ทหารเกณฑ์นายหนึ่งถูกส่งเข้าประจำการหน่วยรบแนวหน้าเขาขลาดกลัวมาก แต่เมื่อชาติกำลังประสบภัยสงคราม จะหนีทหารไม่กล้า จึงต้องจำทน
วันหนึ่ง ผู้บังคิ้กล้าหาญ
ารสอบอารมณ์ แกล้งตอกับบัญชาสั่งให้เขาขับรถบรรทุกลูกระเบิดไปส่งที่หน่วยรบแนวหน้า เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะถึงหน่วยรบ ระเบิดลูกหนึ่งของข้าศึกก็ยิงมาตกห่างจากรถที่เขาขับไม่เกินร้อยเมตร เขากลัวทั้งระเบิค กลัวทั้งรถจะคว่ำตายไม่ทันไร ระเบิดลูกที่สองก็ตามมาอีก
ครั้งนี้ เขาหมดแรงเข่าอ่อน หยุดรถลงตรงนั้น ระเบิดลูกที่สามยังคงตามมา
เขาไหลตัวลงจากรถอย่างหมดแรง คลานเข้าไปซ่อนตัวใต้ท้องรถชึ่งคิคว่าน่าจะปลอดภัยกว่า แต่พอนึกขึ้นได้ว่า ถ้าระเบิดรถทั้งคัน เขาคงแหลกลาญไม่มีชิ้นดี จึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายขึ้นตะบึงไปจนถึง
ที่หมาย
เมื่อไปถึง เขาต้องแปลกใจมากที่ทุกคนพากันมาห้อมล้อม ผู้บังคับบัญชาชื่นชมว่า
“เธอกล้าหาญมาก เราส่องกล้องเห็นเธอฝ่าระเบิด รถเกิดเสีย เธอหยุดรถลงไปนอนซ่อมเครื่องยนค์อยู่ใต้ท้องรถ เสร็จแล้ว รีบขึ้นรถบึ่งตรงมา ฉันจะเสนอให้เธอได้สองขั้น”
เสียงปรบมือให้แก่ผู้กล้าหาญดังไปทั่วหน่วยรบ
เขาโค้งตัวรับไว้ด้วยความดีใจที่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังความเป็นจริงนั้น
กล้าหาญคือ ถือความสัตย์ ไม่ปัดปิด
ผิดคือผิด คิด พูด ทำ ความถูกต้อง
อย่ากำกวม สวมรอยเอาเข้าทำนอง
ฟ้าดินมอง ฟ้องใจตน คนขลาดกลัว
ที่ท่านเห็น อาจไม่เป็น เช่นท่านคิด
ถูกหรือผิด จิตโน้มเอียง เที่ยงตรงไหม
ฟังเขาว่า นัยน์ตาเห็น เป็นเช่นไร
อย่าปักใจ ได้ยลยิน จินตนา