กระเหรียนป่าหวนกลับยามศารทแล้ว
กลางเมฆแก้วหามีร่องรอยกระเหรียนไป
ฤดูศารทแม้ภาพจะงามสดใส
สู้น้อมใจกราบพุทธะหน้าตำหนักทรง
กระเหรียนป่ามีอิสระเสรี บินตามสายเมฆไปได้ทั่วทุกทิศไกลสุดขอบฟากฟ้าไม่ถูกผูกมัด จวบจนเหน็ดเหนื่อย เช้าวันหนึ่งก็หวนกลับมา ก็ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกแล้ว ช่วงวันเวลาที่ผ่านไปทั้งหลายทั้งปวง มีหรือที่จะทิ้งร่องรอยไว้ให้ ก็เหมือนกับมนุษย์ที่อยู่ในโลก สิ่งต่างๆ ทั้งบุญคุณความแค้นเคืองเหมือนเรือที่แล่นผ่านน้ำไป จะมีร่องรอยอะไรเหลือไว้ได้เล่า ทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ร่วงแม้จะดูสวยงาม แต่มันก็ต้องผ่านพ้นไปในที่สุด ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่สวยงามในโลกนี้ ล้วนไม่อาจจะเก็บงำหรือฉุดรั้งเอาไว้ได้ แล้วทำไมหนอตอนนี้ยังไม่ “รู้ตื่น” หรือว่าพวกเธอช่างไม่รู้เลยว่า การมาไหว้เซียนพุทธข้างหน้าวิหารทรงกับการรู้ธรรมเป็นสิ่งที่โปร่งใสว่างและสงบเงียบที่สุดใช่ไหม?
ผู้มีกายใจตรง ไม่โลภไม่ใคร่อยาก มารร้ายไม่เข้า
อริยเจ้าสอนคนบ่อยๆ ว่า รักษาคุณธรรมคือการปฏิบัติตัว ศาสนาหยู้เอา “ภักดีอภัย” เป็นปฏิบัติตัว ศาสนาพุทธเอา “เมตตา” มาปฏิบัติตัว แต่ละศาสนาสอนคนปฏิบัตตัว มีความหมายเหมือนกัน