลักษณะโดยรวมอันแท้จริงของแดนสุขาวดีอย่างชัดเจน  ถึงแม้ว่าอาตมาจะต้องแบกภาระหนักแต่ก็รู้สึกว่ามีคุณค่ามีความหมายเป็นอย่างยิ่ง

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์มีจิตใจที่เสมอภาคเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ  คนอื่นๆล้วนเห็นแก่ลัทธินิกายของตัวเอง  ยึดแต่ฝ่ายของตัวเอง  พระอาจารย์มีน้ำใจเปิดกว้างให้กับทุกฝ่าย  อนุเคราะห์ผู้อื่นอย่างแท้จริง  มิน่าล่ะใครๆถึงได้เรียกพระอาจารย์ว่า “จี้กง”   แต่ศิษย์ว่าพระอาจารย์จัดการเรื่องราวต่างๆด้วยจิตใจที่เปิดเผยตรงไปตรงมาสมกับที่ผู้บำเพ็ญท่านหนึ่งในศาสนาหนึ่งยกย่องพระอาจารย์ว่าเป็น “光明磊落佛 กวงหมิงเหล่ยลั่วฝอ”

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักพูดจาประจบประแจงอาจารย์เป็นด้วยนะนี่

ไฉ้เซิง : รึไม่จริง ? 

พุทธจี้กง : แท้จริงแล้วการบำเพ็ญเดิมทีก็คือการมีจิตใจที่เสมอภาคไม่เห็นแก่ตัว  ถ้าหากว่าไม่พูดถึงหลักธรรม  พูดแต่เรื่องถูกผิด  เอาแต่โต้เถียงกัน  คนประเภทนี้ไม่ใช่คนที่จะส่งเสริมธรรมให้เผยแพร่ขยายออกไป  กลับกลายเป็นการสร้างวจีกรรมอีกด้วย  วันนี้เราสองคนได้รับพระโองการให้ประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดี  คุณค่าและความหมายของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้ก็คือเพื่อแนะนำให้บุคคลทั่วไปรวมถึงผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมได้รู้จักแดนวิสุทธิภูมิเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง  ให้พวกเขาได้รู้จักวิธีการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธี  แล้วจะใส่ร้ายป้ายสีทำลายชื่อเสียงความสำเร็จของผู้อื่นเพียงเพื่อความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้อย่างไร ?

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้อง  เอาสิ่งดีๆบอกต่อกับผู้อื่น  ให้ผู้อื่นได้ร่วมกันแบ่งปันสิ่งดีๆ  ให้ผู้อื่นได้รับสิ่งดีๆ  ตัวเองก็รู้สึกมีความสุข

พุทธจี้กง : งั้นพวกเราเริ่มออกเดินทางกันเถอะ

ไฉ้เซิง : ครับ ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! กำลังจะออกเดินทางอยู่พอดี  คิดไม่ถึงว่าพระโพธิสัตว์ก็มาอยู่เบื้องหน้าเราซะแล้ว

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ : วันนี้ได้รู้ก่อนล่วงหน้าว่าเมธีจะประพันธ์หนังสือ  ดังนั้นเลยมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง

ไฉ้เซิง : แปลกจัง ! แดนสุขาวดีอยู่ห่างไกลจากที่นี่หมื่นโกฏิพุทธเกษตร  แล้วพระโพธิสัตว์รู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ? 

โพธิสัตว์ : ถึงแม้ว่าแดนสุขาวดีจะอยู่ห่างไกลจากที่นี่หมื่นโกฏิพุทธเกษตร  แต่แดนสุขาวดีกับสหาโลกธาตุแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ร่วมกันภายในอาณาเขตสิบทิศของมหาจักรวาลที่มีแสงรัตนรัศมีอันรุ่งเรืองโชติช่วงสว่างไสว  ดังนั้นขอเพียงชาวโลกมีความคิดที่สว่างไสว  สวดท่องพุทธนามด้วยจิตที่เคารพศรัทธาจริงใจ  พระพุทธะโพธิสัตว์ย่อมรับรู้ได้

ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้

โพธิสัตว์ : นับตั้งแต่ประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดีเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สิบแล้ว  สภาพลักษณะโดยรวมส่วนใหญ่ก็แนะนำไว้ในหนังสือแล้ว  หากชาวโลกยังไม่คิดที่จะสวดท่องพุทธนาม  ต่อให้เมธีเอาต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในแดนสุขาวดีมาอธิบายให้ละเอียดก็ไม่มีประโยชน์

ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์พูดได้มีเหตุผล  ตอนนี้ชาวโลกล้วนเห็นแก่ผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก  พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าการสวดพุทธนามต้องรอให้ตายแล้วถึงจะมีประโยชน์  ดังนั้นพวกเขาเลยคิดว่างั้นเดี๋ยวรอให้ใกล้ๆจะตายก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวค่อยสวด

โพธิสัตว์ : ยามปกติไม่สวด  รอจนใกล้จะตายแล้วเพิ่งจะมาสวด  ถึงตอนนั้นคิดอยากจะสวดก็สวดยากแล้ว

ไฉ้เซิง : พูดได้ถูกต้อง

โพธิสัตว์ : ความจริงแล้วประโยชน์ของการสวดพุทธนามนั้นมีมากมาย  จงอย่าเข้าใจผิดคิดว่าตายแล้วถึงจะมีประโยชน์  พึงรู้เถิดว่าพระพุทธะคือราชาแห่งแพทย์  ดังนั้นคนที่มีร่างกายเจ็บป่วยทำไมไม่ลองสวดพุทธนามดูล่ะ

ไฉ้เซิง : ยังไงครับ ?

โพธิสัตว์ : เพราะว่าการสวดพุทธนามสามารถทำให้ความคิดรวมเป็นหนึ่ง  ขจัดความคิดเพ้อฝัน  เจ้าดูสิ  ชาวโลกมักจะมีความคิดที่เพ้อฝันฟุ้งซ่านวุ่นวาย  ความคิดเหนื่อยล้า  ทำให้นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน  กลายเป็นโรคจิตเภท  โรคประเภทนี้ก็คือโรคจิต  โรคจิตเป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หาย  มีเพียงการสวดพุทธนามจึงสามารถรักษาโรคจิตได้  เพราะว่าการสวดพุทธนามสามารถรวมความคิดให้เป็นหนึ่ง  นำจิตที่ฟุ้งซ่านกลับมารวมเป็นหนึ่ง  ก็สามารถรักษาโรคจิตได้เอง  ก็เหมือนดั่งที่จงฟงกั๋วซือกล่าวไว้ว่า “พุทธนามก็เหมือนดั่งดวงแก้วใส  ความคิดเพ้อฝันของเวไนยก็เหมือนดั่งน้ำขุ่นที่อยู่ในสระ  เมื่อโยนดวงแก้วใสลงไปในน้ำที่ขุ่น  ย่อมทำให้น้ำที่ขุ่นอยู่ตกตะกอนกลายเป็นน้ำใส  เมื่อสวดพุทธนามเข้าไปในจิตที่ว้าวุ่น  จิตที่ว้าวุ่นย่อมสำเร็จเป็นพุทธะ”  นี่ก็คือยาที่ดีที่สุดที่ใช้รักษาโรคจิตและเป็นทางลัดที่ดีที่สุดในการสำเร็จเป็นพุทธะ

ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์เมตตา  ถ้าหากว่าคนๆหนึ่งนอนป่วยติดเตียงลุกไม่ขึ้น  ตอนที่ขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเตียง  หรือผู้หญิงที่มีประจำเดือน  หรือว่าตอนขณะที่เข้าห้องน้ำอยู่  สามารถสวดพุทธนามได้หรือไม่ ?

โพธิสัตว์ : ย่อมสวดได้อย่างแน่นอน  พึงรู้ไว้เถิดว่า  พระพุทธะมีมหาเมตตามหากรุณา  ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงส่องผืนปฐพี  พระองค์ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครร่ำรวย  สูงศักดิ์  ยากจน  หรือต่ำต้อย  และเหมือนกับมหาสมุทรที่สามารถรองรับแม่น้ำทุกสายที่ไหลมารวมกันโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าน้ำนั้นจะใสสะอาดหรือเป็นน้ำที่สกปรกโสโครก  เหมือนกับแม่ที่มีความรักความเมตตาและอ่อนโยนต่อลูก  ท่านจะรังเกียจขยะแขยงและทอดทิ้งลูกๆที่ขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดที่นอนของตัวเองได้อย่างไรกัน  ดังนั้นขอเพียงชาวโลกสวดท่องพุทธนามด้วยจิตศรัทธาจริงใจ  สวดพุทธนามด้วยจิตหนึ่งใจเดียว  พระพุทธะจะคิดเล็กคิดน้อยกับความสกปรกที่เปรอะเปื้อนเพียงแค่รูปกายภายนอกของมนุษย์ได้อย่างไร   คนที่เจ็บป่วยยิ่งต้องสวดพุทธนาม  ถ้าหากมีคนช่วยสวดให้ด้วยก็จะยิ่งดี  การสวดพุทธนามยังแบ่งได้ 3 แบบ  1.ใช้ปากสวด   2.ใช้ใจสวด  ซึ่งก็คือการสวดท่องในใจแบบเงียบๆ   3.ใช้การเพ่งมองรูป ระลึกถึงแล้วสวดพุทธนาม  ถ้าหากเป็นขณะที่กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ใจสวดได้  แค่สวดท่องแบบเงียบๆในใจก็พอ  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธะโพธิสัตว์   แต่ว่าวิธีการสวดพุทธนามที่ได้มาตรฐานก็คือในใจระลึกถึงพระอมิตาภพุทธเจ้า  ปากสวดพุทธนาม  หูก็ฟังเสียงสวดพุทธนาม  ให้เสียงสวดพุทธนามได้วนเวียนไปมาอยู่ในใจ  ปาก  และความคิด  เท่ากับ 3 กรรมบริสุทธิ์  เมื่อผ่านไปนานวันเข้า พลังฝีมือความสามารถในการสวดพุทธนามก็ยิ่งล้ำลึก   ใจตนก็คือใจของพุทธะ  จิตตนก็คือจิตของพุทธะ  ย่อมสำเร็จเป็นพุทธะ

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยมักจะเห็นคนจำนวนมากที่พออ้าปากปุ๊บก็หลุดคำหยาบออกมา   เป็นคำที่ไม่สมควรพูดเป็นอย่างยิ่ง

โพธิสัตว์ : ที่ชาวโลกมีพวกสำนวนหรือคำพูดติดปากที่ไม่ดี  นั่นล้วนเป็นเพราะติดต่อคบหากับคนที่ไม่ดี  จึงแปดเปื้อนสิ่งที่ไม่ดีกลับมา  ควรจะแก้ไขกลับตัวใหม่  ถ้าหากเราสามารถเอาคำว่า “อาหมีถัวฝอ” มาเป็นคำพูดติดปากแทนการพูดคำหยาบ  กลับจะทำให้คนอื่นเคารพเราเสียด้วยซ้ำไป  และยิ่งสามารถเป็นการเอาเชื้อที่ดีไปแพร่กระจายให้ติดต่อสู่ญาติพี่น้องมิตรสหาย  ให้พวกเขาได้มีโอกาสสามารถบำเพ็ญปาก  บำเพ็ญใจ  เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพูดหยาบคายในยามปกติของพวกเขา  เมื่อผ่านไปนานวันเข้าคำว่า “อาหมีถัวฝอ” ก็จะกลายเป็นคำพูดที่ติดปากของพวกเขาแทนการพูดคำหยาบ  เช่นนี้ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการฉุดช่วยคนให้สวดพุทธนามมิใช่หรือ ?

ไฉ้เซิง : ใช่ครับ

โพธิสัตว์ : ยังมีอีกนะ  ในยามปกติเมื่อพบเจอกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประสบกับภัยพิบัติ  หากสามารถมีจิตหนึ่งใจเดียวสวดท่อง“อาหมีถัวฝอ”  มีจิตหนึ่งใจเดียวมุ่งตรงต่อพระอมิตาภพุทธเจ้า  เพียงชั่วพริบตาเดียวในขณะที่เกิดอุบัติเหตุเคราะห์ร้ายเสียชีวิต  ก็จะสามารถได้รับพุทธานุภาพปกปักคุ้มครองและพาไปเกิดที่แดนสุขาวดี

ไฉ้เซิง : งั้นอย่างนี้การสวดพุทธนามในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยิ่งมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง

โพธิสัตว์ : ย่อมเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน  ดังนั้นคนที่กำลังใกล้จะตาย  ดีที่สุดให้สวดพุทธนามไว้อยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด  ถ้าหากญาติพี่น้องของเราที่ไปยืนรายล้อมอยู่เบื้องหน้าของคนที่กำลังใกล้จะตายไม่รู้จักการสวดพุทธนามหรือสวดพุทธนามไม่เป็นก็ต้องช่วยสอนเขา  อธิบายข้อดีของการสวดพุทธนามเพื่อไปเกิดแดนสุขาวดีให้พวกเขาได้เข้าใจ  พร้อมทั้งสอนญาติพี่น้องให้ช่วยกันสวดพุทธนามด้วย  ถ้าหากคนที่ช่วยสวดพุทธนามช่วยสวดจนเพลียแรงแล้วก็ต้องสับเปลี่ยนคนมาช่วยสวด  ให้เสียงสวดพุทธนามดังวนเวียนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆอย่าได้ขาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัวของคนที่กำลังใกล้จะตายจะต้องไม่ไปยืนอยู่ตรงหน้าให้คนที่กำลังใกล้จะตายเห็น   ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้คนที่กำลังใกล้จะตายเกิดความอาลัยอาวรณ์  แล้วเสียงสวดพุทธนามก็จะต้องไม่มีท่วงทำนองที่โศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น  มิฉะนั้นผู้ที่กำลังใกล้จะตายก็จะยิ่งโศกเศร้าเสียใจ  หากมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมก็อย่าพูดคุยกันให้วุ่นวาย เพราะจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่กำลังใกล้จะตายทำให้เสียสมาธิจนลืมสวดพุทธนาม  และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อตอนที่วิญญาณออกจากร่างของผู้ตายแล้ว  ในขณะนั้นอย่าได้แสดงความโศกเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าศพของผู้ตาย  เพราะว่าถึงแม้ว่าลมหายใจและชีพจรของผู้ตายจะหยุดลงแล้วก็ตาม  แต่ในช่วงเวลา 10 - 12 ชั่วโมงนี้วิญญาณของผู้ตายจะยังไม่ไปไหนไกลจากร่างของเขา  ดังนั้นวิญญาณยังคงรับรู้และมีความรู้สึกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น  ถ้าหากว่าญาติพี่น้องร้องไห้แสดงความเสียใจ ณ ขณะนั้นทันที  ก็จะทำให้วิญญาณของผู้ตายเกิดความทุกข์ใจ  สับสนทำอะไรไม่ถูก  สูญเสียสัมมาสติอันสว่างไสวไป  เกิดจิตที่ยึดติดลุ่มหลงไม่รู้ตื่นแล้วตกสู่การเวียนว่ายในหกภูมิวิถี

ไฉ้เซิง : โอ้ ! ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายมากเลย   แต่เพราะอะไรการร้องไห้คร่ำครวญของญาติพี่น้องจึงทำให้เสียโอกาสที่จะได้ไปเกิดแดนสุขาวดีล่ะ ?

โพธิสัตว์ : เป็นเพราะคนที่สวดพุทธนาม  ดอกบัวของเขาในสระสัปตรัตนะที่แดนสุขาวดีก็จะเจริญงอกงาม  ถ้าหากคนที่สวดพุทธนามยิ่งมีความขยันในการสวด  ดอกบัวก็จะยิ่งเจริญเติบโต  ยิ่งสร้างบุญสร้างกุศลมาก ดอกบัวก็ยิ่งโตไว  รอจนกระทั่งคนที่สวดพุทธนามใกล้จะหมดสิ้นอายุขัย  พระพุทธะโพธิสัตว์ก็จะถือเอาดอกบัวนั้นลงมาเป็นบัลลังก์บัวรับคนที่สวดพุทธนามกลับไป  คนที่สวดพุทธนามถ้าหากว่าในขณะที่กำลังจะสิ้นอายุขัยยังสามารถมีจิตหนึ่งใจเดียวสวดพุทธนาม  จิตญาณของเขาก็จะเข้ามาอยู่ในบัลลังก์บัว  อย่างนี้ก็ไปเกิดแดนสุขาวดีได้สำเร็จ  แต่กลับกัน  ถ้าหากขณะที่กำลังจะไปเกิดแดนสุขาวดี  ญาติสนิทมิตรสหายร้องไห้โศกเศร้าเสียใจให้กับผู้ตาย  วิญญาณของผู้ตายก็จะถูกรบกวน  ทำให้ชั่วขณะนั้นผู้ตายเกิดความหวั่นไหวในความรักความผูกพัน  จิตใจเกิดความสับสนว้าวุ่น  ทำให้เกิดความคิดที่เลอะเลือน  สุดท้ายก็กลัวว่าวิญญาณของตัวเองจะต้องจากโลกนี้ไป  เลยกลายเป็นวิญญาณที่ล่องลอยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

ไฉ้เซิง : ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์  สภาพเหตุการณ์แบบนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัยของตัวเองด้วยรึป่าว

โพธิสัตว์ : ต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอนอยู่แล้ว  เพราะว่าบางคนนั้น ในยามปกติไม่ได้สวดท่องพุทธนาม  แล้วก็ไม่ได้ผูกบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง  อีกทั้งไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล  ดังนั้นตอนที่วาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง  จึงไม่มีกัลยาณมิตรมาช่วยค้ำจุนส่งเสริม  แล้วญาติพี่น้องเองก็ยึดติดลุ่มหลงไม่รู้จักตื่น  อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้  คิดอยากจะไปเกิดแดนสุขาวดีก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?

โพธิสัตว์ : งั้นเราจะเปรียบเทียบให้เจ้าฟังนะ   พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตามหากรุณา  ก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์อันสุกสว่างบนท้องฟ้า  ชาวโลกที่สวดพุทธนามก็เปรียบเหมือนน้ำในทะเลสาบ  น้ำในทะเลสาบตอนที่ยังไม่กระเพื่อม  ภาพเงาสะท้อนของดวงจันทร์ที่อยู่ในน้ำก็สุกสว่าง  คนสวดพุทธนามที่กำลังจะสิ้นอายุขัยก็เช่นกัน  ขณะที่จิตสงบสวดพุทธนาม ได้รับพุทธรังสีฉายส่อง  พุทธะก็อยู่ตรงหน้า  พุทธะก็อยู่ในใจ   เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม   จิตเชื่อมโยงตอบรับกัน  จึงได้รับพลังแห่งพุทธปณิธานและสามารถได้ไปเกิดแดนสุขาวดี

ไฉ้เซิง : โอ้ ! ที่แท้เป็นเช่นนี้

โพธิสัตว์ : ยังมีอีกจุดหนึ่งที่จะต้องใส่ใจระมัดระวัง  นั่นคือภายในระยะเวลา 10 - 12 ชั่วโมงหลังจากที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตไป  ควรช่วยกันสวดพุทธนามต่อไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งรีบหยุดสวด  อย่างนี้วิญญาณของผู้ตายจึงจะสามารถหลุดพ้นได้  และยังสามารถเพิ่มระดับชั้นการเกิดในดอกบัวให้สูงขึ้นด้วย  ถ้าหากอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย  ดีที่สุดทุกคนในครอบครัวของผู้ตายควรกินเจ 49 วัน  และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  อย่างนี้ก็จะมีประโยชน์เป็นผลดีต่อผู้ตายเป็นอย่างยิ่ง

ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์เมตตาพร่ำสอน  อธิบายอย่างชัดเจน  ช่างดีเหลือเกิน  กราบขอบคุณพระโพธิสัตว์เมตตา

พุทธจี้กง : วันนี้ก็ประพันธ์หนังสือถึงตรงนี้   ไฉ้เซิงวิญญาณกลับเข้าร่าง


รัชภพมหาราช

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

กุลสตรี

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
ทอดมันสามสหาย

ทอดมันสามสหาย

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago
น้ำพริกแห้ง

น้ำพริกแห้ง

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

ข้าวสองทะนาน

1654918052.jpg
mindcyber
11 months ago