พระเจ้าหลี่ตงปิง (หลื่อโจ้ว)
จิตเดิมฟ้าปางก่อนโอสถเซียน
โป๊ยก่วยเพียรหลอมกลางเตาจับก้อน
บอกโลกว่าศิษย์โง่หลงค้นยานอก
เพื่อกลืนกินฟั่นเฟือนคิดขึ้นยอดเมฆ
โอสถนั้นสว่างใสเย็นเป็นรูปแท้ที่ไม่พร่อง ทองนั้นแข็งทนเหมือนธรรมกายที่ไม่เน่าเสีย ดังนั้น เซียนโบราณจึงขอยืมคำว่าโอสถทองมาเป็นชื่อของมหาธรรม โอสถทองจึงเปรียบเทียบเหมือนจิตที่กลมปภัสสร เหมือนการปฏิบัติธรรมของมนุษย์ที่เริ่มแรก เริ่มจากความมี (ความมุ่งหวัง) แล้วบำเพ็ญไปจนเข้าสู่ความไม่มี (ไม่มุ่งหวัง) คือที่สุดของชีวิตก็ถึงที่สุดของจิต คือรูป ญูาณอันแยบยล สุดสิ้นของจิตก็ถึงยอดสุดของชีวิต จิตนี้ทางหยูเรียกว่า “ไท่จี๋” (ไทเก๊ก) ทางพุทธเรียกว่า "ตรัสรู้สมบูรณ์” ทางเต๋าเรียกว่า “โอสถทอง” ซึ่งมองดูต่างกัน แต่ที่จริงเป็นสิ่งอันเดียวกัน ผู้บำเพ็ญศาสนาหยูก็สำเร็จเป็นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ทางศาสนาพุทธก็สำเร็จเป็นพุทธ ทางศาสนาเต๋าก็สำเร็จเป็นเซียน ดังนั้นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามศาสนาจึงเอาจิตแท้นี้ ถือเป็นผู้สำเร็จธรรม (บรรลุธรรม)
ผู้โง่เขลาไม่รู้ จึงใช้แร่โลหะเอามาผสมเคี้ยวจนเหมือนยา แล้วว่าเป็นโอสถทองซึ่งไม่ใช่เลย ในคัมภีร์อี้จิงเรียกว่า “หนึ่งหยิน หนึ่งหยางคือ ธรรม" ในบทแยกฟ้าพูดว่า“ โป๊ยก่วยคือการหายใจ ขับเคลื่อนทั่วจากอดีตมาถึงปัจจุบันมีสักกี่คนที่รู้เช่นนี้ คนโง่เขลาจึงสืบหามหาธรรมจากแผ่นกระดาษ มีใครรู้ว่ามหาธรรมอยู่ที่ คัมลี้” นั่นคือ ชีวิตคัมจิตลี้ ของฟ้าปางหลัง (ชีวิตปัจจุบัน) หมายความถึง ฟ้าดินแห่งฟ้าปางก่อนฟ้าปางก่อนคือจิตชีวิตในฟ้าปางหลังคือจิตอารมณ์สรุปก็คือเป็นกายกับใจเท่านั้น
ใจนั้นเดิมทีสว่างสุทธิ์ เป็นจิตฟ้าของฟ้าปางก่อน ตรงกลางก็มีผลึกมืดที่รับความรู้สึกทำให้เคลื่อนไหว เมื่อจิตนี้หมุนก็กลายเป็นอารมณ์ตรงกลางของลี้ที่มืดนี้ก็คือธาตุไม้ในไฟ
กายนั้นเดิมทีมืดสุทธิ์ เป็นชีวิตดินของฟ้าปางก่อน ตรงกลางก็มีปราณสว่าง จะสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว เมื่อชีวิตหมุนก็กลายเป็นจิต ตรงกลางของ คัม ที่สว่างก็คือธาตุทองในน้ำ เมื่อ คัม กับ ลี้ มาผสานกัน คืออารมณ์กับจิตผสานเข้าหากันนั่นเอง
วิสัยของทองจะรุนแรงล่วงล้ำได้ยาก มีสัญลักษณ์เป็นพยัคฆ์
วิสัยของไม้จะอ่อนละมุนจะให้ประโยชน์ มีสัญลักษณ์เป็นมังกร
น้ำกับไฟก็คือองค์การของ คัม กับ ลี้ ทองกับไม้เป็นกิริยา (การใช้)ของ คัม กับ ลี้
เมื่อทองกับไม้รวมเข้ากัน น้ำกับไฟก็เกี่ยวพันกัน สองสิ่งพบกันที่ตำหนักกลาง ก็หมายความว่า ธาตุทั้งห้าก็มีปราณสมบูรณ์ นั่นคือ กายกับใจธาตุหนึ่งในธาตุหนึ่งนอก ยังไม่สามารถผสมเข้ากันได้ต้องได้ธาตุสีเหลืองที่ตำหนักกลาง จริงใจให้เข้ากันได้ คือโบ่วกี้ (ธาตุดิน) ที่จริงใจ(ธาตุดินมีสีเหลืองจึงเรียกว่า คุณยายเหลือง) เมื่อมีความจริงใจ กายกับใจจึงจับเข้าเป็นแผ่นเดียวกัน สิ่งสองสิ่งคืออารมณ์กับจิต มีปีติที่จะเข้ารวมกันแบบนี้ก็เหมือนกับคน 2 เพศ ที่มีผู้ชักนำให้มารู้จักกันแล้วเกิดความพึงพอใจกัน ก็เท่ากับ 3 คนมาพบกัน (มีคุณยายเป็นแม่สื่อแม่ชัก)ผลก็คือเกิดครรภ์ศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่า โอสถทอง สำเร็จขึ้น เมื่อเพิ่มบารมีที่ละมุนละไม ฝึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้บารมี กลมหมุนได้เก้ารอบ(ดวงจิตหมุน) โอสถทองก็จะเปล่งประกาย (จิตปภัสสร) ดวงธรรมญาณก็จะไหลย้อนถึงประตู (หุบเขาสวรรค์) ตรงเข้าสู่แดนมหาวิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์(แดนนิพพาน)