รัฐมนตรีนักการปกครองท่านหนึ่งในคณะรัฐบาลที่ยุ่งเหยิงหาความสงบสุขมิได้ ซึ่งไม่ว่าจะถูกฝ่ายค้าน ฝ่ายตน คนในพรรค สาวไส้ไม่ไว้วางใจหรือใส่ไคล้อย่างไรก็วางเฉย ไม่เคยแสดงอารมณ์ตอบโต้ จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มีขันติธรรมสูง
วันหนึ่ง ท่านไปฟังปาฐกถาจากนักพูดรุ่นเก่ารุ่นใหม่หลายคน งานนี้มีผู้สนใจเข้าฟังกันไม่น้อย สองนักพูดรุ่นเก่าพูดจบ ได้รับเสียงปรบมือผ่านไป แต่นักพูดรุ่นใหม่ขึ้นพูดได้ครู่เดียว ก็เริ่มมีผู้ฟังทยอยออกจากห้อง
นักพูดยังคงพูดต่อไปอย่างมั่นใจ
สุดท้าย ปรากฏว่าเหลือท่านรัฐมนตรีขันติ นั่งฟังอยู่คนเดียว พอพูดจบ เขารีบลงจากเวทีมาขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่ตั้งใจฟัง
ท่านรัฐมนตรีตอบว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ที่นั่งฟังจนจบนั้นเพราะผมกำลังฝึกขันติธรรมว่า จะทนฟังได้แค่ไหน”
หลายวันต่อมา นักพูดเขียนข้อความสั้น ๆ ส่งไปถึงทานรัฐมนตรีขันติ ใจความว่า “กระผมชื่นชมในขันติธรรมของท่านมากแต่หากท่านจะไม่แสดงความรู้สึกว่า จะทนฟังได้แค่ไหน ขันติธรรม ของท่านคงจะสมบูรณ์กว่านี้”
ผู้มีธรรม อำพรางตน คนประเสริฐ
ให้เขาเชิด เลิศศักดิ์ศรี ดีหนักหนา
“อิฉันทำ บำเพ็ญใจ ได้แล้วนา”
หลวงพ่อด่า “อีตอแหล” แพ้ทันที
ครั้งนั้นสีกานางหนึ่งเข้าไปกราบสมเด็จฯ หลวงพ่อโตพรหมรังสี อวดตนว่าบำเพ็ญจิตได้ดีแล้ว หลวงพ่อจักการสอบอารมณ์ แกล้งด่าว่า “อีตอแหล” เท่านั้นเอง สีกาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที