ครั้งที่ 30 วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2520
ขุมที่ 5
ตอน ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง
เทพเจ้าหยางเจี่ยนเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า :
หาความลับ ในนรก ถึงขุมห้า
ย่อมเป็นข้า แต่งหนังสือ ช่วยคนรั้น
ชูกิ่งท้อ เหล่าภูตผี สยบพลัน
เตือนกัน ด้วยระฆัง ก้องกังวาน
เทพเจ้า :เนื่องจากวันนี้ท่านอรหันต์จี้กงติดกิจธุระสำคัญไม่สามารถพาหยางเซิงไปท่องนรก ข้าพเจ้าได้รับเทวโองการจากท่านเง๊กเสียงอ๊วงตี่ให้ลงสู่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งพาหยางเซิงท่องแดนนรกด้วยเหตุว่าเลาน้อยมาก เราเตรียมการท่องยมโลกกันเถิด
หยางเซิง :ท่านเทพเจ้าหยางเจี่ยน ที่รบกวนท่านพาเที่ยวในวันนี้รู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้นำสุนัขฟ้าตัวหนึ่งติดตามไปด้วย เพื่ออะไรมิทราบ? ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์จี้กงพากระผมไปด้วยการนั่งบนดอกบัว มิทราบว่าใช้พาหนะอันใดที่ท่านจะพากระผมไปในวันนี้?
เทพเจ้า :ท่านอาจารย์มดอกบัวส่วนผมไม่มี พุทธกับเทพต่างก็มีฤทธิ์เดชด้วยกัน วันนี้เจ้ากับฉันขี่สุนัขตัวนี้ไปด้วยกันเถิด
หยางเซิง :สุนัขเดินได้ช้ามาก ยิ่งกว่านั้นแล้วสุนัขนี้ดุร้ายเหลือกำลัง คนแปลกหน้าเมื่อเข้าใกล้กลัวมันแผลงฤทธิ์จะโดนกัดช้ำไปทั้งตัว
เทพเจ้า :สุนัขนี้มิใช่สุนัขธรรมดา แต่เป็นสุนัขฟ้า เป็นยานพาหนะของฉัน มีฤทธิ์เดชไม่เบาเสียด้วยจะไม่กัดเจ้าให้ช้ำ
หยางเซิง :แต่ว่าสุนัขเดินทางอยู่ในอัตราที่ช้ามาก เกรงว่าจะกระทบต่อการเดินทาง
เทพเจ้า :เจ้าจงวางใจได้ เท้าทั้ง 4 ของสุนัขฟ้าเปรียบเสมือนล้อรถยนต์ 4 ล้อของแดนมนุษย์พอออกเดินอัตราความเร็วไม่แพ้ดอกบัว รีบขึ้นมาเถิด
หยางเซิง :กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านนั่งอยู่ข้างหน้าผม ต้องควบคุมให้ดี มิเช่นนั้นกระผมตกหล่นลงไปแล้ว ก็จะแย่นะครับ
เทพเจ้า :เจ้ารีบหลับตาทั้งสองข้างเร็ว ไม่มีการเกิดอุบัติเหตุหรอกเย็นใจได้
หยางเซิง :มิทราบว่าวันนี้จะไปยังแห่งใด?
เทพเจ้า :วันนี้จะท่อง "นรกขุมที่ 5" เป็นครั้งแรกอย่าถามอะไรอีกเลย เวลามันน้อยมาก เราเริ่มเดินทางเถิด…ถึงแล้วละ รีบลงมาเร็ว
หยางเซิง :หูทั้งสองข้างเพียงแต่ได้ยินเสียงอู้ๆ พริบตาเดียวเท่านั้นก็ถึงยมโลกแล้ว ของเทวดาก็ไม่ผิดแผกแตกต่างจากของพระอรหันต์
เทพเจ้า :เทพกับพุทธที่แท้ก็อันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นเดียวกับผู้คนในแดนมนุษย์ ซื้อรถยนต์ 2 คัน มียี่ห้อต่างกัน ล้วนพูดว่าของตนเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูง แต่ไม่รู้เนื้อแท้ จึงไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดเลว จิตใจคนก็เหมือนเครื่องยนต์ถ้าหากเครื่องยนต์ดีเลิศ บวกด้วยพื้นฐานที่เรียบร้อย เมื่อเล่นไปบนถนนที่กว้างใหญ่ก็จะราบรื่นปลอดภัยไปเอง
หยางเซิง :เทพเจ้าท่านพูดสมเหตุสมผลมาก เบื้องหน้าฝูงชนแออัดยัดเยียดน่าดู ล้วนแย่งกันขึ้นไปบนบันไดหอวิญญาณโทษหญิงชายถูกยมทูตคุมตัวรุดขึ้นหน้าไปแล้ว ยังมีอีกพวกหนึ่งไม่มีใครคุม สีหน้าเบิกบานแย้มระรื่น ปรากฏออกนอกหน้า มิทราบว่าที่นี้คือแห่งใด
เทพเจ้า :ที่นี้คือ "หอส่องบ้านเดิม" วิญญาณโทษเหล่านี้เมื่อตกเข้านรกแล้วจะส่งมอบให้ขุมที่ 5 ในใจคิดว่าจะขึ้นบน "หอส่องบ้านเดิม" ส่องมองดูลูกหลานที่อยู่ในเมืองมนุษย์มีสภาพเป็นอยู่อย่างไรบ้าง จึงอดกลั้นในความเศร้าที่เกิดขึ้นไม่ได้ เลยร้องห่มร้องไห้ตามๆ กัน วิญญาณโทษที่ไม่ได้โดนทำโทษนั้นก็มุ่งมาหอส่องบ้านเดิมด้วยความเบิกบานใจ เพื่อมองดูลูกหลานในโลกมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง
หยางเซิง :ข้างหน้ามีผู้คนหมู่หนึ่งกำลังเดินมา ท่าทีองอาจสง่างามน่าเกรงขาม มิทราบว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากแห่งใด?
เทพเจ้า :ยมบาลเซียมล้ออ๊วงแห่งขุมที่ 5 และข้าราชการบริพารฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ (พลเรือนและทหาร) ทั้งหลาย ได้ลงบันใดมาต้อนรับเราแล้วรีบเข้าไปแสดงความเคารพเถิด
หยางเซิง :กระผมนายหยางเซิง ศิษย์ของท่านกวนอู แห่งสำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตง เนื่องด้วยได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เพื่อปลอบเตือนชาวโลก วันนี้โดยการนำของเทพเจ้าท่าน หยางเจี่ยนเข้ามายังแดนนรก ยังขุมที่ 5 ขอท่าน เซียมล้ออ๊วง โปรดให้ความสะดวก เพื่อที่การแต่งหนังสือนี้ได้ลุล่วงไปโดยสะดวกรวดเร็ว
เซียมล้ออ๊วง :สำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้ง สร้างธรรมในทางชอบไม่น้อยตั้งสำนักประกาศธรรม รับลงทรงแต่งหนังสือ กล่อมเกลากอบกู้ผู้คนนับจำนวนไม่ถ้วน ข้าพเจ้าคุมอำนาจในขุมที่ 5 มีวิญญาณผู้ตายหลายต่อหลายคนเคยได้อ่านหนังสือธรรมคัมภีร์จากสำนักของท่านในแดนมนุษย์ ความผิดพลาดมีน้อย สะสมความดีในแดนนรก ข้าพเจ้าตัดสินให้เขาไปผุดไปเกิดโดยเร็ว หรือจัดตามความชอบให้รับผลสำเร็จธรรมไป
หยางเซิง :ขอขอบคุณท่านยมบาลที่ให้การดูแลช่วยเหลือยิ่ง ผิดถูกประการใดจะได้รับการตัดสินอย่างเที่ยงธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมจึงได้รับอภัยโทษจากท่าน
เซียมล้ออ๊วง :มิต้อง ลุกขึ้นเร็ว ท่านยี่นึ้งซิ้งกุง (นามเดิมของเทพเจ้าหยางเจี่ยน) และท่านหยางเซิงตามข้าพเจ้าเข้าไปพักในปราสาทสักครู่เถิด
เทพเจ้า :เพราะเหตุว่าจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว วันอื่นค่อยเข้าไปรบกวนในปราสาท วันนี้ข้าพเจ้าจะพาหยางเซิงขึ้นไปบนหอส่องบ้านเดิมชมดูสักครั้งก่อน
เซียมล้ออ๊วง :ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ขอหน่วงเหนี่ยวเวลาข้าพเจ้าจะพาพวกท่านขึ้นบนหอส่องบ้านเดิม โปรดตรวจชมให้ละเอียด
หยางเซิง :ขอบพระคุณท่านยมบาลที่ทำการนำทางเอง
เซียมล้ออ๊วง :วิญญาณที่จะผ่านไปทางขุมที่ 5 ต้องผ่านหอส่องบ้านเดิมก่อน เพื่อสอดส่องดูลูกหลานของตนที่อยู่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้น วิญญาณผู้ตายโดยทั่วไปล้วนมีความหลงรัก ห่วงใยลูกหลานในแดนมนุษย์ เช่นนี้แล้วไม่ว่าจะมีโทษหรือไม่มี จึงอยากจะขึ้นไปส่องมองทั้งนั้น
หยางเซิง :อันนี้เป็นนิสัยธรรมดาของผู้คนมี่จะสกัดได้ยากยิ่งจริงๆ เบื้องหน้ามียมทูตคุมตัวผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินผ่านมา ขณะที่ตาแกมมองดูหอนี้นั้น น้ำตาล่วงราวกับสายฝน ร่ำไห้คร่ำครวญมิทราบว่าเนื่องจากเหตุใด?
เซียมล้ออ๊วง :ผู้เฒ่าคนนี้ได้ทำบาปไว้ตอนที่แกมีชีวิตอยู่ จึงต้องมารับโทษยังแดนนรก เวลานี้การลงโทษยุติลงแล้ว (หมดโทษ) มาส่องมองบนหอเมื่อส่องดูลูกหลานแล้ว เห็นว่าไม่มีอาการโศกเศร้าแม้แต่น้อย บ้างก็เฝ้าดูโทรทัศน์ในห้องโถง บ้างก็เล่นกันอยู่ในลานบ้าน ไม่มีการรำลึกคิดถึงบรรพบุรุษเลย ในใจคิดถึงว่าตอนมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองมุทำงานเหมือนวัวเหมือนควายเพื่อพวกเขา คิดแล้วไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จึงเกิดความช้ำใจขึ้น
เทพเจ้า :ตอนมีชีวิตอยู่ถ้าไม่บำเพ็ญธรรมอย่างจริงจังจะหวังให้ลูกหลานมากอบกู้ชักจูงพ้นทุกข์ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งเสียจริงๆ เพราะเหตุว่าลูกหลานบางคนไม่เชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องเหตุและผลเลยแม้แต่นิดเดียว ไหนเลยจะมาทำการเพื่อกอบกู้วิญญาณตน เมื่อวิญญาณตกมาถึงยมโลกซึ่งจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้ว ดังนี้แล้วจึงสร้างบุญทำกุศลไว้ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ให้มากๆ ก็จะปลอดภัยกว่า
หยางเซิง :กระผมเห็นบน "หอส่องบ้านเดิม" ไฉนจึงเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีวี่แววแสดงว่ามีอะไรเลย?
เทพเจ้า :ตาเจ้าน่ะเป็นตาธรรมดาสามัญ ถึงแม้ว่าท่านอรหันต์จี้กงได้เคยพาเจ้าไปอาบใน "สระน้ำสบายใจ" แต่พอนานเข้าฝุ่นแดง (ฝุ่นในโลกียโลก) จับเต็มอีก ดังนั้นตาปุถุชนจึงยากที่จะมองทะลุปรุโปร่งบน "หอส่องบ้านเดิม" สิ่งนี้คือกลไกที่พิสดารอ่อนไหวแยบยลมากเครื่องหนึ่ง แปรเปลี่ยนพลิกแพลงได้สารพัด
เซียมล้ออ๊วง :ฝุ่นแดงมากจับ ตาเลยกลายเป็นตาทราย (ตาเป็นโรคริดสีดวง) จึงมองดูอะไรไม่กระจะชัดแจ้ง ให้ตุลาการฝ่ายบุ้งรีบไปเอาน้ำใสมาให้ท่านหยางเซิงชะล้างให้สะอาดสักครั้ง
บุ้งพัวกัว :ขอรับคำบัญชา ได้เอาน้ำใสมาแล้วเชิญเจ้านายท่านจัดการเถิด
เซียมล้ออ๊วง : เอามาให้ฉัน ท่านหยางเซิงจึงเบิกตาทั้งสองข้างออก ใช้น้ำใสล้างเสีย….
หยางเซิง :ขอบคุณมากที่ท่านได้ประทานน้ำใส ตาทั้งสองเย็นสบายหาที่เสมอเหมือนมิได้จริงๆ ด้วย
เซียมล้ออ๊วง :ขณะนี้ท่านจงมองไปยัง "หอส่องบ้านเดิม" ได้แล้ว
หยางเซิง :โอ้ วิเศษอะไรอย่างนั้น ในหอปรากฏขึ้นซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ของสำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้งอยู่ต่อหน้าต่อตา ศิษย์นักทรงแยกเป็น 2 แถว อารักขาองค์ทรงอย่าเสื่อมใสจริงใจ ร่างกระผมเองก็ยืนอยู่ตรงกลางปราสาท และกำลังประทับทรงเขียนเป็นตัวอักษร เง็กฮือท่งจื้อ (ชื่อของกุมารเทพ) ประคองร่างกระผมไว้ ชูพู่กันเขียนตัวอักษรในถาดทรายอย่างรวดเร็ว ศิษย์ผู้บันทึกคุณเฮ้งศิษย์ผู้ที่คุณลี้ ก็ขีดเขียนอยู่ข้างกาย ศิษย์ผู้อ่านคุณหลินก็อ้าปากอ่านตัวหนังสืออยู่ ราวกับภาพยนตร์ฉันนั้น
เซียมล้ออ๊วง :ความอ่อนไหวพิสดารของ "หอส่องบ้านเดิม" ยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบเสมอเหมือนได้ เง็กฮือท่งจื้อของสำนักท่านใช้ตาทิพย์ถ่ายทอดภาพ โดยประทับทรงอยู่ในกายท่านแล้วถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆ ของท่านที่ท่องเที่ยวในยมโลกเขียนลงบนถาดทราย ดวงตาของเงกฮือท่งจื้อก็เหมือนกับ "หอส่องบ้านเดิม" สามารถมองทะลุทะลวงที่แจ้งที่ลับด้วยแสงทิพย์อย่างปรุโปร่ง
หยางเซิง :ความพิสดารแห่งฟ้าดิน ซึ่งไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ได้เบื้องหน้ามีวิญญาณคนตายอีกตนหนึ่ง วิญญาณนี้มิได้ถูกคุมตัวมีแต่ยมทูตนำทาง ได้เชื้อเชิญให้ส่องมองอย่างมีอัธยาศัยดีมากหลังจากดูแล้วสีหน้าของเขาแสดงออกอย่างชื่นชมยินดี มิทราบด้วยเหตุใด?
เซียมล้ออ๊วง :ผู้นี้ตอนอยู่ในแดนมนุษย์มีจิตใจสุจริตบริสุทธิ์ งดงาม เคยเข้าบำเพ็ญจำศีลในทางธรรม แต่สำเร็จผลได้ไม่มากนัก เพิ่งตายลงไม่นาน ขณะนี้มองเห็นลูกหลานกำลังกราบไหว้อยู่หน้าที่ตั้งศพ จากความกตัญญูของลูกหลานนี้ ทำให้เขาปลื้มปิติจนสะเทือนอารมณ์ เพราะเหตุว่าเขาปลงตกแล้วซึ่งชีวิตของมนุษย์ ถึงแม้ว่าผลสำเร็จนั้นไม่มากนัก แต่ก็รู้ว่าหนีไม่พ้นจากการเกิดการตาย ก็จึงไม่มีการโศกเศร้า จะได้เข้าไปฝึกฝนที่"โรงรวมธรรม" วันหลังจะได้ไปรับตำแหน่งเจ้าต่อ
หยางเซิง :ข้าพเจ้ามีข้อข้องใจอยู่ข้อหนึ่ง ขอเรียนถามท่านยมบาลว่า ไฉนวิญญาณโทษพอมาถึง "หอส่องบ้านเดิม" ล้วนสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ของแดนมนุษย์ แต่ข้าพเจ้ากลับไม่เห็นอะไรเลยเมื่อครู่นี้ ?
เซียมล้ออ๊วง :ก็เพราะเหตุว่าท่านยังเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงยังมีวิญญาณจิตใจเกี่ยวเนื่องกับร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อคือธาตุแจ้งยังไม่หมด จึงไม่สามารถมองทะลุจะแจ้งในเหตุการณ์ของแดนนรกได้หมดสิ้น ร่างกายที่มีเลือดเนื้อของวิญญาณผู้ตายนั้นได้ดับสูญไปแล้ว ทางแจ้งกับทางลับถูกแบ่งออกอยู่คนละฝ่าย วิถีความเป็นอยู่แปรเปลี่ยนลง จึงสามารถอยู่ในทางลับมองเห็นทางแจ้ง และวิญญาณลับนั้นยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้สารพัดอีกด้วย แต่คนในโลกมนุษย์ไม่สามารถทำได้
เทพเจ้า :เพราะเหตุเวลาดึกมากแล้ว ขอขอบคุณท่านเซียมล้ออ๊วงแห่งขุมที่ 5 และข้าราชการทั้งหลาย เราจะกลับสำนักกันแล้ว
หยางเซิง :ขอบคุณท่านยมบาลและเทวทูตทั้งหลายที่ได้ให้ความสะดวก เราจะกลับสำนักแล้ว วันอื่นค่อยมาเยี่ยมคำนับท่านใหม่
เซียมล้ออ๊วง :ให้นายทหารทั้งหลายตั้งแถวส่งท่านกลับ
เทพเจ้า :เจ้าหยางเซิงรีบลงบันไดมาเร็ว
หยางเซิง :ขอรับกระผม มิทราบว่าระหว่างกลางของคิ้วท่านนั้นมีตาอีกตาหนึ่ง มีเพื่อการใด?
เทพเจ้า :ฉันมีตาอีกตาหนึ่ง คือตาสวรรค์ สามปัญญารวมเป็นอันเดียวกัน คือพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวฉายส่องประสานกัน มีอภินิหารสูงมาก จองจับแต่เฉพาะภูตผีปีศาจในแดนมนุษย์เหล่านั้น พวกมันจะขวัญเสียใจสั่นเมื่อมาเจอฉันเข้า
หยางเซิง :ที่แท้มีเดชฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ มีตาหลายใจเสียจริงๆ
เทพเจ้า :เจ้าอย่าได้ดูหมิ่นนะ ผู้ที่มีสายตา (ดีหรือสูง) นั้น ควรที่จะเงยหัวให้สูงขึ้นสักหน่อย มองดูเทพเจ้าเทวดาเบ้องบนเสียบ้าง ความชั่วจะไม่กล้ากล้ำกราย
หยางเซิง :พบกับท่านเทพเจ้าเป็นครั้งแรก มีตาไม่มีแววเสียเปล่า ล้อเล่นนิดหน่อยโปรดอย่าถือโทษ
เทพเจ้า :ไม่ถือๆ รีบขึ้นนั่งบนหลังสุนัขฟ้าเตรียมกับสำนัก
หยางเซิง :กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านเริ่มเดินทางได้
เทพเจ้า :ถึงแล้วสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง
หยางเซิงลง วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม