เหตุต้นผลกรรมไม่ว่าง
พระสูตรว่า “สิ่งมีรูป ล้วนเป็นมายา” ในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่ากับผู้คนเรื่องราวสิ่งของในใจของเราทุกๆ ขณะสกาวะที่มีอยู่ล้วนมายาเป็นรูปปลอมทั้งสิ้น
ถ้าหากเราเอาสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเราผู้คนเรื่องราวสิ่งของมาเป็นของจริงแล้วเช่นนั้นคือหลง เพราะมันมี “อาตมาลักษณ์ บุคคลาลักษณ์ สัตวาลักษณ์และชีวาลักษณ์”ที่กล่าวว่าสรรพธรรมเหตุปัจจัยเกิดขึ้น “เหตุปัจจัย” เกิดขึ้น ไม่มีจากจิตตน ควรเข้าใจว่าล้วนว่าง ที่สุดแล้วเอาไม่ได้! เพราะฉะนั้นคนทั้งหลาย เรื่องทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ล้วนเอาไม่ได้ ล้วนเป็นของปลอม
รูปปลอมมาแต่ไหน พุทธองค์บอกเราว่า “เหตุต้นผลกรรมไม่ว่าง”เป็นเพราะมีวิบากเป็นเหตุผลกรรมตอบสนองติดต่อกันมา คนทั้งจักรวาลล้วนมาจากวิบากเป็นเหตุ ผลกรรมจึงตอบสนองเกิดดับติดต่อกันทุกๆขณะ นี่คือรูปจริงของชีวิตมนุษย์ในจักรวาล จุดความกระจ่างชัดของเหล่าพุทธโพธิสัตว์ก็อยู่ที่ตรงนี้ พวกเขาเข้าใจได้ชัดแจ้ง พวกเราปุถุชนแก่งแย่งชิงดีกันทุกๆวัน ทุบตีกันจนเลือดตกยางออก เจ็บทุกข์เหลือสุดๆพวกเขาที่อยู่ข้างๆ เห็นชัดเจน
ไม่ว่าพวกเธอจะหาวิธีใดก็ตาม ในที่สุดก็ว่างเปล่า ที่จริงแล้วสักสิ่ง
หนึ่งก็ไม่ได้ มีแต่สร้างเวรกรรม สร้างบาปสร้างวิบากกรรม รูปที่ปรากฏให้
เห็นเป็นผลกรรมตอบสนองจากการสร้างวิบากเป็นเหตุ สร้างเหตุที่ไม่ดี
ใจ รูปที่ปรากฏจึงไม่ดี เพราะฉะนั้นพุทธองค์ว่า “สรรพสิ่งล้วนว่าง เหตุต้น
ผลกรรมไม่ว่าง” เพราะว่าธรรมทั้งหลายล้วนว่าง กายใจก็ไม่ได้รับ ถ้าหากว่า
มีสิ่งที่ได้รับ นั่นคือผิดแล้ว ! หลงแล้ว ! เพราะว่า “เหตุต้นผลกรรมไม่ว่าง”.