ในสมัยราชวงศ์ชิง ที่มณฑลชานตง มีบัณฑิตหนึ่ง แซ่ลิ้มเชี้ยงคัง เขาได้เข้าสอบเป็นบัณฑิตติดต่อกันนานถึง 20-30 ปีทีเดียวแม้อายุ 40 ปีแล้วเขาก็ยังสอบไม่ได้ มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังคิดจะเลิกสอบก็มีคนพูดที่ข้างตัวเขาว่า เท่านี้อย่าได้ท้อใจ ต้องสอบต่อไป ต้องสอบได้แน่” บัณฑิตลิ้มรู้สึกแปลกใจและกลัว แต่ก็ถามว่า“เธอเป็นใครกัน?” เขาตอบ ดิฉันเป็นผีวิบาก ที่ติดตามท่านบัณฑิตมาหลายปีแล้ว ค่อยปกปักรักษาท่านมาตลอด” บัณฑิตลิ้มคิดอยากจะเห็นหน้าเขา แต่ผีวิบากไม่ยอม แต่บัณฑิตลิ้มก็ขอร้องแล้วขอร้องอีกผีวิบากก็พูดว่า “ถ้าหากท่านจะเห็นหน้าฉันจริงๆ ท่านต้องตกใจกลัวถ้าไม่เสียใจ ฉันจึงจะยอมให้ท่านดู” เมื่อบัณฑิตลิ้มตอบรับแล้ว ผีวิบากก็ปรากฏตัวให้บัณฑิตเห็น ผีนั้นมีเลือดอาบเต็มหน้า หน้าตาหน้าเกลียด ผีพูดว่า ดิฉันเป็นคนอำเภอหลับเฉิน มณฑลชานตง เป็นพ่อค้าผ้าอยู่ในอำเภอ ถูกนายเตียยิ่งซัว คนอำเภอแหม่ มณฑลชานตงนี้แหละ เขาเอาศพของฉันไปทิ้งนอกเมือง แล้วก็เอาก้อนหินทับไวฉันรู้มาว่าท่านบัณฑิตลิ้มต่อไปจะได้ตำแหน่งนายอำเภอเมืองแหม่เพราะฉะนั้นจึงแอบดูแลปกป้องท่านมาตลอดหลายปีนี้ เพื่อที่จะหวังให้ท่านช่วยฟื้นคดีสะสางความแค้นให้ด้วย ฉันสามารถบอกท่านได้ละเอียด ปีไหนเข้าสอบปีไหนจะได้ตำแหน่งจิ้นฉือ” พอพูดจบผีก็หายวับไป
ต่อมาอีกไม่กี่ปี บัณฑิตลิ้มก็สอบไล่ได้ แต่กำหนดเวลาที่จะสอบตำแหน่งจิ้นฉือก็ไม่แม่นยำแล้ว “ ในโลกนี้ที่เกียวข้องกับตำแหน่งบุญวาสนา บางทีพวกผีก็ไม่รู้ได้ก็มี บัณฑิตลิ้มพูด แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น คำพูดที่เขาได้พูดกับอากาศนั้น ผีก็โต้ตอบกลับไปว่า"เรื่องนี้ท่านทำเอง รับเอง มีความผิดในใจ มิใช่ว่าฉันไม่รู้ หรือตอบโต้ไปผิด ท่านมีความสัมพันธ์ลับกับหญิงหม้ายคนหนึ่งวันนั้น ถึงแม้ว่าจะดวงดีที่เธอไม่ท้อง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีบุคคลที่สามรู้ แต่ฟ้ารู้ดินรู้ ที่ยมบาลก็ได้บันทึกบาปอันนี้ไว้แล้ว ถึงแม้จะรับการอภัย แต่โทษที่มีก็ทำให้ท่านสอบได้จิ้นฉือช้าไปอีก 2 ปี และก็ได้รับตำแหน่งเป็นนายอำเภอแหม่
เมื่อเขารับตำแหน่งนายอำเภอใหม่ ๆ เขาก็ออกสำรวจทั้งอำเภอ เมื่อมาเห็นหินก้อนหนึ่งนอกเมือง จึงคิดถึงเรื่องที่ผีบอกไว้จึงให้คนเขาช่วยกันยกหินออกก็เห็นศพตามที่ผีบอก ก็ได้มีคำสั่งไปนำตัวเตียหยิ้งซัวมาสอบสวน ก็พบว่าเขาเป็นฆาตกรตามคำสอบสวนคดี ในที่สุดฆาตกรก็ยอมรับ และก็ได้รับโทษประหารชีวิตเป็น การ สังวร
เรื่องนี้เมื่อพูดแล้วก็สรุปลงที่ว่าปลูกเหตุอะไรไว้ก็ได้ผลเช่นนั้นถ้าหากว่านายเตียหยิ้งซัวไม่ฆ่าคนตาย ก็ไม่ต้องรับโทษประหารซึ่งเป็นเหตุต้นผลกรรมไม่ใช่ไม่สนอง แต่เนื่องจากเวลายังไม่ถึง สังคมปัจจุบันมีการฆ่ากันร่วมทั้งปัญญาเศรษฐกิจ วันข้างหน้ามิใช่ว่าจะไม่ได้รับผลตอบสนอง ถ้าไม่ถูกจับเข้าขังคุกก็ทำให้ลูกเมียต้องแตกสลายหรือไม่ก็ต้องหลบซ่อนไม่มีที่ไป ยากจนไม่มีที่โอกาสกลับตัว ดังนั้นการฆ่าคนหลอกลวงเงินทอง ผู้มีจิตเลวที่จะล้มหนี้ควรต้องจดจำให้ดีว่า เหตุต้นผลกรรมมีการตอบสนองเสมอ