สมัยราชวงศ์ชิง นายเซียวบุ้นเตง เป็นนายอำเภอเมืองเอี้ยงโอ้วข้างบ้านมีคุณยายแซ่ซี เป็นหม้ายมานานถึง 30 ปี ลูกชายของนางชื่อเนี่ยมโจ้ว ยังอยู่ในครรภ์สามีก็จากโลกไป เพราะฉะนั้น คุณยายซีจึงเลี้ยงบุตรด้วยความเหนื่อยยากลำบาก จนกระทั่งเนี่ยมโจ้วเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็แต่งสะใภ้แซ่ลี้ แม่ผัวรักลูกสะใภ้ๆ ก็กตัญญู ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่โชคไม่ดี เวลาผ่านไปเพียง 1 ปีเท่านั้น ลูกสะใภ้ก็ป่วยล้มตายไป ที่น่าสงสารก็คือบ้านตระกูลซียากจน เศรษฐกิจของครอบครัวไม่สามารถที่จะแต่งสะใภ้ใหม่อีกคนหนึ่งได้ พวกเขาจึงได้แต่ร้องเรียกสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถจะช่วยเหลือเขาได้ จนกระทั่งก่อนที่จะฝังศพหนึ่งวัน ลูกสะใภ้ที่ตายไปก็ตื่นลุกขึ้นฉับพลันแล้วก็พูดกับคุณยายว่า“ ฉันมาเป็นลูกสะใภ้ของบ้านยายดีแล้ว อย่าร้องให้อีกเลย” คุณยายซีดีใจมากที่ลูกสะใภ้ฟี้นขึ้นมา แต่บุตรชายเนี่ยมโจ้วพูดกับคุณแม่ว่า “เสียงของนางไม่เหมือนภรรยาของข้าเลยสายตาก็ไม่ใช่ ถ้าว่านางคงไม่ใช่ภรรยาข้าที่ฟื้นคืนมา อาจจะเป็นผีสางที่ไหนที่เข้ามาสิงร่างของเธอก็ได้” คนข้างบ้านได้ยินเขาพูดเช่นนี้ต่างพากันหวาดผวา จึงช่วยกันเฝ้าอยู่ข้างๆ เธอ กลัวเธอจะหนีไป
นางยังคงนอนต่อไปอีก 3-4 วัน นอนหลับตาอยู่อย่างนั้น แต่ถ้ามีคนเอาอาหารมาให้นางก็จะรับประทานอย่างคนปกติ พอคุณยายเรียกเธอๆ ก็จะขานรับ แต่ถ้าเป็นสามีจะพูดกับเธอๆ ก็เบือนหน้าหนีไม่พูด ผ่านไป 7 วันเธอก็ลุกขึ้นจากเตียง แล้วล้างหน้าหวีผมแต่งตัวเสร็จแล้วนางก็พูดกับแม่สามีว่า “ฉันแซ่ปึง เป็นชาวเมืองไฮเล้ง อายุ29 ปี ยังไม่แต่งงาน แต่มาป่วยตายเสียก่อน วิญญูาณมาถึงยมโลก ก็ให้พอดีมาพบกับลูกสะใภ้ของท่านแซ่ลี้ ขณะนั้นข้างๆ เธอมีผีเตี้ยหลายตนยืนอยู่ ในจำนวนนั้นมีผีอาวุโสตนหนึ่ง คุกเข่าพูดกับท่านยมบาลว่า “ขออ้อนวอนขอให้ท่านยมบาลปลดปล่อยนางลี้ให้กลับคืนสู่โลกมนุษย์” เห็นท่านยมบาลโกรธมากดุว่า เอาพวกผีเตี้ยไล่ออกไปข้างนอก แล้วสั่งลงโทษตีผีแก่ 20 ที แต่ว่าผีแก่ถูกตี 20 ทีแล้วก็ยังคงร้องขอให้ปล่อยนางลี้กลับคืนไป เขาพูดว่า “ผู้น้อยนับตั้งแต่บรรพบุรุษเรื่อยมาล้วนเสงี่ยมเจียมตน ไม่ได้ทำบาปหนักอะไร เพราะฉะนั้นตามหลักที่ไม่ได้ทำบาปหนัก ที่จะลงโทษให้ตระกูลซีต้องหมดผู้สืบสกุล ภรรยาของผู้น้อยตรากตรำมากมาย จึงสามารถเลี้ยงบุตรชายเนี่ยมโจ้วจนเติบใหญ่ แล้วเพิ่งจะแต่งลูกสะใภ้ มาตอนนี้เธอก็มาป่วยตาย สภาพครอบครัวก็ไม่มีปัญญาจะแต่งสะใภ้ใหม่เพื่อมีลูกสืบสกุล อย่างนี้จะให้ตระกูลซีสิ้นตระกูลหรือ ผู้น้อยกราบขอทานท่านยมบาลช่วยเหลือปล่อยลูกสะใภ้ลี้กลับมนุษย์โลกเถิด เพื่อให้ตระกูลซีสืบต่อไปได้” เมื่อยมบาลฟังแล้ว รู้สึกท่านจะสงบไม่โกรธอีกแล้วเพราะฉะนั้นจึงบอกให้ท่านสุวรรณตรวจสมุดดู เสร็จแล้วก็หันมาพูดกับผีแก่ว่า “ลูกสะใภ้ของเจ้าหมดอายุภัยแล้ว ปล่อยให้กลับไปโลกมนุษย์ไม่ได้ แต่เห็นแกเจ้าขณะมีชีวิตในโลกมนุษย์ก็ไม่ได้ทำบาปหนักอะไร และนางซีก็รักษาจารีตหญิงเลี้ยงลูกกำพร้าจนเติบใหญ่ถือว่าเป็นหญิงสะอาดน่ายกย่อง ถ้าหากปล่อยให้ตระกูลซีจบสิ้นก็ไม่สามารถตักเตือนชักจูงผู้อื่นหันสู่ความดีละทิ้งความชั่วได้ ตอนนี้ก็ให้มีหญิงสาวนางหนึ่งถึงแม้เพิ่งจะตายลง และตอนนี้มีชีวิตก็ชอบทำความดี อาจเรียกนางยืมศพลูกสะใภ้เจ้าให้วิญญาณกลับเข้าร่างอย่างนี้เจ้าก็จะให้ลูกสะใภ้อีกคนหนึ่ง และสามารถมีผู้สืบสกุลได้”
ผีแก่ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งก้มกราบไหว้ไม่หยุด ท่านยมบาลจึงพูดกับฝ่ายหญิงว่า ทีนี้ก็คือพ่อปู่ (พ่อสามี) ของเจ้า ข้าจะพาวิญญาณของเจ้าไปยังโลกมนุษย์เพื่อเป็นผู้มีลูกสืบสกุลซี” และแล้วฉันก็ติดตามผีแก่มาถึงบ้านตระกูลซีและก็ชี้มาที่แม่เฒ่าซีพร้อมพูดว่า“นี่ก็คือ แม่ย่า (แม่สามี) ของเจ้า” แล้วเขาก็พลักฉันล้มลงที่พื้น พอฉันลืมตาขึ้นมา ก็ไม่พบผีแก่แล้ว เห็นแต่แม่ย่ายืนอยู่ข้างตัวฉันนี่แหละเพราะฉะนั้นจึงรู้จักแม่ย่าเพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือฉันไม่รู้จักสักคน พ่อแม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่ ยังมีน้องชายหนึ่งคนอายุเพิ่ง 16 ปีอยากให้คนไปบอกพวกเขาจะได้ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจจนเลยเถิด
แล้วคุณยายซีก็เรียกลูกชายเนี่ยมโจ้วเข้ามา แล้วเล่าเรื่องตามสะใภ้บอกเล่าและที่อยู่ เข้ามุ่งหน้าไปหาก็พบว่าเป็นเรื่องจริง เสร็จแล้วเนี่ยมโจ้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง คนบ้านตระกูลปึงก็พากันมาที่บ้านตระกูลซี เมื่อหญิงสาวปึงแลเห็นพ่อและน้องชาย 2 คนก็โผเข้าจะกอดพ่อร่ำไห้ใหญ่ ทำให้เขาหวาดผวาถอยไป 2-3 ก้าวไม่กล้าเดินต่อเขาพูดว่า “ตามน้ำเสียงก็เหมือนกับลูกสาวของข้าไม่ผิดแต่หน้าตาไม่เหมือน ข้าเองก็คิดไม่ออกแล้ว” หญิงปึงก็พูดกับพ่อพลางร้องไห้ว่า“ หลังจากที่ฉันตาย ก็ได้ยืมศพของนางลี้ฟี้นคืนมาใหม่เพราะฉะนั้นร่างนี้จึงไม่ใช่ร่างกายของฉัน ตอนนี้สามารถพบหน้าพ่อและน้องอีกก็ดีใจมากแล้ว ทำไมพ่อจึงไม่รู้จักฉันล่ะ แล้วคุณแม่ล่ะทำไมท่านไม่มาดูฉันด้วย ถึงตอนนี้ทั้งพ่อและน้องชายยิ่งสงสัยไม่กล้าที่จะยอมรับฉัน ฉันฟี้นมาทำไมสู้ตายไปอีกไม่ดีกว่าหรือ “ตอนที่หญิงปึงร้องไห้หนัก แม่ของเธอได้แอบเรียกคนสนิทแซ่ตั้งมาที่บ้านตระกูลซีด้วย เพื่อให้แอบสังเกตุดูหญิงปึง แต่พอหญิงปึงเหลือบเห็นคุณนายตั้งก็รีบเรียก“ คุณแม่ตั้ง ท่านมาแต่ไหน แม่ฉันมาหาฉันด้วยหรือเปล่า” พอมาถึงตอนนี้ คุณพ่อปึงจึงหายสงสัย ว่านางคือ ลูกสาวของเขาจริงๆ ดังนั้นจึงโอบกอดเธอ แล้วถามไถ่ถึงเรื่องเก่า ๆ และเรื่องทางบ้าน ทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นจึงเชื่ออย่างจริงว่าลูกสาวตายแล้วเกิดใหม่ คุณยายซีก็เลยเชิญให้พ่อลูกอยู่ค้างแรมที่บ้านหนึ่งคืนพอตกกลางคืนก็เรียกให้เนี่ยมโจ้วเข้าห้องพร้อมหญิงปึง แต่นางห้ามไว้ไม่ยอม นางว่า ดิฉันเป็นหญิงตระกูลปึง และก็ยังไม่เคยแต่งงานจะอยู่ร่วมห้องกับคนแปลกหน้าได้อย่างใร ถึงแม้จะยืมศพฟื้นคืนชีวิตก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องให้พ่อแม่ฉันมาจัดพิธีแต่งงานให้ หาฤกษ์หาวันกำหนดแต่งงาน จึงจะเป็นสามีภรรยากันได้ เรื่องนี้ฝืนประเพณีไม่ได้"
คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถูกต้อง พ่อของนางก็สนับสนุนให้ทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้นจึงพาลูกสาวกลับบ้านก่อนแล้วเรียกคุณแม่ให้มาจัดงานแต่งงานที่บ้านตระกูลซี หลังจากกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ งานแต่งงานก็สำเร็จเรียบร้อย ต่อมาอีก 3 ปีก็ได้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง รอถึงลูกชายมีอายุครบ 100 วัน ญาติมิตรต่างพากันมาอวยพร แต่ลูกสะใภ้ก็พูดกับแม่ย่าว่า“ ฉันได้ให้กำเนิดบุตรชายท่านหนึ่งคนแล้ว ทันใดนั้น นางหลับตาแล้วก็ตายไป” คนข้างเคียงก็เล่าต่อๆกันมา เจ้าหน้าที่ยมโลกก็เหมือนข้าราชการบนโลกมนุษย์ ซึ่งก็สามารถเจรจาตกลงกันด้วยเมตตาธรรมเหมือนกันจัดการเรื่องราวเหนือกฎเกณฑ์ได้