ณ ชมพูทวีปในอดีต กัษัตริย์องค์หนึ่งมีพระโอรสอยู่ 3 พระองค์ในบรรดาพระโอรสทั้งหมด เจ้าชายองค์สุดท้องเป็นผู้ที่มีพระทัยงดงามและอ่อนโยนโดยเฉพาะทรงโอบอ้อมอารีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
วันหนึ่ง กษัตริย์เสด็จประพาสป่า พร้อมด้วยพระมเหสีและพระโอรสทั้งสาม ตลอดจนข้าราชบริพารเหล่าขุนนางจำนวนมาก เมื่อตะวันบ่ายคล้อยองค์กษัตริย์ทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงมีพระดำรัสให้จัดที่ประทับใต้ร่มไม้ใหญ่เพื่อให้ทุกคนได้พัก
แต่สาหรับพระโอรสทั้งสาม ซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มเปี่ยมด้วยพละกำลังต่างทรงปรารถนาจะสัมผัสกับแมกไม้ธรรมชาติ จึงทรงพระดำเนินต่อเข้าไปในป่าลึก ณ.ที่นั้นพระโอรสทั้งสามได้ทอดพระเนตรเห็น แม่เสือนอนอยู่ในโพรงหญ้ามันเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นานและมีอาการอิดโรย
พระโอรสองค์ใหญ่จึงพูดว่า
" แม่เสือตัวนี้เพิ่งให้กำเนิดลูกเสือ ตัวเองออ่นระโหยสิ้นเรี่ยวแรงเคลื่อนไหว นี่คงไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน น้ำนมจึงเหึอดแห้ง ลูกเสือถึงได้ร้องไม่หยุด ท่าทางทั้งแม่ทั้งลูกจะไม่รอดแน่ !"
พระโอรสองค์รองก็พูดว่า
" แต่น้องว่า สายตาที่แม่เสือจ้องมองดูลูกที่เกิดใหม่มันฉายแววแห่งความดุร้ายตามสัญชาติของสัตว์ป่า ดูทีท่าของมันแล้วเหมือนอยากจะกินลูกของตัวเองอย่างนั้นล่ะ ”
พระโอรสองค์สุดท้องจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ ถ้าเช่นนั้น เราจะช่วยชีวิตเสือแม่ลูกคู่นี้ใด้อย์างไรล่ะ ”
พระเชษฐาทั้งสองหันมาตอบว่า
“ ก็ต้องไปหาเนื้อสดมาให้มันเป็นอาหาร แต่คงไม่ง่ายหรอกนะ เพราะถ้าจะต้องไปฆ่าชีวิตสัตว์อึ่น เพึ่อช่วยอีกสองชีวิต มันช่างไม่เหมาะสมเลยจริงไหม ?"
พระโอรสองค์สุดท้าย ก้มพระพักตร์ลง ทรงครุ่นคิดว่า
" ลำพังชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาก็ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ความหวังที่จะสามารถหลุดพ้น ให้ได้ไปเกิดในที่ที่ดีกว่า ช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน นี่ถ้าหากแม่เสือต้องมากินลูกของตัวเองเพราะไม่อาจจะทนต่อความหิวโหยได้แล้วละก็ เท่ากับก่อกรรมหนักในชีวิต ประหนึ่งเดินอยู่ในที่มืด แล้วยังถลำลึกลงไปสู่ที่มืดยิ่งกว่า ช่างน่าสงสารเสียจริง ๆ"
ทรงพิจารณาเช่นนี้แล้วจึงกล่าวกับพระเชษฐาทั้งสองว่า
" เสด็จพี่ทั้งสอง เสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถิด หม่อมฉันขออยู่ต่อสักประเดี๋ยว แล้วจะตามเสด็จไปทีหลัง"
ครั้นพระเชษฐาทั้งสองพระองค์เสด็จไปแล้ว พระโอรสองค์สุดท้องจึงทรงก้าวเข้าไปประทับนั่งข้างแม่เสือ พร้อมกับยื่นพระกรด้วยทรงประสงค์ให้มัน กัด กิน
แต่ทว่าแม่เสืออ่อนกำลังเต็มที ไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปาก พระโอรสเห็นเช่นนั้น จึงหักกิ่งไม้มาท่อนหนึ่งแล้วใช้ปลายแหลมแทงลงที่ฝาพระหัตถ์ขณะนั้นพระโลหิตสดๆ ไหลรินหยดลงในปากของแม่เสือไม่ขาดสาย
ฝ่ายพระโอรสองค์ใหญ่และองค์รอง ทรงดำเนินล่วงหน้าไปนานแล้วไม่เห็นพระอนุชาตามมาสักที จึงทรงทบทวนถึงเรื่องที่สนทนากันแล้วทรงดำริว่า ยามปกติพระอนุชาองค์สุดท้องมีพระ เมตตาเพียงไร ก็ถึงกับสะดุ้งรีบย้อนกลับไปตามหา
เมื่อไปถึงที่โพรงหญ้า ก็พบแต่เศษพระอัฐิและชิ้นพระภูษาเปื้อนพระโลหิตอยู่บนพื้น พระโอรสทั้งสองพระองค์ทรงทราบทันทีว่า พระอนุชาตัดสินพระทั ยอุทิศพระองค์เอง เพื่อช่วยชีวิตเสือสองแม่ลูกเสียแล้ว !
ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระกรรแสงโฮและรีบเสด็จกลับไปกราบทูลพระชนกพระชนนี ทันทีที่องค์กษัตริย์และ พระมเหสีทรงทราบ ประ หนึ่งดังถุกสายฟ้าฟาด จึงทรงสิ้นพระสติไปชั่วขณะ
ครั้นทรงฟื้นคืนพระสติแล้ว ก็รีบเสด็จไปยังที่เกิดเหตุทรงเก็บพระอัฐิที่เหลือ พร้อมด้วยชิ้นพระภูษากลับสู่พระนคร ต่อมาได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้สร้างพระสถูป เพึ่อบรรจุพระอัฐิธาตุ
เวลานั้นไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างแซ่ซ้องสดุดีว่า
“ พระราชโอรสองค์น้อยทรงบำเพ็ญมหาโพธิสัตว์ธรรม พระทัยอันเปี่ยมด้วยมหาเมตตาการุณย์เช่นนี้ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน"