ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 4 วันที่ 12 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ
ความกว้างลึก ของมหา สมุทรนั้น กบก้นบ่อ บ่รู้ได้
เวไนยทาย ความกว้างใหญ่ ของมหาตรีสหัส ไม่อาจรู้
โลกธาตุ ในมหา จักรวาล สุดคณา เกินคิดดู
กบและคน ต่างไม่รู้ ซึ่งความลับ ในมหา จักรวาล
พุทธจี้กง : ในบ่อน้ำร้างบ่อหนึ่งมีฝูงกบอาศัยอยู่ พวกมันเข้าใจว่าบนโลกนี้ นอกจากบ่อน้ำที่พวกมันอาศัยอยู่นี้ ก็ไม่มีบ่อน้ำบ่ออื่นอีกแล้ว ศิษย์เรา ! เจ้าคิดว่าอย่างไร ?
ไฉ้เซิง : ไม่น่าแปลกใจเลยสำนวนที่ว่า “กบก้นบ่อ” ก็มีที่มาแบบนี้เอง
พุทธจี้กง : ดังนั้น ตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ ก็เปรียบดั่งมหาสมุทร ส่วนโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่ก็เปรียบเหมือนบ่อน้ำ มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกก็เปรียบเหมือนกบที่อาศัยอยู่ในบ่อ
ไฉ้เซิง : เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความลึกล้ำมหัศจรรย์ของจักรวาล จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา
พุทธจี้กง : ยังดีที่วันนี้เราสองคน ในที่สุดก็ได้ช่วยไขปริศนาให้นิดนึงแล้ว
ไฉ้เซิง : แน่นอน ถ้าหากหนังสือท่องแดนสุขาวดีเล่มนี้ประพันธ์เสร็จ ก็เท่ากับทำให้ชาวโลกจำนวนมากได้เข้าใจถึงความลี้ลับของจักรวาล
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงกล่าวว่า “บัณฑิตระดับบนเมื่อได้ฟังธรรมก็จะมุ่งมั่นดำเนิน บัณฑิตระดับกลางเมื่อได้ฟังธรรมจะมีใจใฝ่ธรรม แต่ใจธรรมไม่มั่นคง บัณฑิตระดับล่างเมื่อได้ฟังธรรมก็จะหัวเราะเยาะ”
ไฉ้เซิง : เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่มีบุญเมื่อได้ฟังพุทธธรรมก็จะเกิดความศรัทธาเชื่อมั่น ส่วนคนที่ไม่มีบุญเมื่อได้ฟังพุทธธรรม ไม่เพียงไม่รู้จักรักถนอม ยังใส่ร้ายป้ายสีอีกด้วย คนประเภทนี้ช่างไม่มีบุญเอาซะเลย
พุทธจี้กง : ที่พวกเราสองคนพูดมานี้ พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า ฮ่าๆ ! วันนี้ได้เวลาประพันธ์หนังสือแล้ว ศิษย์เราเจ้ารีบนั่งบัลลังก์บัวเตรียมออกเดินทางกันเถอะ
ไฉ้เซิง : ครับ ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางเถอะ
พุทธจี้กง : เมื่อครั้งที่แล้วพระโพธิสัตว์กำลังจะพูดเรื่องมหาปณิธาน 48 ข้อให้เจ้าฟัง เจ้ายังจำได้หรือไม่ ?
ไฉ้เซิง : จำได้ครับ วันนี้ศิษย์ก็ได้ล้างหูเตรียมตัวมาตั้งใจฟังแล้ว
พุทธจี้กง : ตอนนี้พระโพธิสัตว์มารับเราอยู่เบื้องหน้านั่นแล้ว ศิษย์เรารีบกราบคารวะเร็ว
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี รีบตามเรามาเถอะ
ไฉ้เซิง : ครับ ขอบคุณพระโพธิสัตว์เมตตา
โพธิสัตว์ : เมธีอยากรู้ว่ามหาปณิธาน 48 ข้อของพระอมิตาภพุทธเจ้ามีอะไรบ้างใช่หรือไม่ ?
ไฉ้เซิง : ใช่ครับ
โพธิสัตว์ : เอาล่ะ งั้นตอนนี้เราจะบอกเจ้า
มหาปณิธานทั้ง 48 ข้อของพระอมิตาภพุทธเจ้ามีดังนี้
ปณิธานข้อที่ 1 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากในพุทธเกษตรของข้าพเจ้ายังมี นรก เปรต เดรัจฉาน ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 2 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าหลังจากที่สิ้นอายุขัยแล้ว ยังตกสู่อบายภูมิทั้ง 3 อีก ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 3 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าทั้งหมดไม่มีรูปกายดั่งทองคำบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 4 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า มีรูปลักษณ์อันผิดแผกแตกต่างกัน มีศุภลักษณ์และอัปลักษณ์ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 5 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถบรรลุถึงปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ไม่สามารถล่วงรู้เรื่องราวในอดีตชาติย้อนกลับไปร้อยพันโกฏินยุตะกัป ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 6 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถบรรลุถึงทิพยจักษุ ไม่สามารถมองเห็นพุทธเกษตรต่างๆจำนวนร้อยพันโกฏินยุตะพุทธเกษตร ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 7 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถบรรลุถึงทิพยโสต ไม่สามารถสดับฟังเสียงในพุทธเกษตรต่างๆจำนวนร้อยพันโกฏินยุตะพุทธเกษตร ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 8 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถบรรลุถึงเจโตปริยญาณ ไม่สามารถล่วงรู้ความคิดในจิตใจของเวไนยทั้งปวงในพุทธเกษตรต่างๆจำนวนร้อยพันโกฏินยุตะพุทธเกษตร ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 9 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถบรรลุถึงอิทธิวิธี ไม่สามารถท่องไปในพุทธเกษตรต่างๆเกินกว่าร้อยพันโกฏินยุตะพุทธเกษตรในเวลาเพียงชั่วความคิดแวบเดียว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 10 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ยังมีมิจฉาดำริ คิดเพ้อฝันเลยเถิด ละโมบโลภมากในสิ่งที่ไม่สมควร ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 11 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่มุ่งมั่นบำเพ็ญฌานสมาธิตราบจนกระทั่งดับสิ้นกองกิเลสเข้าสู่นิพพาน ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 12 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากพุทธรัศมีของข้าพเจ้าไม่สามารถส่องสว่างไปถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายจำนวนร้อยพันโกฏินยุตะพุทธองค์ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 13 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากอายุขัยของข้าพเจ้าไม่สามารถยืนยาวเกินกว่าร้อยพันโกฏินยุตะกัป ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 14 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จำนวนอรหันตสาวกในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าจะมีจำนวนมากมายจนไม่สามารถนับคำนวณปริมาณให้ครบถ้วนได้ หากจำนวนอรหันตสาวกในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าสามารถนับคำนวณปริมาณให้ครบถ้วนได้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 15 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า จะมีอายุขัยที่ยืนยาวอย่างไร้ขอบเขตประมาณ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะตั้งปณิธานไปเกิดยังโลกธาตุอื่น เพื่อฉุดช่วยเวไนยและส่งเสริมเผยแพร่พุทธธรรมให้กว้างไกล มิเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 16 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ยังได้ยินได้ฟังเรื่องที่เป็นอกุศล ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 17 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งมีจำนวนนับประมาณมิได้ในอนันตโลกธาตุทั้งสิบทิศไม่สรรเสริญสดุดีในพุทธนามของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 18 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเวไนยสัตว์ทั้งหลายในอนันตโลกธาตุทั้งสิบทิศ สามารถบังเกิดจิตเคารพศรัทธาเชื่อมั่น ปรารถนาจะมาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า แม้นกระทั่งระลึกสวดท่องนามของข้าพเจ้าเพียงสิบครั้ง แล้วไม่อาจได้มาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้ทำอนันตริยกรรมห้าประการ รวมถึงการให้ร้ายพระสัทธรรม ซึ่งเป็นกรรมหนัก (อนันตริยกรรม คือ กรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด มี 5 อย่างคือ 1.ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าแม่ 3.ฆ่าอรหันต์ 4.ใส่ร้ายป้ายสีพระพุทธะ ทรยศหักหลังพระพุทธะ ทำลายร่างกายของพระพุทธะ 5.ทำลายคณะสงฆ์ หรือคณะผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมให้เกิดความแตกแยก)
ปณิธานข้อที่ 19 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเวไนยสัตว์ทั้งหลายในอนันตโลกธาตุทั้งสิบทิศสามารถบังเกิดโพธิจิต บำเพ็ญจิตบ่มเพาะหล่อเลี้ยงธรรมญาณ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล บังเกิดปณิธานความมุ่งมั่นด้วยความศรัทธาจริงใจ ปรารถนาจะมาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ในขณะที่อายุขัยของพวกเขาเหล่านั้นกำลังจะสิ้นลง แล้วข้าพเจ้ากับบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายมิได้ไปปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเพื่อรับพวกเขาเหล่านั้นมาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 20 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเวไนยสัตว์ทั้งหลายในอนันตโลกธาตุทั้งสิบทิศ ได้ยินนามของข้าพเจ้า แล้วมีจิตอันพันผูกระลึกถึงพุทธเกษตรของข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต ดำเนินกุศลคุณธรรมความดีทั้งปวง ศรัทธาอย่างสุดใจ อุทิศบุญกุศลทั้งปวงที่ได้กระทำมาเพื่อขอมาเกิดยังแดนพุทธเกษตรของข้าพเจ้า แล้วความปรารถนานั้นไม่อาจบรรลุผล ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 21 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่มีลักษณะของมหาบุรุษผู้สมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะทั้ง 32 ประการอันสง่างามหมดจดเสมอเหมือนกันทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 22 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายจากพุทธเกษตรอื่นๆที่มาอุบัติยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ย่อมบรรลุถึงความเป็นเอกชาติปฏิพันธ์ได้อย่างแน่นอน (เอกชาติปฏิพันธ์คือโพธิสัตว์ที่มีพันธะเกี่ยวเนื่องกับการเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า) เว้นเสียแต่ว่าผู้นั้นจะมีมูลปณิธานเดิมของตนที่มุ่งหมายจะกล่อมเกลาสั่งสอนฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จึงท่องเที่ยวไปในโลกธาตุต่างๆ บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยา ถวายสักการะบูชาต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงในโลกธาตุทั้งสิบทิศ กล่อมเกลาสั่งสอนเวไนยสัตว์จำนวนมากมายสุดประมาณดั่งเม็ดทรายในมหาคงคานทีให้ตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค หากมิเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 23 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าจะสามารถอาศัยพุทธานุภาพของข้าพเจ้า มีอิทธิฤทธิ์ท่องไปในพุทธเกษตรต่างๆ ถวายสักการะบูชาต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวง อันมีปริมาณมิอาจนับคำนวณโกฏินยุตะได้ โดยใช้เวลาเพียงช่วงหนึ่งภัตกิจ หากมิสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 24 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยามใดที่โพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า อยู่ ณ เบื้องหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ย่อมจะต้องสำแดงกุศลมูลซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งคุณความดี เมื่อปรารถนาสิ่งใดเป็นเครื่องถวายสักการะบูชาต่อพระพุทธเจ้าแล้ว สิ่งนั้นย่อมบังเกิดมีขึ้นสมดั่งใจปรารถนา หากแม้นไม่เป็นไปดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 25 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากโพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าไม่สามารถแสดงธรรมด้วยความเป็นสัพพัญญู ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (สัพพัญญู คือ ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้รู้ทั่ว)
ปณิธานข้อที่ 26 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากโพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าไม่สามารถบรรลุถึงวัชรนารายณกาย ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 27 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทุกสรรพสิ่งในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า จะต้องมีความวิจิตรพิสดาร มีกลิ่นหอมสะอาด มีรูปลักษณ์ที่พิเศษมหัศจรรย์ และไม่สามารถกล่าวถึงจำนวนปริมาณได้ หากแม้นบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้บรรลุทิพยจักษุสามารถใช้ตาทิพย์มานับคำนวณล่วงรู้ถึงนามและจำนวนของสรรพสิ่งในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าได้ครบถ้วนแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 28 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากโพธิสัตว์ทั้งหลายตลอดจนถึงเทพหรือแม้แต่คนที่มีบุญกุศลเพียงน้อยนิดซึ่งเกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถได้รับรู้หรือได้พบเห็นซึ่งลานธรรมและต้นธรรมพฤกษ์ขนาดสูงสี่ล้านลี้อันมีแสงสีมากมายสุดประมาณแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 29 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากโพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าได้อ่าน ได้สวดท่อง หรือได้สาธยายพระธรรมคัมภีร์แล้วไม่สามารถบรรลุถึงปัญญาและปฏิภาณไหวพริบในการกล่าวแก้หรือโต้ตอบได้ทันทีทันควันอย่างแยบคาย ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 30 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากปัญญาและปฏิภาณไหวพริบของโพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าสามารถหยั่งวัดขอบเขตได้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 31 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ความวิสุทธิ์สว่างแห่งพุทธเกษตรของข้าพเจ้าจะต้องรุ่งเรืองโชติช่วงสามารถฉายส่องไปยังบรรดาพุทธเกษตรอื่นๆทั่วทั้งสิบทิศเป็นจำนวนสุดประมาณเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากมิสามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 32 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ตำหนักมณเฑียรสถาน วิหารสูง หอทัศนา สระโบกขรณี (สระบัว) ดอกไม้ ใบหญ้า ต้นไม้ รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ทั้งหมดจะต้องสำเร็จขึ้นจากรัตนชาตินานาและของหอมนับร้อยพันชนิดประกอบกันขึ้นมา ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วโลกธาตุทั้งสิบทิศ เมื่อโพธิสัตว์ได้สูดดมแล้วย่อมจะบำเพ็ญในพุทธจริยา หากไม่สามารถเป็นไปดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 33 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเวไนยสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งหลายทั่วทั้งสิบทิศอันมีจำนวนมากมายสุดขอบเขตประมาณได้สัมผัสรัศมีของข้าพเจ้า ย่อมเกิดความปีติสุข มีกายใจอ่อนโยน มีจิตเมตตาสร้างกุศลความดี แล้วมาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 34 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเวไนยสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งหลายทั่วทั้งสิบทิศอันมีจำนวนมากมายสุดขอบเขตประมาณได้สดับนามของข้าพเจ้า แล้วมิได้บรรลุในอนุตปัตติก ธรรมกษานติ และธารณีอันลึกซึ้ง ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (อนุตปัตติก ธรรมกษานติ คือ ความอดทนเชื่อในธรรมอันไม่เกิดไม่ดับ)
ปณิธานข้อที่ 35 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากสตรีทั้งหลายในอนันตโลกธาตุทั่วทั้งสิบทิศอันมีจำนวนมากมายสุดขอบเขตประมาณนั้น ได้สดับนามของข้าพเจ้า แล้วมีความปีติศรัทธายินดี บังเกิดโพธิจิต เบื่อหน่ายเอือมระอาในกายของสตรี หลังจากที่สิ้นอายุขัยแล้วหากยังได้รูปกายเป็นสตรีอยู่อีก ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 36 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในอนันตโลกธาตุทั่วทั้งสิบทิศอันมีจำนวนมากมายมหาศาลสุดขอบเขตประมาณนั้น ได้สดับนามของข้าพเจ้า เมื่อถึงคราวที่สิ้นอายุขัยแล้ว ย่อมจะบำเพ็ญในพรหมจริยาอยู่เป็นนิจตราบจนสำเร็จพุทธมรรค หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 37 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพเทวาและมนุษย์ทั้งหลายในอนันตโลกธาตุทั่วทั้งสิบทิศอันมีจำนวนมากมายสุดขอบเขตประมาณนั้นได้สดับนามของข้าพเจ้า แล้วทำการกราบนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ น้อมเป็นที่พึ่งด้วยจิตปีติศรัทธายินดี บำเพ็ญในโพธิสัตว์จริยา แล้วเขาผู้นั้นไม่เป็นที่เคารพของเหล่าเทพเทวาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 38 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ปรารถนาเสื้อผ้าอาภรณ์ ย่อมได้เสื้อผ้าอาภรณ์ตามใจนึก ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญไว้ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดีอันเหมาะสมแก่กายและสอดคล้องต่อธรรมนั้นย่อมปรากฏอยู่บนกายได้เอง หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 39 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากเทพและคนที่เกิดในพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ไม่สามารถได้รับความสุขที่เทียบเท่ากับความสุขของภิกษุผู้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 40 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากโพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าปรารถนาที่จะมองดูพุทธเกษตรต่างๆทั่วทั้งสิบทิศ ย่อมมองดูได้ดั่งใจปรารถนา (โดยในต้นรัตนพฤกษ์ล้วนฉายส่องให้เห็นได้ ดุจดั่งกระจกใสที่มองเห็นภาพปรากฏอยู่เบื้องหน้า) หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 41 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆ ได้สดับนามของข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติตราบจนกระทั่งได้บรรลุสู่ความเป็นพุทธะย่อมมีอินทรีย์ที่สมประกอบบริบูรณ์ไม่บกพร่องอัปลักษณ์ หากมีอินทรีย์บกพร่องอัปลักษณ์ไม่สมประกอบบริบูรณ์ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 42 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆ ได้สดับนามของข้าพเจ้า พวกเขาย่อมจะบรรลุถึงความวิสุทธิ์ วิมุตติ สมาธิ และเมื่อดำรงอยู่ในสมาธิจะสามารถถวายสักการะต่อบรรดาพระพุทธโลกนาถเจ้าทั้งหลายจำนวนมากมายสุดประมาณได้ในช่วงเวลาเพียงชั่วขณะจิต โดยไม่ทำให้จิตเสียสมาธิ หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 43 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆได้สดับนามของข้าพเจ้า หลังจากที่พวกเขาสิ้นอายุขัยลงแล้วจะได้ไปเกิดในตระกูลอันสูงศักดิ์ หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 44 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆ ได้สดับนามของข้าพเจ้า พวกเขาจะเกิดอุพเพงคาปีติ บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยา สมบูรณ์พร้อมในรากเหง้าแห่งคุณธรรมความดี หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (อุพเพงคาปีติ คือ ปีติโลดลอยเป็นอย่างแรง ให้รู้สึกใจฟู แสดงอาการหรือทำการบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจ เช่น เปล่งอุทาน เป็นต้น)
ปณิธานข้อที่ 45 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆ ได้สดับนามของข้าพเจ้า พวกเขาจะได้บรรลุในสมันตนุคตสมาธิ และจะตั้งมั่นอยู่ในสมาธิตราบจนกระทั่งได้สำเร็จเป็นพุทธะ เมื่อดำรงอยู่ในสมาธิย่อมได้พบกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายจำนวนมากมายสุดประมาณอยู่เป็นนิจ หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 46 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โพธิสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรของข้าพเจ้าย่อมได้สดับฟังธรรมที่ตนอยากฟังตามใจปรารถนา หากไม่สามารถเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 47 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆ ได้สดับนามของข้าพเจ้า แล้วไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นผู้ไม่ถดถอยในธรรม ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ปณิธานข้อที่ 48 เมื่อข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หากบรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุอื่นๆ ได้สดับนามของข้าพเจ้า แล้วไม่สามารถบรรลุถึงธรรมกษานติประการที่หนึ่ง ประการที่สอง ประการที่สาม และไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นผู้ไม่ถดถอยในธรรมได้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ธรรมกษานติ 1.ความอดทนต่อเสียงดังต่างๆ ขันติที่ตระหนักว่าสรรพสิ่งเป็นของไม่จริงแท้ เหมือนกับเสียงและเสียงสะท้อน 2.ความอดทนที่จะปฏิบัติอนุโลมตามธรรม อดทนเพราะมีความนอบน้อมถ่อมตนคล้อยตามความจริง 3.ความอดทนเชื่อในธรรมอันไม่เกิดไม่ดับ สภาวะที่โพธิสัตว์ได้บรรลุ ซึ่งในขั้นนี้โพธิสัตว์จะเห็นธรรมชาติแห่งธรรม - คัดลอกจากพจนานุกรมพุทธศาสนา จีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย)
หลังจากนั้นท่าน(พระอมิตาภพุทธเจ้า)ก็ค่อยๆเอาปณิธานเหล่านี้ของท่านมาสร้างพุทธภูมิที่ยิ่งใหญ่สง่างาม สำเร็จเป็นแดนสุขาวดี นามของท่าน “อาหมีถัวฝอ”(อมิตาภพุทธเจ้า) ก็ได้รับการชื่นชมสรรเสริญและสวดท่องจากบรรดาโพธิสัตว์ เทพเทวาและเวไนยทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในอนันตโลกธาตุทั่วทั้งสิบทิศ
ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ดังนั้นชาวโลกทั้งหลายควรเชื่อมั่นว่าแดนสุขาวดีนั้นมีอยู่จริง
โพธิสัตว์ : ฮ่าๆ ! ในที่สุดเมธีก็เข้าใจ ตอนนี้พระพุทธจี้กงจะพาเจ้ากลับสำนักแล้ว
พุทธจี้กง : รีบกราบขอบคุณพระโพธิสัตว์สิ พวกเราเตรียมกลับกันได้แล้ว
ไฉ้เซิง : กราบขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ชี้แนะ
โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี เชิญลุกขึ้นเถอะ
พุทธจี้กง : ศิษย์เราเจ้านั่งบัลลังก์บัวให้ดี เตรียมกลับสำนักกัน
ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์กลับสำนัก
พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว วิญญาณกลับเข้าร่าง