ทุกข์ทรมานนั่งไม่สำคัญ บรรลุแจ้งแสร้งทำเพี้ยน
เต้าจี้เดินตามพระผู้ดูแลวัดมาถึงห้องหวินถัง ภายในห้อง ทั้งซ้ายขวามีโต๊ะสำหรับขึ้นนั่งทำสมาธิเรียงรายเต็มห้อง มีพระนั่งเต็มไปหมด พระผู้ดูแลวัดก็ชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ แล้วว่า “เต้าจี้! ที่นี่ไม่มีใครนั่ง เธอนั่งที่นี่ได้” เต้าจี้จึงขึ้นนั่งบนโต๊ะตัวนั้น แต่ก็ไม่รู้จะนั่งอย่างไร จึงถามผู้ดูแลวัดว่า “ผมเพิ่งจะเข้ามา จึงไม่รู้ว่าจะนั่งอย่างไร ขอท่านพี่ช่วยสอนด้วย” พระผู้ดูแลวัดว่า “ถ้าเธอไม่รู้ฉันก็จะแนะนำให้ เธอจงฟังดังนี้”
“ไม่ลุกขึ้นและก็ไม่นอน เอวตรงหลังตั้ง ขอขัดสมาธิไว้ ไหล่ตั้งตรง ไม่ห่อไปข้างหน้าคิ้วแบะตาลดต่ำลง มือทั้งสองผสานรองรับกันกระปรี้กระเปร่าคล่องตัว ใจสงบเป็นสุข ลมปราณภายในปากไหลเข้าไม่คายออก ลมหายใจในจมูกหยุดแล้วผ่อนต่อ คงความสะอาด ละความสับสนทั้งปวง อย่าให้เกิดความเกียจคร้าน จะได้ไม่เกิดผิดพลาด ถ้าไม่ขันหลักการทั้งหมดนี้ จึงจะนับว่าเป็นการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง
ฟ้าสางแล้ว เต้าจี้จึงลุกขึ้น มือก็ลูบคลำหัวไป มันปูดขึ้นมาตั้ง 7 – 8 แห่ง พลางร้องว่า “ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ เพิ่งจะนั่งแค่หนึ่งคืน เช้าขึ้นก็หัวโนเต็มหัวแล้ว หากนั่งไปอีกหลายคืน ไอ้หัวนี้จะมีที่ให้ปูดอีกหรือ ทุกข์เสียจริง ๆ!” เป็นเพราะได้ย่างเข้าสู่ธรณีสงฆ์แล้ว จะถอยคืนกลับก็ไม่ได้ ต้องทนต่อไปทนต่อไปอีกสองเดือน สมาธินี่ช่างทุกข์เสียจริง รสชาติสักนิดก็ไม่มี คิดแล้วก็พูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อหวังบรรลุจิต แต่ตอนนี้ได้แต่นั่งเหมือนคนหูหนวกตาบอด เหมือนตอไม้ เมื่อก่อนอยู่บ้าน เหล้ายาปลาปิ้งหอมหวนน่ากิน ใช่เท่าไรก็ไม่หมด พอมาที่นี่ แค่ข้าวกับผักกาดดอง จะกินเพิ่มขึ้นสักครึ่งชามก็ไม่ได้ แล้วจะทนได้อีกสักกี่วัน คงจะต้องขอลาเจ้าอาวาสกลับไปเป็นปุถุชน จะได้ไม่ต้องทนทุกข์อยู่ที่นี่อีก” พอตั้งใจได้เช่นนั้น จึงกระโดดลงจากโต๊ะนั่งสมาธิ วิ่งออกไปข้างนอกที่หน้าประตู พระผู้ดูแลวัดก็เรียกให้หยุด “เธอเพิ่งไปห้องน้ำมา จะออกไปไหนอีก” เต้าจี้ว่า “นักโทษในเรือนจำ ก็ยังต้องปล่อยให้พักให้ว่างบ้าง แต่นี่เป็นแค่ห้องสมาธิ ทำไมจึงคุมกันแน่นหนาอย่างนี้” ผู้ดูแลจนปัญญา จึงพูดว่า “เธอจะไปก็ไป แล้วให้รีบกลับมา” เต้าจี้ไม่ว่ากระไร ออกจากห้องหวินถัง ก็ตรงไปยังห้องเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสกำลังอยู่ในฌาน ทราบเรื่องก่อนล่วงหน้าจึงถอนออกจากฌาน แล้วเดินออกมาข้างนอก ก็พบเต้าจี้ยืนอยู่ตรงหน้า จึงถามเต้าจี้ไปว่า “มาทำไมที่นี่ ไม่ไปนั่งทำสมาธิ” เต้าจี้ตอบว่า “เรียนท่านอาจารย์ศิษย์ไม่สันทัดกับการนั่งสมาธิ ขอให้อาจารย์ปล่อยผมไปเถอะ” เจ้าอาวาสว่า “ครั้งก่อนข้าได้พูดแล้วใช่ไหม การออกบวชนะง่าย แต่การคืนกลับสู่สามัญชนอีก การนั่งสมาธิเป็นก้าวแรกของสงฆ์ ทำไมจึงไม่คุ้นเคยล่ะ” เต้าจี้ว่า “อาจารย์พูดแต่ผลของสมาธิ แต่ไม่พูดถึงทุกข์ของสมาธิ” ขอให้ศิษย์ได้พูดให้ฟังบ้าง
การนั่งสมาธิก็เพื่อต้องการให้จิตแจ้ง แต่ตอนนี้สับสนวุ่นวาย จิตยังไม่แจ้ง ความสงบทำให้เห็นจิต แต่ทุกวันนี้มืด ๆ มัว ๆ ยิ่งไม่เห็นจิต เวลานอนไม่ได้นอน บังคับจนหลังจะหักเอวจะคด เวลายืนก็ไม่ให้ยืน บังคับจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตกค่ำลงเข่างอจนยืดไม่ออก พอยิ่งดึกหนังตาก็หย่อนยกไม่ขึ้น ไม่เอียงไม่ตะแคง แข็งทื่อดั่งตอไม้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ร่างกายเหมือนถูกจองจำพอพลัดตกลงมาหน้าปูดหัวโน ตะกายขึ้นมาได้มือไม้ก็สับสน ทรมานจนจาระไนไม่ถูก ผู้ดูแลก็เพิ่มไม้ตีลงไปอีก บารมีพุทธกว้างใหญ่ ขออาจารย์โปรดช่วยชีวิตศิษย์ด้วย
เจ้าอาวาสหัวเราะว่า “เจ้าพูดเสียจนการนั่งสมาธินั้นดูทุกข์หนักนี่มิใช่เพราะนั่งสมาธิไม่ดี แต่เพราะเจ้ายังไม่รู้รสแห่งสมาธิ รีบไปนั่งใหม่ นั่งจนกว่าจะรู้ในรสของสมาธิ เพราะที่ผ่านมา นั่งไม่ถูกวิธี ข้าจะสั่งให้ผู้ดูแลอย่าตีเจ้าอีก เจ้าจะว่าอย่างไร” เต้าจี้ว่า “ถูกตีนั้นไม่สู้กระไร แต่ไม่เจอะเหล้าเจอะเนื้อเลยซิ ทนไม่ได้ ศิษย์คิดว่าพุทธวิธีมากมาย แต่ละวิธีขึ้นกับคนที่ยึดถือ ผมอยากพูดสักคำสองคำ มันเป็นความงี่เหง้าของผมเอง อาจารย์โปรดพิจารณาด้วย เจ้าอาวาสว่า “เจ้ามีธรรมอะไรว่ามาให้ฟังหน่อย” เต้าจี้ว่า “ไม่ใช่ว่าศิษย์มีความโลภอยากจะกินหรอกเนื้อเพียงแค่ชิ้นสองชิ้นพระคงไม่ว่ากระไร เหล้าเพียงจอกสองจอก พระคงไม่สนใจ ไม่ทราบว่าถูกผิดประการใด” เจ้าอาวาสว่า “พระไม่ว่าและก็ไม่สนใจเจ้าหรอก แต่มันเป็นความละอายใจตนเอง กายนี้มีกำหนด จิตไม่มีกำหนด จึงไม่ควรที่จะเสียความตั้งใจ” เต้าจี้ก็เลยไม่กล้าพูดต่อ ก็พอดีถึงเวลาอาหาร หอระฆังก็ตีระฆังส่งสัญญาณ ลูกศิษย์ก็นำสำรับข้าวเข้ามาถวายเจ้าอาวาสจึงเรียกให้เต้าจี้ร่วมฉันด้วยกัน เต้าจี้เหลือบเห็นภายในชามของท่านเจ้าอาวาสมีเพียงผักการดอกและหมี่กึง(หมี่กึง เป็นอาหารที่ทำมาจากแป้งหมี่) ไม่มีอาหารอะไรที่พิเศษน่ากินเลย จึงกล่าวคำสรรเสริญขึ้นมาว่า
ผักกาดดองชิ้นน้อย ในชามจ้อยเจ้าอาวาส
ทั้งเค็มทั้งเปรี้ยวฝาด อริยเจ้าบำเพ็ญมา
ดับความเกิดถวาย แด่องค์พระศาสดา
ยามเกิดแล้วศรัทธา ในชามข้าวว่างเปล่าเอย
เจ้าอาวาสได้ยินแล้วว่า “เจริญพร!เจริญพร! เจ้าก็รู้ธรรมแบบนี้ดีแล้วจะคิดอะไรอีก” เต้าจี้ว่า “พูดแบบไม่ปิดบัง รู้ก็รู้อยู่หรอก หากแต่ว่าทนไม่ไหว” เจ้าอาวาสจึงว่า เจ้ามานานเท่าไร นั่งสมาธิมามากน้อยแค่ไหนมีความแจ่มแจ้งแล้วขนาดไหน จึงมีความร้อนรนขนาดนี้ เจ้าจะฟังนะ
จันทร์กระจ่างลมชื่น ราตรีรื่นรมย์ไฉน
ในความเงียบคิดไหว จิตคลาดเคลื่อนเลื่อนแปรไป
ยอดเขาหิมะปก หญ้าคารกเหนือเข่าไซร้
ฝนทั่งเป็นเข็มให้ เวลาพิสูจน์ความทน
เต้าจี้ฟังแล้วว่า “ศิษย์ยังอ่อนหัด พละกำลังยังไม่กล้าแข็ง แต่ก็มิกล้าที่จะท้อแท้ แต่ทว่า ตั้งแต่ศิษย์ได้เข้าบวช ยังไม่เคยได้รับคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์เลยสักครั้งเดียว ทำให้ศิษย์จมปลักอยู่ในความมืดมน เหมือนจะเจตนาให้ถูกสับ!” เจ้าอาวาสว่า “นี่เป็นเพราะจ้ามาอย่างอาจหาญ แต่ใจค่อนข้างจะร้อนรนไป เอาเถอะ!เอาเถอะ! เข้ามาใกล้ ๆ ข้าหน่อย” เต้าจี้คิดว่าท่านเจ้าอาวาสจะมีคำพูดอะไรสั่งสอนเป็นพิเศษ จึงรีบกุลีกุจอเข้าไปโดยไม่ทันรู้ตัว ฝ่ามือของเจ้าอาวาสก็ฟาดเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้า ถึงกลับหงายผึ่งพร้อมกับสำทับว่า “ตนเอง(ตนเอง หมายถึงจิตวิญญาณเดิม) มาจากไหนก็ยังไม่รู้ ยังจะมาหาเอาจากข้าต้องตีให้รู้ถึงจิต” ส่วนเต้าจี้ล้มลงกระแทกพื้น เบิ่งตามองจ้องเขม็ง ผงกศีรษะขึ้นลงสองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ถลันลุกขึ้น โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอาศีรษะกระแทกที่หน้าอกเจ้าอาวาส จนท่านเจ้าอาวาสตกลงมาจากโต๊ะแล้วก็พุ่งทะยานออกจากห้องไป เจ้าอาวาส ร้องตะโกน ขโมย!ขโมย! พระลูกวัดเมื่อได้ยินเสียงร้องเช่นนั้น ก็พากันวิ่งเข้ามาสอบถามว่า “ขโมยอยู่ที่ไหน มันขโมยเอาอะไรไปบ้าง” เจ้าอาวาสว่า “ไม่ใช่เป็นเงินทองหรือทรัพย์สิน แต่มันขโมยรัตนอันมีค่าของสมาธิไป” พระลูกวัดถามว่า “เอารัตนอันมีค่าอะไรไป มันเป็นใคร” เจ้าอาวาสว่า “ข้าเห็นกับตาของข้าเอง ไม่ใช่ใครมันคือเต้าจี้” พระลูกวัดว่า “อ๋อ เต้าจี้เอง มันหลบอยู่ที่ไหนเดี๋ยวจะจับมันมาให้ท่านทวงคืน” เจ้าอาวาสว่า “พอแค่นี้ก่อน ให้ข้าทวงจากเขาเองในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พระลูกวัดต่างก็ไม่เข้าใจในความหมายทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไป
อันเนื่องจากเต้าจี้ถูกเจ้าอาวาสตีเพื่อเป็นการปลุกให้ตื่น ให้รู้ถึงอดีตชาติปางก่อน จึงสามารถละความเป็นปุถุชน ก้าวเข้าสู่ความเป็นอริยะ นับแต่ออกจากห้องเจ้าอาวาสมา ก็เข้าไปยังห้องหวินถัง พลางร้องว่า ”แยบยล!แยบยล! การนั่งสมาธิก็มีดีเช่นนี้เอง!” จึงเที่ยวเอาหัวกระแทกใส่พวกพระที่นั่งสมาธิอยู่ พลางพูดว่า “นั่งสมาธิแบบนี้ไม่ถูก” พวกพระต่างงุนงงพูดว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน” เต้าจี้ว่า “นั่งจนทนไม่ไหว นั่งไปทำไม” พลางก็เอาหัวไปกระแทกพระอีกรูปหนึ่งแล้วว่า “นั่งสมาธิแบบนี้ไม่แยบยล” พระรูปนั้นจึงมีอารมณ์พูดขึ้นมาว่า “นี่มันมีเหตุผลอะไร” เต้าจี้ก็ว่า “นั่งจนเบื่อหน่าย เล่นสนุกเสียบ้างเป็นไร” เหล่าพระภิกษุในห้องต่างเห็นการกระทำของเต้าจี้เช่นนี้ ต่างก็ว่าเต้าจี้เพี้ยนเสียแล้ว เต้าจี้หัวเราะว่า “ข้าพเจ้ามันไม่เพี้ยนหรอก กลัวว่าพวกท่านซิจะเพี้ยน” เต้าจี้ก็ไม่ยอมหยุดความวุ่นวายเพียงเท่านั้น ยังทำให้อึกทึกไปตลอดคืน ผู้ดูแลวัดไม่สามารถจะควบคุมอยู่ จนกระทั้งวันรุ่งขึ้น พวกพระต่างก็นัดกับเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละสามถึงห้าคน ต่างเข้าไปเล่าให้เจ้าอาวาสฟัง เจ้าอาวาสคิดในใจว่า “ตอนที่เต้าจี้มาหามีความทุกข์ร้อนมากมาย ถูกเราชี้แนะไปบ้าง จึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาฉับพลัน ทำให้ทะลุปรุโปร่งถึงฟ้าปางก่อน(ฟ้าปางก่อน หมายถึง สภาวจิตที่มีอยู่ก่อนเกิดจักรวาล) ดังนั้นจึงเที่ยวล้อเล่นเพื่อเผยความแยบยล หากไม่เป็นเช่นนี้เขาจะสดใส กระฉับกระเฉงเช่นนี้หรือ ข้าคงต้องไปดูสักหน่อย จะได้รู้เรื่องตลอด” ดังนั้น จึงมีคำสั่งให้คนไปตีระฆังเพื่อชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหมด เจ้าอาวาสขึ้นนั่งบนธรรมาสน์หลังจากสวดคาถาวิสุทธิภูมิหนึ่งจบ แล้วก็กล่าวกับที่ชุมนุมว่า
ดวงจันทร์แจ่มนภา กลางเวหาเด่นสกาว
ดวงประทีปส่งพราว มีผู้จุดเมื่อยามสาม
ฉับพลันดันระลึก นึกถึงเรื่องราวรูปนาม
มหาสัทธรรมตาม ปราบเรียบแผ่ให้ไพศาล
เจ้าอาวาสกล่าวต่อว่า “ชีวิตมิใช่มีแต่ในปัจจุบันชาติ หากมีมาแต่อดีตชาติและจะมีต่อไปในอนาคตชาติ อนาคตชาติยังมาไม่ถึง จึงไม่รู้จะมีสภาพเป็นเช่นไร จะยังไม่พูดถึง อดีตชาติได้ผ่านมาแล้ว สภาพเช่นไรทำไมจะรู้ไม่ได้ พวกเจ้าแม้จะมีวิญญาณที่ต่างกัน แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่มาจากอดีต ไม่รู้พวกเจ้ามีใครที่มีดวงจิตไม่มืดมัว ยังจดจำหน้าตาที่แท้จริงดั่งเดิมได้บ้าง ทั้งหมดฟังแล้วนิ่งเงียบ ไม่มีใครสามารถตอบได้
ขณะนั้นเอง เต้าจี้กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เมื่อได้ยินระฆังตีเรียกประชุมจึงรีบ ๆ ผูกสบงแล้วใส่จีวร วิ่งเข้าสู่ห้องพระ ก็พอดีกับเจ้าอาวาสกำลังถามอยู่ และก็ไม่มีใครตอบได้เต้าจี้ก็เข้ามาคุกเข่าที่หน้าเจ้าอาวาสแล้วว่า “อาจารย์อย่าสงสัยให้มาก ศิษย์นอนอยู่ในความฝัน อาจารย์เมตตาร้องเรียก กระผมเลยนึกถึงเรื่องราวในอดีต” เจ้าอาวาสว่า “ถ้าเจ้าระลึกถึงได้จะบอกให้ที่ชุมนุมรู้ได้ไหม เพื่อเปิดเผยความนัย” เต้าจี้ว่า “การเปิดเผยไม่ยากขอเพียงอาจารย์อย่าหาว่าผมหยาบคาย” ว่าแล้ว เต้าจี้ก็ตีลังกาเอาศีรษะจรดพื้น ยกขาขึ้นข้างบน ทันใดนั้นก็เปิดเผยส่วนที่อยู่ด้านหน้าออกมา ที่ชุมนุมต่างก็เอามือป้องปากหัวเราะ เจ้าอาวาสก็กลับยิ้มแย้ม พลางกล่าวว่า “นี่ช่างเป็นหน่อแห่งพุทธบุตรอันแท้จริง” ว่าแล้วก็ลงจากธรรมาสน์แล้วเดินเข้าห้องจ้าอาวาสไป
เหล่าพระสงฆ์ที่มาชุมนุมนั้นรู้อะไรหรือ ต่างก็เห็นเต้าจี้ฟั่น ๆ เฟือน ๆ แสดงลามก ท่านเจ้าอาวาสกลับไม่ถือโทษ แถมยังเอ่ยปากสรรเสริญช่างดูไม่ยุติธรรมเสียเลย พระผู้ดูแลวัดและพระกรรมการวัดต่างก็เข้าไปยังห้องเจ้าอาวาส และกราบเรียนเจ้าอาวาสว่า “วัดมีกฎระเบียบ ทุกคนต้องรักษากฎ วันนี้เต้าจี้ทำหยาบคายต่อหน้าพระพุทธรูปทำบ้า ๆ บอ ๆ ต่อหน้าเจ้าอาวาส เป็นการละเมิดกฎแห่งธรณีสงฆ์ วันนี้หากปล่อยปละละเลยเขา ต่อไปภายภาคหน้าจะปกครองกันได้อย่างไร ขออาจารย์อย่านิ่งนอนใจ!” เจ้าอาวาสว่า “ถ้าเช่นนั้น ระเบียนกฎอยู่ไหน” หัวหน้าสงฆ์รีบนำเอาระเบียนกฎถวายให้เจ้าอาวาสดู เจ้าอาวาสรับมาแล้วพูดว่า “การตั้งกฎ ก็สำหรับบุคคลปกติ ไม่สามารถให้กับคนทุกประเภทได้!” จึงเขียนอักษรเพิ่มเติมภายในกฎว่า “ธรรมขันธ์กว้างใหญ่ จะไม่ละเว้นสงฆ์ที่เพี้ยนบ้างหรือ”
เมื่อเจ้าอาวาสเขียนจบ ก็ส่งคืนให้หัวหน้าสงฆ์ หัวหน้ารับไปแล้วก็ให้ทั้งหมดดูทั่วกันทุกคนต่างกลับออกไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครที่ไม่เก็บความไม่พอใจไว้ ตั้งแต่นั้นมา จึงเปลี่ยนชื่อเรียก “เต้าจี้” เป็น “จี้เตียน(เตียน แปลว่า เพี้ยน)” ซึ่งหมายถึง
น้ำเต้าแบ่งแท้เทียมยาก การเล่นก็ยากที่แบ่งแยกว่าถูกหรือผิด
ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่รู้จี้เตียนได้สร้างเรื่องราวไว้มากแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป
อธิบายท้ายบท โดยพระอรหันต์จี้กง