ธรรมสถานอันศักดิ์สิทธิ์ เลื่อนขั้นคนเทพซ้อง
พระจี้กงทรงเมตตา กระท่อมหญ้าคาโปรดแม่ชี
อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2527
กลอนนำเสด็จ
ได้ฤกษ์เปิดสำนัก ธรรมมหา’ลัยอันศักดิ์สิทธิ์
พระสติเฟื่องจิต แช่มชื่นโบกพัดไปมา
ก้าวหน้าขึ้นขั้นหนึ่ง สะเทือนถึงสามโลกา
โดยสารยานเมตตา ทั้งแข็งแรงแลปลอดภัย
อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! ธรรมสถานเซี้ยเต็กตึ้งได้รับรับการยกย่องโดยราชโองการจากพระจอมมารดาแห่งสระทิพย์ เลื่อนเป็น “ธรรมมหาวิทยาลัย” อาตมาดีใจอย่างยิ่ง หยางเซิงก็รับทรงแต่งหนังสือจำนวนมาก แต่ละเล่มนี้ก็เป็นที่กล่าวขวัญ ทุกๆคนเซ่ซ้องสรรเสริญ ทำให้กระดาษแพงขึ้น ทำให้สำนักประทับทรงใหม่ๆ มีวิริยะอุตสาหะ แต่ละแห่งเผยแผ่คุณธรรมดังนั้น พระจอมมารดาแห่งบ่อเก๊กตื้นตัน จึงประทานแต่งตั้งสำนักนี้ก่อนที่จะก่อสร้างเสร็จเป็น “วิทยาลัยธรรม” เพื่อให้ศาสนาทั้งห้าเข้าอยู่ในเส้นทางอริยะ อาศัยโอกาสทองอันนี้ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างร่วมใจ ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนัก ย้อนดูอดีตตอนเริ่มต้นตั้งสำนักเผยแผ่ธรรม ความศรัทธาสะเทือนฟ้าเบื้องบน อุดมการณ์ทำให้คนนับถือ อบรมจนประสบผลมากมาย ซึ่งได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์ มิใช่เป็นการบังเอิญหรือโชคดี เป็นความจริงแท้ที่บริสุทธิ์จนชื่อลือชา ขอให้บรรดาศิษย์ จากนี้ไปต้องเพิ่มความขยันปฏิบัติภารกิจในการอบรมผู้คน ทุกคนทิ้งความเห็นแก่ตัว ก็จะเห็นตัวตนแท้จริงมีใจเพื่อปวงชน จึงสามารถโปรดตนเองและโปรดผู้อื่นหากปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็เหมือนทุกคนได้สร้างธรรมสถานในจิตใจทุกคน ทุกหนทุกแห่งก็จะกลายเป็นธรรมสถาน กลายเป็นสวรรค์ไปหมด ใช่ไหม?
หยางเซิง : ขอบคุณ อาจารย์ที่ให้กำลังใจ กิจการเผยแผ่ธรรมก้าวหน้าได้ ล้วยเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
อรหันต์จี้กง : เออ เอ่อ! ข้าฯ เองก็ได้แต่เมาคำพูดพล่ามไปเรื่อยจะมีบุญคุณอะไรกัน
หยางเซิง : ก็อยากจะให้ทุกคนได้เมา เพื่อฟังคำพูดเมาๆ ของอาจารย์ จะได้รู้สึกสนิทสนมและรื่นหู โดยอาศัยความเมาช่วยพวกขี้เมา ช่าวเข้ารสกันดีแท้ เหมือนกับให้ยาถูกโรคอย่างนั้น!
อรหันต์จี้กง :ไม่ใช่....ไม่ใช่ ทุกคนควรจะตื่นขึ้น ปล่อยให้ข้าฯเมาคนเดียว เจ้าดูซิ! ผู้คนต่างก็พูดว่าพวกเขายังตื่นอยู่เป็นคนดี เป็นผู้เมตตา เป็นผู้คงแก่ธรรม ไม่มีใครสักคนที่พูดว่า พวกเขาเป็นคนเลว มีอยู่วันหนึ่ง ข้าฯยืนอยู่ที่หน้าประตูภัตตาคาร ได้พบคนเมากลุ่มหนึ่ง ข้าฯ ก็พูดกับพวกเขาว่า “นี่ พรรคพวก พวกเรานะเมากันหมดแล้วนะ” พวกขี้เมากับแอ่นตัวไปมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือว่า “เอ็งซิเมาแล้ว พวกข้าไม่เห็นเมาสักนิด” แล้วมีอยู่อีกวันหนึ่ง ขณะที่ทรงเมฆผ่านโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบผู้ป่วยโรคจิตคนหนึ่งชี้หน้าด่านายแพทย์ว่า “เจ้านะซิเป็นคนบ้า ใครเขาจะบ้า ตามเจ้าละ!” เมื่อเห็นสภาพทั้งสองแบบนี้ ทำให้ได้เห็นความจริงที่ว่าพวกที่กำลังแสดงอยู่นะมืดมัว คนที่เฝ้าดูต่างหากที่สว่าง
หยางเซิง : อาจารย์พูดถูก ยุคปัจจุบันนี้ ธรรมะกล่อมคนยากโชคดีที่ท่านอาจารย์จี้กงมีความตั้งใจ ที่จะกล่อมเกลาปวงประชาโดยใช้ภาษาง่ายๆ ฟังเข้าใจ เหมือนกับทานข้างที่บ้านเพื่อให้แก่ผู้ที่มีบุญบารมี พวกเขาจะรู้สึกเรียบง่ายและมีประโยชน์ เพราะฉะนั้น หนังสือที่อาจารย์แต่ง ล้วนดึงดูดใจคนดี
อรหันต์จี้กง : ชาวบ้านไปติ “ชาวกล่อง” ของอาตมา มันเป็นอาหารธรรมดา มีผักดองอยู่ไม่กีชิ้น มีเม็ดถั่วลิสงไม่กีเม็ดไม่มีอะไรดีเลย แต่ทุกคนก็เอร็ดอร่อย นับว่ามีลาภปากไม่น้อยเอาละ รีบขึ้นบนบัวอาสน์เถอะ จะได้สืบเสาะหาความแต่งหนังสือ
หยางเซิง : ขอรับ ! กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว มิทราบคืนนี้จะไปที่ไหน?
อรหันต์จี้กง : ตามแต่จะพบก็แล้วกัน
หยางเซิง : ขอรับ! ขอรับ!
อรหันต์จี้กง : หยางเซิงลงจากบัวอาสน์เถอะ!
หยางเซิง :อาจารย์พา ผมมาที่นี่คืนนี้ เห็นแต่สลัมเล็กๆที่ผุกร่อน ที่แท้อาจารย์จะมาหาใครกัน?
อรหันต์จี้กง : ข้างในมี “ผู้บำเพ็ญธรรมที่ยิ่งใหญ่” อย่ามัวแต่คิดว่า คฤหาสน์หลังใหญ่จึงจะมีผู้มีบุญ
หยางเซิง : ศิษย์มิได้คิดเช่นนั้น หากพูดผิดไป อาจารย์โปรดอภัยให้ศิษย์ด้วย
อรหันต์จี้กง : เราเข้าไปข้างในกันเถอะ
หยางเซิง : ภายในบ้านที่ผุกร่อน จะเห็นแต่กงกระดาษและเศษเหล็กเต็มไปหมด เหมือนกับเก็บของเก่าอย่างนั้น
อรหันต์จี้กง : ก็ใช่! นายวิาณิชของเก่าคนนี้ ไม่เหมือนกับคนอื่นศิษย์หยางอย่าดูแคลน
หยางเซิง : ติดตามอาจารย์เข้าไปในบ้าน ภายในรกรุงรังมีหยากไย่แมงมุมเต็มไปหมด ข้างๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม มิทราบว่าที่อาจารย์พูดถึงผู้บำเพ็ญธรรมยิ่งใหญ่ คงเป็นผู้นี้ใช่ไหมขอรับ?
อรหันต์จี้กง : ก็เป็นเธอนี่แหละ
หยางเซิง : เห็นเธอหน้าตาสกปรก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ามีคราบไคลทั้งนั้น มิทราบว่าไม่ได้อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้ว?
อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! “ไม่อาบน้ำวันหนึ่งก็เป็นเทวดาวันหนึ่งไม่อาบน้ำสักสามวันก็เป็นเทวดาเป็นๆ”
หยางเซิง : หมายความว่าอย่างไร?
อรหันต์จี้กง : ดูจากความสกปรกของเธอก็แล้วกัน ไม่มีความกังวลเลยสักนิดเดียว ถ้าเป็นชาวบ้าน วันหนึ่งอาจอาบน้ำถึงสามครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าถึงห้าครั้งก็มี จิตใจก็ยังกังวลว้าวุ่นเพราะฉะนั้นที่ข้าฯว่า เธอไม่อาบสะอาด แต่ก็สุขสบาย
หยางเซิง : มิทราบว่าเป็นผลกรรมอะไร เธอจึงได้เปลี่ยนแปลงอยู่ในสภาพเช่นนี้
อรหันต์จี้กง : เธอกำลังหลับเต็มที่ ข้าฯจะเคาะเปิดจุดวิญญาณของเธอ เพื่อปลุกวิญญาณเธอออกมาพูดคุยดีกว่า!
หยางเซิง : ขอบคุณที่อาจารย์เมตตา เห็นอาจารย์เอาพัดเคาะที่หน้าผากเธอเพียงเบาๆ 3 ครั้ง ทันทีนั้นรูปลักษณ์ของเธอก็เปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็นภิกษุณี มีจีวรคลุมแต่งอย่างสะอาด ที่คอก็มีสร้อยประคำแขวนอยู่ ค่อยๆ ทรงตัวนั่งขึ้นพนมมือกล่าวว่า “นะโมพุทธยะ! ท่านไต้ซือจี้กง และสัตบุรุษหยาง มาถึงศิษย์บกพร่อง ควรมีโทษ! เธอรู้จักพวกเราได้อย่างไรกัน
อรหันต์จี้กง : เพราะข้าฯได้เสกความจำของเธอ ให้วิญญาณเดิมเธอตื่นขึ้น เมื่อชาติก่อนเธอเป็นผู้ออกบวช ภายหลังได้เปลี่ยนใจ จึงได้ตกต่ำลงเช่นนี้ มีคำกล่าวว่า “รูปเกิดจากจิต”ชาติก่อนเปลี่ยนใจแบบนี้ ชาตินี้จึงได้เกิดใหม่เปลี่ยนรูปคือธรรมชาติของกฎแห่งกรรม!
หยางเซิง : กรรมตามสนองน่ากลัวยิ่งนัก! มิทราบว่าชาติก่อนเธอมีบาปอะไร ชาตินี้จึงตกระกำลำบากถึงขนาดนี้
อรหันต์จี้กง :เจริญพร! เจริญพร! ทำไมท่านอาจารย์ถึงตกต่ำถึงเพียงนี้
ภิกษุณี : บาปกรรม บาปกรรม พูดขึ้นมาแล้วขายหน้า เพราะได้ลบหลู่บารมีพุทธะ ชาติก่อนได้ออกบวชเป็นภิกษุณีที่ภาคใต้ แต่เพราะนิสัยแข็งกระด้าง ออกบวชมาหลายปี! ได้รับความลำบากต่างๆ ต่อมาภายหลังได้มีปากเสียงกับภิกษุณีที่วัดเดียวกัน จิตใจโกรธแค้น จึงได้ออกจากวัดนั้นไปเที่ยวขอบิณฑบาตทั่วไป ค่อยๆกลับสู่ปุถุชน จึงได้รับกรรมในครั้งนี้
อรหันต์จี้กง : กลับสู่ปุถุชนแล้วได้ทำอะไรไปบ้าง
ภิกษุณี : ก็อาศัยเรี่ยไรยังชีพ คอยหลอกชาวบ้านว่าจะสร้างวัดที่นั้นที่นี่ เพื่อจะได้อยู่ดูแลบริหารเอง เที่ยวเรี่ยไรไปทั่วเพราะยังโกนผมอยู่ จึงมีผู้หลงเชื่อ ได้เงินมาร่วมสองล้านบาทจึงไปซื้อตึกอยู่ เสพสุขเรื่อยมา อาศัยบารมีพุทธะ หลอกเงินผู้บริจาคมาเสพสุข เครื่องไฟ้ฟ้าใช้สอยครบเครื่อง ทานเนื้อทานคาวไม่เลือกจึงได้ก่อกรรมทำบาปเช่นนี้
อรหันต์จี้กง : เมื่อเธอตายแล้ว ท่านยมบาลลงโทษอย่างไร?
ภิกษุณี :พออายุได้ 50 ปี ก็ตายด้วยโรคหัวใจ ยมทูตหน้าขาว-ดำ ลากตัวลงยมโลก ท่านยมบาลโกรธจัด สั่งลงโทษหนักยังถูกผลักลงจากสะพานมรณะบ้าง ก็แช่อยู่ในสระเลือดบ้างผ่านการลงโทษต่างๆ เป็นเวลาสิบปี ทนทุกข์ทรมารแสนสาหัสหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่ท่านกษิติครรภโพธิสัตว์มีเมตตา เห็นว่าอิฉันมีรากเหง้าแห่งโพธิอยู่ แต่เพราะคิดผิดจึงได้ตกสู่ทะเลทุกข์เช่นนี้ ภายหลังได้อนุญาตให้ไปเกิดเป็นคนอีก เพื่อรับเคราะห์ฝึกฝนไป
อรหันต์จี้กง : เออ เอ่อ!ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ที่จริงแล้วเธอเป็นเทวดา ที่คอยคุ้มกันธรณีสงฆ์มาก่อน น่าจะได้เกิดมาเป็นผู้คอยอบรมผู้คน เพื่อเพิ่มพูนมรรคผลของตน แต่เพราะจิตหันเหเพียงนิดเดียว จึงได้ตกสู่หกช่องทางเกิด มิทราบว่าชาตินี้เกิดมามีรสชาติอย่างไร?
ภิกษุณี : นะโมพุทธยะ! บาปกรรม ! บาปกรรม ! ภายหลังที่สำนึกผิด รู้สึกทุกข์แสนเข็ญ เป็นเพราะชาตินี้ยังถูกจองจำในวัฏสงสาร ก็ขอทนทุกข์แต่โดยดี
อรหันต์จี้กง : พูดถูกแล้ว ชาตินี้เกิดมาเป็นคน เมื่อยังเด็กอยู่เกิดมีไข้สูง ทำให้สมองมึนงงเร่ร่อนไปทุกแห่ง ในที่สุดจึงได้พลัดพรากจากครอบครัว เพื่อเป็นการยังชีพจึงเที่ยวเก็บเศษอาหารจากกองขยะกิน พอโตขึ้นจึงเที่ยวเก็บเศษของเก่าๆ มีเศษกระดาษ เศษเหล็ก เก็บเสียเต็ม หอบ เร่ร่อนไปตามตรอกตามซอย แล้วก็ขายต่อให้กับร้านขายของเก่า ต่อมาเที่ยวหาบ้านร้าง เป็นที่อาศัยหลับนอน เก็บสะสมเศษขยะแล้วขายต่อไป แต่ละวันก็เก็บเศษอาหารกิน หากมีเงินก็ซื้อข้าวซื้อหมี่ หลบกินตามโคนต้นไม้ หรือข้างกำแพงกลัวผู้คนจะแลเห็น เสื้อผ้า ร่างกายก็ไม่ได้ชะล้าง เนื้อตัวจึงมีคราบไขมัน ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ มีชีวิตผ่านไปวันๆ
หยางเซิง : แล้วเธอเคยเจ็บป่วยไหม?
อรหันต์จี้กง : ก็เป็นหวัดบ้าง ปวดท้องบ้าง เพียงได้นอนหลับหรือท้องเสีย ถ่ายท้องบ้างแล้วก็หายไป ไม่ต้องกินยา
หยางเซิง :อันนี้สาเหตุเพราะอะไร?
อรหันต์จี้กง : อันนี้ซิน่าแปลกประหลาด ภิกษุณีที่เร่ร่อนนี้สวรรค์ยังคุ้มครองบ้าง ไม่ให้เป็นโรคหนัก! และเธอก็ไม่รู้จักร้อน รู้จักหนาว เซอะๆเซ่อๆ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้! ชาติก่อนเที่ยวเรี่ยไรเขา ชาตินี้ต้องชดใช้กรรม จึงได้แต่เก็บตามกองขยะเร่ร่อนไปทั่ว เป็นการลงโทษ ให้เดินเท้าเที่ยวแบกของหนักๆ คนอื่นเห็นเป็นคนบ้า แต่เธอกลับร่าเริงพวกเศษเหล็กก็เป็นพวกทองเหลืองที่รับบริจาคเขามา แบกไปแบกมา ให้คนเขาหัวเราะ เป็นการชดใช้หนี้กรรม กินเศษอาหาร นอนสลัมผุ เพราะชาติก่อนเสพสุขมามาก ชาตินี้หมดบุญ จึงอยู่ในสภาพเช่นนี้แหละ
หยางเซิง : เงินบริจาคเพียงสตางค์เดียว ก็มีค่าดังเขาพระสุเมรุไมใช่พูดล้อเล่น กรรมตามสนองน่ากลัวยิ่งนัก มิทราบว่าชาติหน้าเธอจะเป็นอยางไร
อรหันต์จี้กง : โชคดีที่อาตมาได้มาปลุกเสกเธอ จึงได้เล่าเรื่องราวผลกรรมชาติปางก่อนเป็นการปลอบเตือนผู้คน ชาตินี้ชดใช้หมดหนี้กรรม เหมือนคว่ำถังน้ำ เวรกรรมหมดสิ้น (ท่านอาจารย์จี้กง เหมือนน้ำนิ่งในถัง ให้มันไหลโจ๊กๆ เป็นการชะล้างเวรกรรมที่ติดตัวเธอมาให้หมดไป) ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอีก (ออกบวช) ได้พบพุทธธรรมเพื่อพิจารณาจากความจริงเช่นนี้แล้ว เหตุและผลไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ท่านทั้งหลายอาจได้เห็น พวกที่ไม่สมประกอบทั้งหลาย พวกเขาย่อมมีสิ่งบกพร่องเมื่อชาติก่อน มีบาปกรรมมหันต์ จึงกลายเป็นคนไม่สมประกอบ ขอให้ชาวโลกโปรดเห็นใจ สงสาร ช่วยดูแลผู้ที่โชคร้ายเหล่านี้บ้าง ด้วยความรักที่กว้างใหญ่ ช่วยดูแลพวกเขาบ้าง ขอให้หมดเวรกรรมกันชาตินี้ ชาติหน้าจะได้เป็นมหาโพธิสัตว์ที่อวตารมาพวกท่านโปรดอย่าละทิ้งโอกาสอันดีงามนี้สร้างมหากุศลกันเถอะ!
ภิกษุณี : กราบขอบพระคุณ ที่ท่านอรหันต์จี้กงได้ชี้แนะ พระคุณนี้ยากนักที่จะตอบแทน!
อรหันต์จี้กง : มิต้อง มิต้อง
ชาตินี้ รูปกาย เปลี่ยนไป
จิตใจ ไม่มั่น ปางก่อน
เห็นแก่ จิตเดิม แน่นอน
กายนี้ อุทิศ พุทธองค์
รู้สำนึก ความบาป ที่ผ่านมา
ไม่นำพา อกุศล ให้หมองจิต
เคราะห์กรรม ทั้งผอง ให้ข้องติด
เป็นนิมิต ให้ละวาง กรรมหมดสิ้น
หยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก
หยางเซิง : ขอรับ กระผมนั่งเรียบร้อยบนบัวอาสน์แล้ว ขอเชิญอาจารย์กลับได้
อรหันต์จี้กง : สำนักเซี้ยเต็กตึ้ง ถึงแล้ว หยางเซิงลงจากบัวอาสน์ วิญญาณกลับเข้าร่าง