เฉินจุ่นเผิง
ในสมัยฮ่องเต้เฉียนหลงราชวงศ์ชิง ที่เมืองเฉวียนโจว มณฑลฮกเกี้ยม มีคนชื่อ ถังจงเจิ้น ตอนที่ถังจงเจิ้นเกิดมาได้ 2 เดือน มารดาก็ตายไปเนื่องจากเสียเลือดมากตอนคลอดลูก บิดาของถังจงเจิ้นก็เป็นลมตายเมื่อเขามีอายุได้ 7 ขวบ
เหลือตัวคนเดียว คุณอาและอาสะใภ้จึงนำเอาจงเจิ้นมาเลี้ยงคุณอาทั้งสองมีจิตใจดีงาม เห็นอายุของจงเจิ้นเข้าเกณฑ์เรียนแล้ว จึงพาไปเข้าโรงเรียน เล่าเรียนตำราต่างๆ แต่ว่าจงเจิ้นมีนิสัยฉลาด และเข้าใจง่าย รู้ว่าคุณอามีอาชีพขายผ้า ยุ่งกับการค้าขาย ถ้ามีคนช่วยดูแลการค้าก็จะดีด้วยเหตุนี้จงเจิ้นแม้อายุยังน้อยก็คิดจะเรียนการค้าแล้วไม่ยอมไปโรงเรียน
มีวันหนึ่ง คุณอาหญิงป่วยหนักลุกไม่ขึ้น จงเจิ้นก็ไม่ลดละดูแลคุณอาหญิงจนกระทั่งหายเป็นปกติ ขณะนั้นจงเจิ้นอายุได้ 16 ปีแล้ว อาของจงเจิ้นเห็นว่าหลานเป็นคนคล่องแคล่วฉลาด ทำงานของร้านไม่เกียจคร้าน การค้าก็ไปได้ดี คุณอาทั้งสองจึงยกธุรกิจของเขาให้จงเจิ้นไปดูแล ทั้งสองกลับไปอยู่ที่บ้านนอกเลี้ยงดูชีวิตไปวันๆ
เมื่อจงเจิ้นได้รับกิจการคุณอามาบริหาร แล้วก็ขยันทำงาน เพื่อเพิ่มพูนลูกค้าให้มากขึ้น ก็ลดราคาสินค้าเอากำไรเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนึ้เวลาผ่านไป 10 ปี จากร้านค้าเล็กๆ ก็ขยายเป็นร้านค้าใหญ่โต จงเจิ้นขยับตัวกลายเป็นพ่อค้าใหญ่
น่าเสียดายจุดด้อยของนิสัยคน เมื่อประสบความสำเร็จก็จะกลับกลายเป็นคนทรนง จงเจิ้นก็เริ่มออกเที่ยวสำนักราตรี แล้วก็พูดอย่างสวยหรูว่าเพื่อตอบแทนการค้าพาลูกค้าไปเลี้ยง นั่นคือการตกต่ำของชีวิตบ่อยครั้งที่ต้องการสาวงามพอใจก็จะให้ทิปกับพวกผู้หญิงเป็นกอบเป็นกำแต่การดูแลคุณอาทั้งสองกลับตระหนี่ถี่เหนียว บางครั้งก็หลงลืมว่ายังมีคุณอาที่บ้านนอกอยู่ บางครั้งอาทั้งสองหิวจนหน้ามืดตาลาย
การเกื้อหนนของจงเจิ้นไปไม่ถึง และอายุของทั้งสองก็ชราแล้วเมื่อขาดปัจจัยมาใช้สอย อาหารขาดแคลน ทั้งสองจึงอดอาหารตายไปขณะนั้นผู้มีฐานะอย่างถังจงเจิ้นก็ยังไม่จัดงานศพให้คุณอาดีๆ กลับนำไปฝังกลบอย่างลวกๆ จนกลายเป็นที่โจษจานของคนทั้งหมู่บ้าน ต่างชี้หน้าต่อว่าไม่จบ แต่จงเจิ้นไม่ใส่ใจ ไม่ถือเป็นเรื่อง และก็ไม่ขายหน้า เขาคงกลับไปทำงานของเขาและใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุราย
มีปีหนึ่ง เกิดภัยแล้งที่เฉวียนไจวนานถึง 9 เดือน ไม่มีฝน ไร่นาแตกระแหง ชาวนาเก็บเกี่ยวไม่ได้ชีวิตตกลำบาก ปีรุ่งขึ้นก็ยังเป็นเช่นนี้อีกประชาชนต้องหาทางรอค ผู้เมตตาก็ออกมาบรรเทาทุกข์ ฉุดช่วยชาวประชา แต่ว่าจงเจิ้นกลับทำตรงกันข้าม ถือโอกาสขึ้นราคาสินค้า ผู้ที่มาเอาสินค้าที่ห้างก็ให้เซ็นสัญญาเป็นหลักฐาน ถึงเวลาไม่มีปัญญาให้คืนก็ต้องยึดบ้านที่ดิน ประชาชนทั้งที่รู้ว่าเขาขึ้นราคาสินค้า วันข้างหน้าไม่อาจใช้คืน แต่ก็รับปากเอาสินค้าไปเพื่อประทังชีวิต อยู่ได้วันหนึ่งก็นับวันหนึ่งเมื่อถึงคราวต้องใช้คืนค่อยมาว่ากันทีหลัง
พอถึงตอนนั้น ประชาชนผู้เดือดร้อน คุกเขาขอร้องขอผ่อนไปเป็นเดือน แต่ใจหินอย่างถังจงเจิ้นก็ไม่ยอมผ่อนปรน ทำร้ายประชาชนด้วยการขายกดราคา เพื่อใช้คืนจงเจิ้น ฝ่ายผู้เดือดร้อนพูดได้ว่า ทุกข์เพิ่มขึ้น แม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็ยังไม่มี ดังนั้น พวกคนแก่ร่างกายอ่อนแอ และจิตใจไม่เข้มแข็งก็ฆ่าตัวตาย เพิ่มวิญญาณแค้นไม่น้อยเลย
ถังจงเจิ้น ร่ำรวยขาดเมตตา จึงได้เงินมาไม่น้อยเป็นที่พออกพอใจเขาก็ยิ่งเที่ยวสำนักราตรีมากขึ้นจนลืมกลับบ้าน ใครจะรู้เมื่อร่าเริงถึงที่สุดแล้วความเศร้าก็ตามมา วิถีฟ้าเอาคืนอย่างดีนัก ไมนานนักถังจงเจิ้นก็ติดกามโรคกลับมา รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ภรรยาดูแลนานๆ ก็ทุกข์และเหงาใจหนีตามชู้ไปพร้อมกับเงินทองจำนวนไม่น้อย ใครจะรู้ได้บ้านหลังคารั่วเกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน บุตรชายของถังจงเจิ้นเพียงคนเดียวอยู่ในห้องหนังสือไม่ระมัดระวังถูกชั้นวางหนังสือล้มทับถึงตาย อนิจจาบ้านใหญ่โตแต่จงเจิ้นอยู่เดียวดายคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นกามโรคของจงเจิ้นรักษาไม่หายแถมยังทำให้เกิดโรคอื่นตามมา จงเจิ้นต้องทนทุกข์อยู่บนเตียงโดยไม่มีคนดูแล และท่ามกลางความเจ็บปวดจนหลับไป เขาก็ฝันเห็นอาทั้งสองกับวิญญาณอื่นๆตามมาเอาชีวิต บางคนก็จะมาถลกหนังเขา บางคนก็จะกินเนื้อเขา ทำให้เขาตกใจตื่น ร้องขอชีวิต เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นฝันร้าย
ภายหลังถังจงเจิ้นตื่นขึ้นมา ก็ให้ระลึกถึงอดีตที่เขาทำไม่ดีต่อคุณอาทั้งสอง และประชาชนผู้ประสบภัยเหล่านั้น ตอนนี้ก็มีโรครุ่มเร้า เมียหนีลูกตาย เป็นเพราะเขาขาดน้ำใจไร้สัจจะ จึงเกิดกรรมตอบสนอง ทำให้เขาได้ลิ้มรสของคนไร้สัจจะดูบ้าง
ภายหลังที่จงเจิ้นรู้ประจักษ์แล้ว จึงคิดแก้ไขปรับปรุงเป็นการใหญ่คนที่ยืมเงินแล้วเอาของมาจำนำก็ให้คืนเขาไป และก็ได้เอาเงินที่ยืมไปคืนมา เขาเอาทรัพย์ทั้งหมดออกขายแบ่งไว้ส่วนน้อยเอาเงินส่วนใหญ่ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ด้วยเหตุนี้จึงช่วยปัดเป่าทุกข์ของประชาชนได้ไม่น้อยเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และไม่ไปทำเรื่องไร้สัจจะ ไม่โลภ ทำกุศลจริงจังแล้วก็ไปที่วัดฉือหวินพร้อมโรค ตั้งปณิธานยึดไตรรัตน์เป็นสรณะ สำนึกผิดที่ทำไว้ สวดมนต์ไหว้พระเพื่อเป็นการชำระวิบากกรรม เขาทนรับความลำบากนานถึง 5 ปี จึงได้พ้นทุกข์ของโรคร้ายไป เมื่อพ้นผ่านช่วงมืดไปแล้วแสงสว่างก็อยู่ตรงหน้า ถ้าคนที่จิตใจไม่มั่นคง ทนไม่ไหวกลับลำกลางคันก็น่าเสียดายนัก
ชาวโลกมุ่งแต่การกินไม่ว่าง แล้วก็ถือสาเรื่องตำแหน่ง ตึกสูงรถยนต์ ไม่รู้สึกว่าตระหนี่ไปหลอกหรือ ผ่านชีวิตไปหลายสิบปี ไม่รู้สึกว่าปุถุชนไปหน่อยหรือ ทำไมช่วงเวลาที่เหลืออันจำกัดนี้ไปทำสิ่งที่มีความหมายไม่เพีบงมีประโยชน์แก่สรรพสัตว์ก็มีชีวิตที่มีคุณค่า เป็นชีวิตที่ดีงาม สร้างกุศลที่ไม่สูญสลายกันเถอะ