mindcyber 5 months ago

คุณหมอซู

สองร้อยกว่าปีก่อน ตอนต้นราชวงศ์ชิง ที่มณฑลซันซี อำเภอไท่เอวี๋ยน มีชายหนุ่มคนหนึ่งแซ่ซู ชื่อเจียงไฮว๋ เขามีความรู้สึกที่แปลกกว่าคนอื่นอยู่อย่างหนึ่งตั้งแต่เด็กมาแล้ว คือทนเห็นคนเจ็บป่วยไม่ได้ แม้นเห็นใครเจ็บป่วยหรือถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อครวญคราง เขาจะกระวนกระวายทุกข์ร้อน เจ็บปวดยิ่งกว่าผู้ป่วยเสียอีก แม้ว่าผู้ป่วยคนนั้นจะไม่ใช่ญาติพี่น้องของเขาเองก็ตาม ด้วยความรู้สึกนี้เอง ที่ทำให้เขาตั้งใจมุ่งมั่นอย่างจริงจังว่าจะต้องเรียนแพทย์ให้ได้ เขาจะต้องช่วยเหลือบำบัดโรคภัยไข้เจ็บให้ได้ ความมุ่งมั่นเช่นนี้มีมาตั้งแต่เด็ก และไม่เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเขาเป็นหนุ่มใหญ่ การเรียนแพทย์สมัยก่อน ไม่มีมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะให้เข้ารับการศึกษาได้เช่นสมัยนี้ แต่จะต้องเสาะหาครูบาอาจารย์เอง ซึ่งครูบาอาจารย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสมัยนั้น ก็มักจะไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ผู้อื่นนอกจากลูกหลานของตน

    ซูเจียงไฮว๋เสาะหาอาจารย์มาหลายปีก็ไม่ได้ดังหวังจนความรู้สึกเวทนาสงสารที่มีต่อผู้เจ็บป่วยกลายเป็นความทุกข์สุมอกของเขาตลอดเวลา วันหนึ่งเขาจึงตั้งใจไปกราบเทพเจ้ากวนอูด้วยความศรัทธา ฝากความหวังไว้ภายใต้พระบารมีของพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดดลใจ ให้เขาได้พบอาจารย์แพทย์ที่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ด้วยเถิด และแล้วในคืนนั้นเอง ซูเจียงไฮว๋ก็ฝันเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งพระพักตร์แดง ฉลองพระองค์สีทอง ได้โปรดแนะนำเขาว่า

    "เรามาเพื่อจะแนะนำเจ้าว่า ด้วยเหตุที่เจ้ามีศรัทธาความจริงใจ หวังว่าเมื่อเจ้าได้พบผู้อุปถัมภ์สอนสั่งวิชาแพทย์ให้แล้ว  เจ้าจะไม่เปลี่ยนใจในปณิธานเดิม"

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นั้นก็ได้แนะนำซูเจียงไฮว๋ว่า วันนั้นเวลานั้น ให้เขาออกเดินทางไปทางทิศตะวันออก เมื่อเดินไปพบกระท่อมหลังคามุงด้วยหญ้าคาหลังหนึ่ง ก็ให้เข้าไปกราบท่าน(เฒ่าผมขาวในกระท่อมนั้น ขอให้ท่านรับไว้เป็นศิษย์ เพื่อร่ำเรียนวิชาการแพทย์จากท่าน

     เมื่อตื่นจากความฝัน ซูเจียงไฮว๋ก็ออกเดินทางทันทีด้วยความตื่นเต้นดีใจ  และไม่นานต่อมาเขาก็ได้พบกระท่อมดังกล่าวจริงๆ ท่านผู้เฒ่าพิจารณาดู ซูเจียงไฮว๋ ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ยินดี เพราะเห็นว่าเขาไม่มีลักษณะดีเด่น นึกจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งก็บอกว่าการณ์นี้เป็นเหตุแห่งกรรมที่เกี่ยวกันมาแต่ชาติปางก่อน ซึ่งเราจำเป็นจะต้องสนองตอบให้จบสิ้นกันไป เมื่อคิดดังนี้แล้ว ท่านผู้เฒ่าก็พยักหน้ารับ ซูเจียงไฮว๋ ตั้งใจศึกษาการแพทย์เภสัชกรจากอาจารย์ท่านผู้เฒ่าอย่างจริงจัง ทุ่มเทเวลาศึกษาอย่างไม่รู้วันรู้คืนไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย กลางวันก็เที่ยวเก็บใบยาสมุนไพรในป่าเขาเอามาทดลอง เขาย่ำไปทั่วภูเขาไท่เอวี๋ยนซันจนรู้สรรพคุณยาสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วป่าเขาจนทั่ว

    เมื่อศิษย์และอาจารย์อยู่ร่วมกันมาได้สี่ปี วันหนึ่งอาจารย์ผู้เฒ่าก็เรียกซูเจียงไฮว๋เข้าไปหา แล้วบอกว่า "กรรมเก่าที่เราเกี่ยวพัน ต้องมาเป็นศิษย์อาจารย์กันได้หมดสิ้นลงแล้ว พรุ่งนี้เจ้าลงจากไปจากเขา เพื่อใช้ความสามารถในวิชาการที่ร่ำเรียนไปจากเรา อนุเคราะห์ช่วยเหลือคนเจ็บป่วยได้แล้ว จากกันครั้งนี้อาจารย์ไม่มีของขวัญสิ่งใดจะมอบให้เจ้า มีแต่หนังสือสี่ตัว หวังจะให้เจ้านำติดตัวไปเป็นอุทาหรณ์ของชีวิต และจดจำไว้ตลอดเวลา"

    หนังสือสี่ตัวนั้นก็คือ "เหยินสูจีเต๋อ" (วิชาการแห่งเมตตา เพื่อสร้างคุณธรรม) ซูเจียงไฮว๋ กราบรับโอวาทของอาจารย์ แล้วก็ลงจากเขาไป เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไท่เอวี๋ยน ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดี กระตือรือร้นที่จะได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยไข้ซูเจียงไฮว๋ก็รีบหามุมที่มุมหนึ่งในย่านตลาด วางแผงขายยาสมุนไพรและรับรักษาผู้ป่วยทันที ถึงคราวที่ซูเจียงไฮว๋จะมีชื่อเสียง เพราะบังเอิญมีคนไข้หลายรายที่หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ด้วยโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ยอมเสี่ยงกับหมอแผงลอยอย่างเขารักษา ซึ่งผลปรากฏว่าทุกคนหายป่วยโดยรวดเร็วอย่างกับปลิดทิ้ง จากนั้นกิติศัพท์ของเขาจึงระบือไปทั่วเมืองไท่เอวี๋ยน อีกทั้งค่ารักษาเขาก็ไม่เรียกร้อง แล้วแต่อัตภาพของคนไข้ที่จะจ่ายได้ ซึ่งนับได้ว่าหมอซูได้ปฏิบัติตัวเป็นหมอที่ดีมีเมตตาสมกับโอวาทของอาจารย์ และเป็นไปตามปณิธานที่เขาตั้งใจมาแต่เล็กแต่น้อย

    วันหนึ่ง ในระยะที่คนไข้มีไม่มาก หมอซูรู้สึกหงุดหงิดเงียบเหงา  เขาทิ้งแผงขายยาออกเดินทางเตร่พร้อมกับใช้ความคิดอย่างคนฟุ้งซ่าน แล้วเขาก็คิดว่า "บัดนี้ เราเป็นหมอที่มีชื่อเสียงของเมืองไท่เอวี๋ยนแล้วแต่เราจะทนกระจอกงอกง่อยอยู่อีกทำไม แม้เราจะเป็นหมอที่มีความสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงไร หากเรามัวแต่ให้คนไข้จ่ายค่ายาค่ารักษาตามอัตภาพที่คนไข้จะจ่ายได้ เราก็คงจะต้องต่ำต้อยอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป เพราะรายได้น้อยนัก อย่ากระนั้นเลยเราก็มีความรู้ในตำรายาต้องห้ามหลายอย่าง เราจะปลุงยาปลุกกำหนัดออกจำหน่ายในราคาแพงให้พวกกงจื๊อลูกท่านหลานเธอคนมีเงิน และชายหนุ่มเสเพลทั้งหลาย ซึ่งจะต้องขายดิบขายดีและเราก็จะร่ำรวยมหาศาล"

    คิดเช่นนี้แล้ว หมอซูก็รีบเดินทางกลับไปเก็บแผง เขาเลิกขายยาและรักษาผู้ป่วยตั้งแต่บัดนั้น  หมอซู ตั้งหน้าตั้งตาปรุงตำราต้องห้ามออกเป็นการใหญ่ ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจคนใฝ่ตัณหาราคะทั้งหลายยิ่งนัก เมื่อตำรายาต้องห้ามขายดี มีเงินเข้าพกวันละมากๆ หมอซูก็ยิ่งลืมตัว เขาดีใจกับลาภผลจนลืมนึกถึงจรรยาบรรณและปณิธานที่เคยตั้งไว้เสียสิ้น ชื่อเสียงที่เขาอุตส่าห์สร้างมาช้านานก็กลับกลายเป็นเสียงสาปแช่งจากพ่อแม่ลูกเมียของชายที่ตกเป็นทาสของตำรายาต้องห้ามของเขา

    คืนวันหนึ่ง "เทพเจ้ากวนอู" ได้มาเข้าฝันซูเจียงไฮว๋พระองค์ตวาดเขาว่า  "เจ้าเลวมาก ที่เจ้าได้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์นั้นเพราะเราเห็นว่าเจ้าคิดดีมีศรัทธา จึงได้ชี้ทางให้เจ้าได้พบอาจารย์แพทย์ บัดนี้ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่รักษาสัจปณิธานที่จะเป็นหมอที่ดี เจ้ายังทำเรื่องบัดสีส่งเสริมไฟราคะให้ลุกลามโหมไหม้ชายหญิงทั้งหลาย เราขอเตือนเจ้าครั้งนี้ว่าให้กลับตัวกลับใจโดยเร็ว"

    หมอซูตื่นตระหนกเล็กน้อยกับความฝัน แต่แล้วเขาก็ปล่อยให้มันผ่านไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิง ทำอย่างไรได้เมื่ออำนาจของเงินได้ครอบงำมโนธรรมของเขาเสียสิ้นแล้ว เขานอนคิดต่อไปว่า พรุ่งนี้จะผลิตยาต้องห้ามได้สักเท่าไหร่ หลังเที่ยงคืน หมอซูก็ต้องตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพราะรู้สึกเจ็บแปลบกลางหลัง เมื่อคลำดูก็รู้ว่าเป็นฝีฝักบัวลูกใหญ่เกิดขึ้นฉับพลัน และเจ็บปวดอย่างประหลาด ฝีลูกนี้หากเกิดขึ้นกลางหลังของคนอื่นเขาก็สามารถจะจ่ายยารักษาให้หายได้ไม่ยากเลย แต่นี่ยาของเขาเองก็ไม่อาจจะบรรเทาความเจ็บปวด และทำให้มันยุบลงได้แม้แต่น้อย หมอซูทนทุกข์ทรมานอยู่กับฝีฝักบัวลูกใหญ่กลางหลังอยู่นานถึงหนึ่งปีเต็มในที่สุดพิษของมันก็ลุกลามใหญ่ไปทั่วตัวและเข้าสู่หัวใจ เขาทุรนทุรายแล้วตายอย่างน่าสังเวชในที่สุด

    หน้าที่ของแพทย์และพยาบาล เป็นหน้าที่ของเทพเจ้าผู้มีเมตตาธรรมสำหรับคนป่วยไข้  งานที่ทำเป็นงานบุญทานบารมีที่สูงส่ง เป็นร่มไม้ใบบุญสำหรับคนรอบข้างเป็นบุญใหญ่ที่มิใช่ใครๆ จะทำได้ทุกคน จึงน่าเสียดายสำหรับแพทย์หรือพยาบาล ที่ไม่รู้คุณค่าของตนที่โชคดีเกิดมาได้รับภารกิจอันสำคัญนี้ บางคนก็กอบโกยขูดรีด บางคนก็ดุดันเกรี้ยวกราดบ้างก็ละเลยเห็นชีวิตของคนไข้ไม่มีค่า ฯลฯ คนที่หลงผิดเช่นนี้ บ้างก็สำนึกได้เมื่อใกล้ตาย แต่บางคนก็มิได้สำนึกเลยตลอดชีวิตน่าเสียดาย (เรื่องราวความเป็นจริงนี้ ท้าวสักกะเทวราชองค์กวนอูได้โปรดประทับทรงเปิดเผยให้ไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่คนทั่วไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ณ ศาลเทพเจ้า อู๋เมี่ยวหมิงเจิ้งถัง ไถจง ไต้หวัน) 


0
273

เหล็กแหลมแทงขาให้มานะ(ชื่อ จุย ขู่ ตู๋)

1654918052.jpg
mindcyber
6 months ago
น้ำพริกผักจิ้ม

น้ำพริกผักจิ้ม

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

กับดัก

1654918052.jpg
mindcyber
3 months ago
เห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอด

เห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอด

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

มีแต่กุศล เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้

1654918052.jpg
mindcyber
3 weeks ago