ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันหนึ่งได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่จิกนกตัวเล็ก ๆ หมายจะกินเป็นอาหารวิหคน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก พยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่ไม่ไกลนกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่หน้าอกของพระโพธิสัตว์ทันที
พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน เมื่อเป็นดังนี้พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า “ ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า!พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็ก ๆ และจะปล่อยให้ข้าพระองค์อดตายหรืออย่างไร” พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า “ ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า ” พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า “ ข้าฯ พระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร” พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนนกน้อยตัวนี้” ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที่แขนของพระองค์พญาเหยี่ยวก็พูดขึ้นว่า “ ช้าก่อน..........
หากพระองค์ประสงค์จะแลกเอาชีวิตนกน้อยด้วยเนื้อของพระองค์เองแล้วละก็ พระองค์จะต้องตัดเอาเนื้อออกมาให้ได้เท่ากับเนื้อของเจ้านกตัวนั้น” โดยมิได้รั้งรอแต่ประการใด พระโพธิสัตว์ผู้ทรงพระกรุณาธิคุณจึงใช้มีดเฉือนเอาเนื้อที่ต้นแขนออกมามอบให้พญาเหยี่ยวทันที พญาเหยี่ยวเมื่อได้รับเอาก้อนเนื้ออันองค์พระบรมโพธิสัตว์ทรงยื่นให้แล้ว ก็กล่าวบ่ายเบี่ยงว่า “ เบาไป” ครั้นพระโพธิสัคว์ทรงเฉือนเนื้อก้อนใหม่ให้อีกก็ติว่า “หนักไป” เป็นดังนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
อนิจจา........พระโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาจิต พระองค์ยิ่งเฉือนเนื้อไปเท่าไรก้อนเนื้อก็ยิ่งเบา เป็นเช่นนี้จนกระทั่งเนื้อถูกตัดออกไปจนหมดแขนก็ยังไม่สามารถตัดเนื้อออกมาให้ได้เท่ากับเนื้อของนกน้อยนั้นสักที พญาเหยี่ยวจึงเอ่ยถามพระโพธิสัตว์ว่า “ถึงบัดนี้แล้ว พระองค์ทรงเสียพระทัยแล้วหรือยัง” พระบรมโพธิสัตว์ผู้มีพระทัยอันมั่นคงมิหวั่นไหว จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันหนักแน่นว่า “เพื่อรักษาชีวิตของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย เราไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว หากแม้นว่าเรากล่าวด้วยคำสัตย์จริงขอเนื้อที่ขาดหายไปจงงอกขึ้นมาใหม่ เพื่อเราจะได้ตัดออกเป็นกุศลทานอีก” ครั้นสิ้นสุดอธิษฐานวาจา ด้วยพลานุภาพแห่งสัจจะบารมีอันพระบรมโพธิสัตว์ทรงตั้งพระทัย จะบำเพ็ญมหาเมตตาบารมีทานให้สำเร็จ แขนของพระองค์ก็ปรากฏเนื้อเพิ่มพูนบริบูรณ์ดีขึ้นดังเดิม
พญาเหยี่ยวได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง และแล้วพญาเหยี่ยวผู้มีกายอันซูบผอมก็พลันกลับกลายร่างปรากฏเป็นพระวิสุทธิเทพผู้มีรัศมีเรืองรองสง่างาม พร้อมกับกล่าวอนุโมทนากถาขึ้นด้วยความปิติยินดีว่า “สิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจทนได้ พระองค์สามารถทนได้ในสิ่งนั้น สิ่งที่ไม่มีผู้ใดจักกระทำได้ พระมหาโพธิสัตว์ผู้จะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กระทำแล้ว ช่างหาได้ยากยิ่ง ยากยิ่งจริง ๆ”