ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 4 วันที่ 15 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2527) พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ
อันหนังสือ จาริกแดน สุขาวดี ย่อมประพันธ์ สำเร็จได้
พุทธนาม ท่องสวดไว้ พ้นเวียนว่าย ได้ไปเกิด แดนสุขา
เหตุปัจจัย อันยิ่งใหญ่ โปรดรากบุญ สามระดับ โดยทั่วหน้า
ยุคปลายธรรม แล้วหนา รีบลงแส้ ปฏิบัติ เร่งบำเพ็ญ
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! หลายเดือนมานี้จาริกแดนสุขาวดีประพันธ์หนังสือ เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจถึงสภาพลักษณะโดยรวมอันแท้จริงของแดนสุขาวดีอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าอาตมาจะต้องแบกภาระหนักแต่ก็รู้สึกว่ามีคุณค่ามีความหมายเป็นอย่างยิ่ง
ไฉ้เซิง : พระอาจารย์มีจิตใจที่เสมอภาคเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ คนอื่นๆล้วนเห็นแก่ลัทธินิกายของตัวเอง ยึดแต่ฝ่ายของตัวเอง พระอาจารย์มีน้ำใจเปิดกว้างให้กับทุกฝ่าย อนุเคราะห์ผู้อื่นอย่างแท้จริง มิน่าล่ะใครๆถึงได้เรียกพระอาจารย์ว่า “จี้กง” แต่ศิษย์ว่าพระอาจารย์จัดการเรื่องราวต่างๆด้วยจิตใจที่เปิดเผยตรงไปตรงมาสมกับที่ผู้บำเพ็ญท่านหนึ่งในศาสนาหนึ่งยกย่องพระอาจารย์ว่าเป็น “光明磊落佛 กวงหมิงเหล่ยลั่วฝอ”
พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักพูดจาประจบประแจงอาจารย์เป็นด้วยนะนี่
ไฉ้เซิง : รึไม่จริง ?
พุทธจี้กง : แท้จริงแล้วการบำเพ็ญเดิมทีก็คือการมีจิตใจที่เสมอภาคไม่เห็นแก่ตัว ถ้าหากว่าไม่พูดถึงหลักธรรม พูดแต่เรื่องถูกผิด เอาแต่โต้เถียงกัน คนประเภทนี้ไม่ใช่คนที่จะส่งเสริมธรรมให้เผยแพร่ขยายออกไป กลับกลายเป็นการสร้างวจีกรรมอีกด้วย วันนี้เราสองคนได้รับพระโองการให้ประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดี คุณค่าและความหมายของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้ก็คือเพื่อแนะนำให้บุคคลทั่วไปรวมถึงผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมได้รู้จักแดนวิสุทธิภูมิเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง ให้พวกเขาได้รู้จักวิธีการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธี แล้วจะใส่ร้ายป้ายสีทำลายชื่อเสียงความสำเร็จของผู้อื่นเพียงเพื่อความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้อย่างไร ?
ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้อง เอาสิ่งดีๆบอกต่อกับผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้ร่วมกันแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่นได้รับสิ่งดีๆ ตัวเองก็รู้สึกมีความสุข
พุทธจี้กง : งั้นพวกเราเริ่มออกเดินทางกันเถอะ
ไฉ้เซิง : ครับ ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! กำลังจะออกเดินทางอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าพระโพธิสัตว์ก็มาอยู่เบื้องหน้าเราซะแล้ว
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ : วันนี้ได้รู้ก่อนล่วงหน้าว่าเมธีจะประพันธ์หนังสือ ดังนั้นเลยมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง
ไฉ้เซิง : แปลกจัง ! แดนสุขาวดีอยู่ห่างไกลจากที่นี่หมื่นโกฏิพุทธเกษตร แล้วพระโพธิสัตว์รู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ?
โพธิสัตว์ : ถึงแม้ว่าแดนสุขาวดีจะอยู่ห่างไกลจากที่นี่หมื่นโกฏิพุทธเกษตร แต่แดนสุขาวดีกับสหาโลกธาตุแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ร่วมกันภายในอาณาเขตสิบทิศของมหาจักรวาลที่มีแสงรัตนรัศมีอันรุ่งเรืองโชติช่วงสว่างไสว ดังนั้นขอเพียงชาวโลกมีความคิดที่สว่างไสว สวดท่องพุทธนามด้วยจิตที่เคารพศรัทธาจริงใจ พระพุทธะโพธิสัตว์ย่อมรับรู้ได้
ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้
โพธิสัตว์ : นับตั้งแต่ประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดีเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สิบแล้ว สภาพลักษณะโดยรวมส่วนใหญ่ก็แนะนำไว้ในหนังสือแล้ว หากชาวโลกยังไม่คิดที่จะสวดท่องพุทธนาม ต่อให้เมธีเอาต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในแดนสุขาวดีมาอธิบายให้ละเอียดก็ไม่มีประโยชน์
ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์พูดได้มีเหตุผล ตอนนี้ชาวโลกล้วนเห็นแก่ผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าการสวดพุทธนามต้องรอให้ตายแล้วถึงจะมีประโยชน์ ดังนั้นพวกเขาเลยคิดว่างั้นเดี๋ยวรอให้ใกล้ๆจะตายก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวค่อยสวด
โพธิสัตว์ : ยามปกติไม่สวด รอจนใกล้จะตายแล้วเพิ่งจะมาสวด ถึงตอนนั้นคิดอยากจะสวดก็สวดยากแล้ว
ไฉ้เซิง : พูดได้ถูกต้อง
โพธิสัตว์ : ความจริงแล้วประโยชน์ของการสวดพุทธนามนั้นมีมากมาย จงอย่าเข้าใจผิดคิดว่าตายแล้วถึงจะมีประโยชน์ พึงรู้เถิดว่าพระพุทธะคือราชาแห่งแพทย์ ดังนั้นคนที่มีร่างกายเจ็บป่วยทำไมไม่ลองสวดพุทธนามดูล่ะ
ไฉ้เซิง : ยังไงครับ ?
โพธิสัตว์ : เพราะว่าการสวดพุทธนามสามารถทำให้ความคิดรวมเป็นหนึ่ง ขจัดความคิดเพ้อฝัน เจ้าดูสิ ชาวโลกมักจะมีความคิดที่เพ้อฝันฟุ้งซ่านวุ่นวาย ความคิดเหนื่อยล้า ทำให้นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน กลายเป็นโรคจิตเภท โรคประเภทนี้ก็คือโรคจิต โรคจิตเป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หาย มีเพียงการสวดพุทธนามจึงสามารถรักษาโรคจิตได้ เพราะว่าการสวดพุทธนามสามารถรวมความคิดให้เป็นหนึ่ง นำจิตที่ฟุ้งซ่านกลับมารวมเป็นหนึ่ง ก็สามารถรักษาโรคจิตได้เอง ก็เหมือนดั่งที่จงฟงกั๋วซือกล่าวไว้ว่า “พุทธนามก็เหมือนดั่งดวงแก้วใส ความคิดเพ้อฝันของเวไนยก็เหมือนดั่งน้ำขุ่นที่อยู่ในสระ เมื่อโยนดวงแก้วใสลงไปในน้ำที่ขุ่น ย่อมทำให้น้ำที่ขุ่นอยู่ตกตะกอนกลายเป็นน้ำใส เมื่อสวดพุทธนามเข้าไปในจิตที่ว้าวุ่น จิตที่ว้าวุ่นย่อมสำเร็จเป็นพุทธะ” นี่ก็คือยาที่ดีที่สุดที่ใช้รักษาโรคจิตและเป็นทางลัดที่ดีที่สุดในการสำเร็จเป็นพุทธะ
ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์เมตตา ถ้าหากว่าคนๆหนึ่งนอนป่วยติดเตียงลุกไม่ขึ้น ตอนที่ขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเตียง หรือผู้หญิงที่มีประจำเดือน หรือว่าตอนขณะที่เข้าห้องน้ำอยู่ สามารถสวดพุทธนามได้หรือไม่ ?
โพธิสัตว์ : ย่อมสวดได้อย่างแน่นอน พึงรู้ไว้เถิดว่า พระพุทธะมีมหาเมตตามหากรุณา ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงส่องผืนปฐพี พระองค์ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครร่ำรวย สูงศักดิ์ ยากจน หรือต่ำต้อย และเหมือนกับมหาสมุทรที่สามารถรองรับแม่น้ำทุกสายที่ไหลมารวมกันโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าน้ำนั้นจะใสสะอาดหรือเป็นน้ำที่สกปรกโสโครก เหมือนกับแม่ที่มีความรักความเมตตาและอ่อนโยนต่อลูก ท่านจะรังเกียจขยะแขยงและทอดทิ้งลูกๆที่ขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดที่นอนของตัวเองได้อย่างไรกัน ดังนั้นขอเพียงชาวโลกสวดท่องพุทธนามด้วยจิตศรัทธาจริงใจ สวดพุทธนามด้วยจิตหนึ่งใจเดียว พระพุทธะจะคิดเล็กคิดน้อยกับความสกปรกที่เปรอะเปื้อนเพียงแค่รูปกายภายนอกของมนุษย์ได้อย่างไร คนที่เจ็บป่วยยิ่งต้องสวดพุทธนาม ถ้าหากมีคนช่วยสวดให้ด้วยก็จะยิ่งดี การสวดพุทธนามยังแบ่งได้ 3 แบบ 1.ใช้ปากสวด 2.ใช้ใจสวด ซึ่งก็คือการสวดท่องในใจแบบเงียบๆ 3.ใช้การเพ่งมองรูป ระลึกถึงแล้วสวดพุทธนาม ถ้าหากเป็นขณะที่กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ใจสวดได้ แค่สวดท่องแบบเงียบๆในใจก็พอ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธะโพธิสัตว์ แต่ว่าวิธีการสวดพุทธนามที่ได้มาตรฐานก็คือในใจระลึกถึงพระอมิตาภพุทธเจ้า ปากสวดพุทธนาม หูก็ฟังเสียงสวดพุทธนาม ให้เสียงสวดพุทธนามได้วนเวียนไปมาอยู่ในใจ ปาก และความคิด เท่ากับ 3 กรรมบริสุทธิ์ เมื่อผ่านไปนานวันเข้า พลังฝีมือความสามารถในการสวดพุทธนามก็ยิ่งล้ำลึก ใจตนก็คือใจของพุทธะ จิตตนก็คือจิตของพุทธะ ย่อมสำเร็จเป็นพุทธะ
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยมักจะเห็นคนจำนวนมากที่พออ้าปากปุ๊บก็หลุดคำหยาบออกมา เป็นคำที่ไม่สมควรพูดเป็นอย่างยิ่ง
โพธิสัตว์ : ที่ชาวโลกมีพวกสำนวนหรือคำพูดติดปากที่ไม่ดี นั่นล้วนเป็นเพราะติดต่อคบหากับคนที่ไม่ดี จึงแปดเปื้อนสิ่งที่ไม่ดีกลับมา ควรจะแก้ไขกลับตัวใหม่ ถ้าหากเราสามารถเอาคำว่า “อาหมีถัวฝอ” มาเป็นคำพูดติดปากแทนการพูดคำหยาบ กลับจะทำให้คนอื่นเคารพเราเสียด้วยซ้ำไป และยิ่งสามารถเป็นการเอาเชื้อที่ดีไปแพร่กระจายให้ติดต่อสู่ญาติพี่น้องมิตรสหาย ให้พวกเขาได้มีโอกาสสามารถบำเพ็ญปาก บำเพ็ญใจ เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพูดหยาบคายในยามปกติของพวกเขา เมื่อผ่านไปนานวันเข้าคำว่า “อาหมีถัวฝอ” ก็จะกลายเป็นคำพูดที่ติดปากของพวกเขาแทนการพูดคำหยาบ เช่นนี้ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการฉุดช่วยคนให้สวดพุทธนามมิใช่หรือ ?
ไฉ้เซิง : ใช่ครับ
โพธิสัตว์ : ยังมีอีกนะ ในยามปกติเมื่อพบเจอกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประสบกับภัยพิบัติ หากสามารถมีจิตหนึ่งใจเดียวสวดท่อง“อาหมีถัวฝอ” มีจิตหนึ่งใจเดียวมุ่งตรงต่อพระอมิตาภพุทธเจ้า เพียงชั่วพริบตาเดียวในขณะที่เกิดอุบัติเหตุเคราะห์ร้ายเสียชีวิต ก็จะสามารถได้รับพุทธานุภาพปกปักคุ้มครองและพาไปเกิดที่แดนสุขาวดี
ไฉ้เซิง : งั้นอย่างนี้การสวดพุทธนามในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยิ่งมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
โพธิสัตว์ : ย่อมเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นคนที่กำลังใกล้จะตาย ดีที่สุดให้สวดพุทธนามไว้อยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด ถ้าหากญาติพี่น้องของเราที่ไปยืนรายล้อมอยู่เบื้องหน้าของคนที่กำลังใกล้จะตายไม่รู้จักการสวดพุทธนามหรือสวดพุทธนามไม่เป็นก็ต้องช่วยสอนเขา อธิบายข้อดีของการสวดพุทธนามเพื่อไปเกิดแดนสุขาวดีให้พวกเขาได้เข้าใจ พร้อมทั้งสอนญาติพี่น้องให้ช่วยกันสวดพุทธนามด้วย ถ้าหากคนที่ช่วยสวดพุทธนามช่วยสวดจนเพลียแรงแล้วก็ต้องสับเปลี่ยนคนมาช่วยสวด ให้เสียงสวดพุทธนามดังวนเวียนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆอย่าได้ขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัวของคนที่กำลังใกล้จะตายจะต้องไม่ไปยืนอยู่ตรงหน้าให้คนที่กำลังใกล้จะตายเห็น ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้คนที่กำลังใกล้จะตายเกิดความอาลัยอาวรณ์ แล้วเสียงสวดพุทธนามก็จะต้องไม่มีท่วงทำนองที่โศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น มิฉะนั้นผู้ที่กำลังใกล้จะตายก็จะยิ่งโศกเศร้าเสียใจ หากมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมก็อย่าพูดคุยกันให้วุ่นวาย เพราะจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่กำลังใกล้จะตายทำให้เสียสมาธิจนลืมสวดพุทธนาม และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อตอนที่วิญญาณออกจากร่างของผู้ตายแล้ว ในขณะนั้นอย่าได้แสดงความโศกเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าศพของผู้ตาย เพราะว่าถึงแม้ว่าลมหายใจและชีพจรของผู้ตายจะหยุดลงแล้วก็ตาม แต่ในช่วงเวลา 10 - 12 ชั่วโมงนี้วิญญาณของผู้ตายจะยังไม่ไปไหนไกลจากร่างของเขา ดังนั้นวิญญาณยังคงรับรู้และมีความรู้สึกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ถ้าหากว่าญาติพี่น้องร้องไห้แสดงความเสียใจ ณ ขณะนั้นทันที ก็จะทำให้วิญญาณของผู้ตายเกิดความทุกข์ใจ สับสนทำอะไรไม่ถูก สูญเสียสัมมาสติอันสว่างไสวไป เกิดจิตที่ยึดติดลุ่มหลงไม่รู้ตื่นแล้วตกสู่การเวียนว่ายในหกภูมิวิถี
ไฉ้เซิง : โอ้ ! ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายมากเลย แต่เพราะอะไรการร้องไห้คร่ำครวญของญาติพี่น้องจึงทำให้เสียโอกาสที่จะได้ไปเกิดแดนสุขาวดีล่ะ ?
โพธิสัตว์ : เป็นเพราะคนที่สวดพุทธนาม ดอกบัวของเขาในสระสัปตรัตนะที่แดนสุขาวดีก็จะเจริญงอกงาม ถ้าหากคนที่สวดพุทธนามยิ่งมีความขยันในการสวด ดอกบัวก็จะยิ่งเจริญเติบโต ยิ่งสร้างบุญสร้างกุศลมาก ดอกบัวก็ยิ่งโตไว รอจนกระทั่งคนที่สวดพุทธนามใกล้จะหมดสิ้นอายุขัย พระพุทธะโพธิสัตว์ก็จะถือเอาดอกบัวนั้นลงมาเป็นบัลลังก์บัวรับคนที่สวดพุทธนามกลับไป คนที่สวดพุทธนามถ้าหากว่าในขณะที่กำลังจะสิ้นอายุขัยยังสามารถมีจิตหนึ่งใจเดียวสวดพุทธนาม จิตญาณของเขาก็จะเข้ามาอยู่ในบัลลังก์บัว อย่างนี้ก็ไปเกิดแดนสุขาวดีได้สำเร็จ แต่กลับกัน ถ้าหากขณะที่กำลังจะไปเกิดแดนสุขาวดี ญาติสนิทมิตรสหายร้องไห้โศกเศร้าเสียใจให้กับผู้ตาย วิญญาณของผู้ตายก็จะถูกรบกวน ทำให้ชั่วขณะนั้นผู้ตายเกิดความหวั่นไหวในความรักความผูกพัน จิตใจเกิดความสับสนว้าวุ่น ทำให้เกิดความคิดที่เลอะเลือน สุดท้ายก็กลัวว่าวิญญาณของตัวเองจะต้องจากโลกนี้ไป เลยกลายเป็นวิญญาณที่ล่องลอยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ไฉ้เซิง : ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์ สภาพเหตุการณ์แบบนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัยของตัวเองด้วยรึป่าว
โพธิสัตว์ : ต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าบางคนนั้น ในยามปกติไม่ได้สวดท่องพุทธนาม แล้วก็ไม่ได้ผูกบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง อีกทั้งไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล ดังนั้นตอนที่วาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง จึงไม่มีกัลยาณมิตรมาช่วยค้ำจุนส่งเสริม แล้วญาติพี่น้องเองก็ยึดติดลุ่มหลงไม่รู้จักตื่น อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คิดอยากจะไปเกิดแดนสุขาวดีก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?
โพธิสัตว์ : งั้นเราจะเปรียบเทียบให้เจ้าฟังนะ พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตามหากรุณา ก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์อันสุกสว่างบนท้องฟ้า ชาวโลกที่สวดพุทธนามก็เปรียบเหมือนน้ำในทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบตอนที่ยังไม่กระเพื่อม ภาพเงาสะท้อนของดวงจันทร์ที่อยู่ในน้ำก็สุกสว่าง คนสวดพุทธนามที่กำลังจะสิ้นอายุขัยก็เช่นกัน ขณะที่จิตสงบสวดพุทธนาม ได้รับพุทธรังสีฉายส่อง พุทธะก็อยู่ตรงหน้า พุทธะก็อยู่ในใจ เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม จิตเชื่อมโยงตอบรับกัน จึงได้รับพลังแห่งพุทธปณิธานและสามารถได้ไปเกิดแดนสุขาวดี
ไฉ้เซิง : โอ้ ! ที่แท้เป็นเช่นนี้
โพธิสัตว์ : ยังมีอีกจุดหนึ่งที่จะต้องใส่ใจระมัดระวัง นั่นคือภายในระยะเวลา 10 - 12 ชั่วโมงหลังจากที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตไป ควรช่วยกันสวดพุทธนามต่อไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งรีบหยุดสวด อย่างนี้วิญญาณของผู้ตายจึงจะสามารถหลุดพ้นได้ และยังสามารถเพิ่มระดับชั้นการเกิดในดอกบัวให้สูงขึ้นด้วย ถ้าหากอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ดีที่สุดทุกคนในครอบครัวของผู้ตายควรกินเจ 49 วัน และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างนี้ก็จะมีประโยชน์เป็นผลดีต่อผู้ตายเป็นอย่างยิ่ง
ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์เมตตาพร่ำสอน อธิบายอย่างชัดเจน ช่างดีเหลือเกิน กราบขอบคุณพระโพธิสัตว์เมตตา
พุทธจี้กง : วันนี้ก็ประพันธ์หนังสือถึงตรงนี้ ไฉ้เซิงวิญญาณกลับเข้าร่าง