น่าสังเวชใจเหลือเกินที่ชั่วชีวิตของคนเราตั้งแต่เล็กจนโตตั้งแต่โตจนแก่จนกระทั้งแก่ไปถึงตายในที่สุดไม่เคยพ้นจากการฆ่า เริ่มแรกคลอดจากครรภ์มารดากก็ถือโอกาสเลี้งฉลองด้วยการฆ่าชีวิตเพียงไม่นานเด็กอายุครอบเดือนก็ฆ่าเลี้ยงกันอีก จนกระทั้งอายุครบบวชก็ฆ่าฉลองบุญเมื่อเติบโตถึงเวลาแต่งงานอันถือว่าเป็นงานมงคลก็ฆ่าอีก เปิดกิจการร้านค้า วันสารท วันตรุษ ไหว้เจ้า ก็ถือโอกาสฆ่าอีกไม่ว่างานไหน ๆ วนไปเวียนมา กลายเป็นมีงานให้ฆ่าตลอดทั้งปี ดุ ๆ แล้วทั้งหมดก็เพื่อสังเวยปากท้องตนทั้งนั้นชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่ถูกคนฆ่านั้นไม่รู้จะกี่หมื่นกี่พันชีวิตกันชั่วชีวิตของคนหนึ่ง ๆ จึงสะสมแต่บาปเวรไว้จนลมหายใจสุดท้าย
ที่น่าสงสารเข้าไปอีก ก็เมื่อตอนเจ็บป่วยเจียนตายก็ร้องขออยากมีชีวิตแต่กลับไป “ฆ่าสัตว์” เพื่อเซ่นไหว้ขอต่อชีวิตอย่างนี้จะมีชีวิตยืนยาวไปได้อย่างไร? การแต่งงานเป็นการเริ่มชีวิตคู่อันรักใคร่สมานฉันท์ แต่คนส่วนใหญ่กลับฉลองความรักด้วยการเชือดเฉือนพรากชีวิตคู่ของสัตว์มากมาย การให้กำเนิดบุตรเป็นนิมิตอันดีแก่ครอบครัว แต่ไฉนคนเรากลับไปฆ่าแม่ฆ่าลูกผู้อื่นเพื่อฉลองลูกตัวเอง งานทำบุญวันเกิด ทำบุญบ้านเปิดกิจการร้านค้าคนเราหาฤกษ์ยามอันเป็น “ศิริมงคล” ก็ควรปฎิษัติแต่สิ่งที่เป็นมงคลจึงจะถูกต้องกับฤกษ์งามยามดี
วันคล้ายวันเกิดแม้คำพูด ก็ยังต้องหาแต่คำที่เป็นศิริมงคลมาเป็นคำอวยพรเช่น “ให้อายุยืนหมื่นปีดั่งขุนเขา” เมื่อได้ลูกชายลูกหลานเกิดใหม่ก็มีคำพูดว่า “ลูกหลานประเสริฐสืบวงศ์ตระกูลรุ่งเรือง” เปิดกิจการร้านค้าก็มีคำพูดว่า “โชคลาภเพิ่มพูนบุญวาสนาท่วมท้น” ถ้าในวันที่เป็นวาระ ดิถีฤกษ์งามยามดี ขณะที่เรากำลังมีแต่ความคิดที่ดี ๆ อยู่ในใจ ก็เกิดมีการฆ่าฟันล้มตายกันขึ้นในงานเราจะรู้สึกอย่างไร?
หน้าบ้านต่างกล่าวอำนวยอวยพรกันเป็นที่เอิกเกริกแต่หลังบ้านเป็นแดนประหารเสียงสัตว์หวีดร้องระงมอย่างตื่นตระหนกตกใจยามใกล้จะตายชีวิตมากมายกลับต้องมาตายเพื่องานมงคลของคนเรา มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยยิ่งฆ่ามากบาปเคราะห์ก็สะสมเพิ่มพูน กลบฝังตัวเองและครอบครัวลงไปทุกที่ ๆ
มันน่าฉงนจริง ๆ ที่บางคนต้องมาตายในงานฉลองวันเกิดตัวเอง บ้านที่มีลูกมากก็กลายเป็นสาปแช่งให้ลูกฉิบหายตายเร็ว บางชีวิตมีอำนาจวาสนาอยู่ดี ๆ ก็ต้องถูกฆ่าดู ๆ ไปเหมือนละครชีวิตแต่ช่างน่าเศร้าที่ตัวละครทั้งหลายต่างแย่งกันเลือกเอาแต่บทที่ต้องจบชีวิตตัวเองลงด้วยความพินาศ ปราศจากความสุขกันเสียหมด