มีนายอำเภอเมืองๆหนึ่ง ขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ที่ห้องทำการของอำเภอ นายอำเภอได้เขียนอักษรไว้คำหนึ่งว่า “ศักยภาพ” แล้วแขวนไว้ในที่ทำการอำเภอเป็นการปลอบขวัญตนเองที่มีศักยภาพ อยู่มาวันหนึ่งนายอำเภอมีงานต้องออกท้องที่เพื่อตรวจสอบคดี จึงไม่ได้อยู่ประจำที่ทำการอำเภอ ก็ให้ขณะนั้นลูกสาวนายอำเกอซิ่ว นายอำเภอรักถนอมดุจมุกมณีในมือก็ไม่ปาน ซึ่งเธอมีนิสัยฉลาดเฉลียว กำลังอยู่ในวัยสาวเธอเห็นอักษรศักยภาพแล้วก็ครุ่นคิดถึงความหมาย เธอรู้สึกว่าคำว่าศักยภาพนี้มีความทรนง หยิ่งยะโส ขาดความอ่อนน้อม และก็เกรงว่าอาจพบกับความไม่ราบรื่น นำมาซึ่งเคราะห์ร้าย จะชักนำให้ประชาชนวิภาควิจารณ์ก็เป็นได้ ทุกครั้งที่คิดก็คอยหาโอกาสเปลี่ยนคำใหม่วันนั้นก็เป็นโอกาสให้เธอได้เปลี่ยน เธอจึงเอาคำว่า “ดวงชะตา” แขวนขึ้นไปแทนซึ่งความหมายก็จะตรงข้ามกันเลย
เมื่อบิดาสะสางคดีเสร็จแล้วก็กลับที่ว่าการ พอเงยหน้าดูก็เห็นว่าอักษรหลังพนักที่นั่งถูกเปลี่ยนไป ใครกันนะที่กล้าดีอย่างไรมาเปลี่ยนอักษรของข้า นายอำเภอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หรือว่าจะหัวเราะเยาะศักยภาพความรู้ของข้าที่ไม่มีศักยภาพพอจะปกครองอำเภอได้ ยังจะต้องอาศัย “ดวงชะตา” ด้วยหรือ ว่าแล้วก็ไล่ถามเอากับพนักงาน ปรากฏว่า“วันนี้ก็ไม่มีใครมาที่ทำการ มีแต่ลูกสาวที่ตนรักเท่านั้นที่ผ่านมา นอกเสียจากเธอแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาคงไม่มีใครกล้า” ว่าแล้วนายอำเภอก็เรียกลูกสาวมาสอบถาม เธอยอมรับ บิดาโกรธมาก จึงขอให้เธออธิบายเหตุผลถ้าหากมีเหตุผลพอ บิดาก็จะยอมตามและไม่ลงโทษ ถ้าไม่สมเหตุผลก็จะลงโทษอย่างหนัก เธอเห็นบิดาโกรธจัด จึงนิ่งเงียบไม่พูดไม่กล้าวิจารณ์โต้เถียง ก้มหน้านิ่งเงียบบิดาคิคว่าบุตรสาวจำนนด้วยเหตุผล คงจะสำนึกผิดก็จะอภัยให้เพราะไม่รู้ แล้วก็เรียกพนักงานให้สืบหาคนที่จนเป็นขอทานติดต่อกันถึง 3 รุ่น ให้นำมาที่อำเภอแล้วก็ยกบุตรสาวให้กับขอทานพร้อมพูดว่า “ขฌะนี้ก็เป็นดวงชะตาของเธอแล้ว เธอไปกับเขา ก็ให้ไปเผชิญกับดวงชะตาเถอะ”
นายอำเภอเข้มงวดมากที่ไม่กระทำเช่นนี้ไม่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในภายหลัง บุตรสาวก็ไม่รู้สึกละอาย ไม่มีวาจาโต้ตอบ ก็ได้แต่นำเสื้อผ้าส่วนตัวแล้วเดินตามขอทานไป ทั้งสองเดินทางมาถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ท้องฟ้ามืดแล้วไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ จึงไปขอกับผู้ใหญ่บ้านเพื่อหาที่พักนอน ผู้ใหญ่บ้านบอกกับเธอว่า ข้างหน้ามีบ้านร้างหลังหนึ่งก็พอจะหลบลมฝนได้บ้าง เธอทั้งสองไปทำความสะอาดและพักอาศัยชั่วคราวได้
แต่บ้านร้างหลังนี้เก่ามากแล้ว หลังคาก็แตกรั่ว ไม่เพียงแต่คนจะไม่กล้าอาศัยอยู่กลางคืนยังมีผีอาละวาดน่ากลัวมากจนไม่มีใครกล้าจะเข้าไป แต่ทั้งสองก็ไม่ดีความเกรงกลัว ด้วยมีทัศนะคติว่า มารร้ายไม่สามารถชนะความเที่ยงธรรมได้ ไม่กลัวที่จะผจญกับความเลวร้าย แต่ขอให้พอคุ้มกายได้ก็พอ ภายหลังเก็บกวาดแล้ว เจ้าขอทานก็เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย พักเดียวก็หลับครอก แต่นางเป็นคุณหนู ที่อยู่ดีกินดีมาก่อน ในสภาพสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ นางครุ่นคิดถึงบิดาที่เคยมีเยื่อใยต่อบุตรีจึงมิอาจหลับได้เลย พลันก็แลเห็นผนังที่โอบล้อมเหมือนมีแสงสีทองแวบๆ ออกมานางจึงคิดแผนการณ์ในใจ เอาพวกของที่ติดตัวมาโยนไปที่ตำแหน่งแสงแวบ ๆนั้น พอวันรุ่งขึ้น จึงเรียกเจ้าขอทานให้หาจอบมาขุดดินจนพบเงินทองเพชรนิลจินดาจำนวนมาก ทั้งสองดีใจมาก ขอบคุณฟ้าดินที่ไม่ตัดทางผู้ตกทุกข์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผัวเดินเมียตาม สร้างสรรค์ฟ้าดินใหม่ แล้วก็ปรึกษาสร้างบ้านหลังใหม่แทนบ้านร้างหลังนั้นนางบอกให้เจ้าขอทานมัธยัสถ์ เขาก็เชื่อฟังภรรยาเป็นอย่างดี ทั้งสองครองชีวิตคู่อย่างมีความสุขมีบุตรชายหญิง เสพสุขอย่างผู้มีอันจะกิน มีความสุขสบาย
โดยไม่คาดคิด บิดาของนางสะสางคดีผิดพลาดจนหลุดจากตำแหน่ง ทรัพย์สินถูกทางการยึดไปหมดและถูกจับขังคุก พอพ้นโทษแล้วได้ข่าวบุตรสาวกับลูกเขยกำลังเจริญรุ่งเรือง จึงอดไม่ได้ที่ย่อมละอายบากหน้าไปอาศัยบุตรสาว เพราะบิดาและบุตรสาวมีเยื่อใยสัมพันธ์ นางไม่ถือสา นางกับสามีก็เคารพกตัญญเลี้ยงดูบิดาอย่างดี จึงเข้ากับคำว่า“ดวงชะตา”
นิทานเรื่องนี้ มีความมุ่งหมายตักเตือนชาวโลกว่า การกระทำของคน ความอ่อนน้อมละมุ่นละมัย อย่าเที่ยวโทษนั่นโทษนี้ก็จะสำเร็จ การงานยิ่งใหญ่ได้ กล่าวคือ “ศักยภาพ” กับ “ดวงชะตา” เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันจนสำเร็จ พึ่งพากันอุ้มสมตามดวงชะตาจึงจะสำเร็จได้ มิใช่เป็นการใช้อำนาจจนทำให้คนไม่ยินยอมจนเกิดสำเร็จ