mindcyber 1 year ago

ประวัติพระอรหันต์จี้กง ตอนที่ 12

พุทธานุภาพรับเฉินอี๊เป็นศิษย์ ในความเมาธรรมจิตชี้ความไร้แสง

จี้เตียนกล่าวกับเฉินอี๊ว่า "ชีวิตคนเราในโลกนี้ เพื่อกายอันเหม็นเน่าที่ต้องกิน ข้าเห็นเจ้าไม่มีครอบครัว ทุกวันนี้จะวุ่นวายไปถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่ตามอาตมาเข้าวัดบวชเป็นพระ กินแต่อิ่มพอสบายก็พอแล้ว" เฉินอี๊ว่าข้าน้อยคิดคะนึงมานานแล้ว กลัวจะเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้ประสาอะไร เกรงจะบวชเป็นพระไม่ได้ หากอาจารย์ยอมพาผมไป วันนี้ก็ขอกราบท่านเป็นพระอาจารย์ ติดตามท่านอาจารย์เข้าวัด" จี้เตียนว่า "ตัดทันทีเจ็บปวด สู่ความเป็นภิกษุ" พอดื่มเสร็จก็นำเฉินอี๊เข้าวัดแล้วพาไปกราบท่านเจ้าอาวาสเจ้าอาวาสว่า "ศิษย์ได้พบลูกศิษย์คนหนึ่ง หวังให้เจ้าอาวาสรับไว้" เจ้าอาวาสว่า "ก็ดีๆ" จึงสั่งให้ตระเตรียมธูปเทียน แล้วให้เฉินอี๊คุกเข่าต่อหน้า พระพุทธรูป ทำการปลงผมจุดเจิมบนหัว ตั้งชื่อใหม่ว่า เฉินบ้วนฝ่า นั่นคือ

กราบเป็นอาจารย์โดยมิคิดก่อนมา กลับกลายมาเป็นเหมือนลูกหลานกัน 

ไม่ต้องเป็นเชื้อไขก็สัมพันธ์  หนทางอันกว้างใหญ่คือประตูธรรม


วันรุ่งขึ้น จี้เตียนนั่งว่างอยู่ จึงสั่งให้เฉินฝ่าไปหาไฟจากโรงครัวมาให้ เฉินบ้วนฝ่าถามว่า "อาจารย์จะเอาไฟมาทำอะไร" จี้เตียนว่า "ตัวข้าถูกพวกหมัดกัดจนทนไม่ไหววันนี้จะปลงอนิจจังของมัน จึงต้องใช้ไฟ" เฉินบ้วนฝ่าฟังแล้วก็ไปหาไฟมากระทะหนึ่ง วางไว้ตรงหน้า จี้เตียนถอดเอาจีวรออก แล้วก็ปิ้งไว้เหนือไฟ พวกหมัดก็มุดออกมาหลายตัว มีอยู่คู่หนึ่งกอดรัดกันกลม จี้เตียนหัวเราะว่า "ที่จริงพวกหมัดก็มีผัวเมียเหมือนกัน" ข้าจะกัดมัน ก็จะเปื้อนปากจะบี้มันตายก็จะเปื้อนมือ สู้ทำกงเต็กให้ เชิญพวกมันลงสู่ไฟเถอะ!" เสร็จแล้วก็ปัดจีวรพวกหมัดก็ร่วงสู่ไฟจี้เตียนก็ร้องออกว่า 

"เจ้าหมัดเอย ฟังข้าพูด พวกเจ้าควรจำไว้ หากยึดอยู่กับเลือดเนื้อให้สำเร็จก็จะเป็นอย่างเนื้อหนัง ความสะอาดไม่ไปปฏิบัติ ซ่อนอยู่ในความสกปรกของข้า แม้แต่ตัวเล็กๆ เท่าเม็ดงา ก็ยังเป็นสามีภรรยา อาศัยข้าเหมือนขุนเขา ดูดข้าเหมือนน้ำค้าง กายข้าก็มิใช่อยู่นาน แล้วเจ้าจะมั่นคงหรือ เตาไฟนี้ ขอให้อย่ากลัว จะได้ละทิ้ง จากกายเลื้อยคลาน แล้วเสาะแสวงหาหนทางสวรรค์" 


แวบ ! เสียงระเบิดในเปลวไฟ ซีๆ ซ่าๆ ไม่แสวงหา ! 

เสร็จแล้วก็ใส่จีวรกลับเข้าที่แล้วว่า "เขาไม่ขยับ ข้าก็เงียบ สุขสบายดี !" 

พูดพลางก็เดินออกไปข้างนอกพลาง ตรงไปถึงบ้านตาหวัง ก็พอดีกำลังจะจัดงานศพ จี้เตียนก็พูดกับยายหวังว่า "ยายก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียกใครข้าฯ ก็จะจัดแจงให้ก็แล้วกัน" แล้วร้องด้วยเสียงอันดังว่า

"ขนมหมี่บ้านตาหวัง สรรพคุณเป็นที่ชื่นชม โม่ถั่วหมดไปหลายพันหาบ นึ่งขนมเป็นพันๆ เข่ง หมดน้ำมันไปไม่รู้เท่าไร หมดฟืนไปเป็นหมื่นๆ ท่อน วันนี้หยุดพักแล้ว ทุกวันทุกคนห่วงว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร โลงศพมาถึงที่นี่ จะพักพิงที่ไหนดี

เฮ้อ ! ลมตะวันออกพัดไม่ไป นกร้องไห้ดอกไม้ก็ร่วงหล่น น้ำไหลไปช่างเปล่าเปลี่ยว !" 

ชาวโลกหามโลงมาถึงหุบเขา ขอเชิญจี้เตียนจุดไฟ จี้เตียนถือคบไฟแล้วกล่าวว่าขอให้ทุกท่านฟัง

คุณยายหวังให้ข้าฉันขนมหมี่น้ำหวาน ไหว้วานข้าช่วยคุณตาสู่ตะวันตก 

ตะวันตกแสนแปดพันลี้ช่างวนวก มิสู่วกกลับมาที่อวี่หางก่อน 


จี้เตียนพูดจบก็จุดไฟ มีเสียงหัวเราะจากญาติแล้วพูดขึ้นว่า "อาจารย์พูดเรื่องน่าขันว่าแดนตะวันตกอยู่ไกล ยังไม่ทันได้ไปตรวจสอบแต่ทำไมจึงพูดว่าให้อยู่ที่ อวี่หาง" ขณะที่พูดยังไม่จบก็มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้าไปรายงานข้างหน้าคุณยายหวังว่า "ยินดีต่อคุณยายด้วยที่หมู่บ้านอวี่หางเมื่อคืนนี้ลูกสาวยายได้คลอดหลานชายคนหนึ่ง ลูกเขยยายใช้ให้ข้าน้อยมารายงาน" ที่แท้คุณยายหวังมีลูกสาวคนหนึ่ง แต่งงานไปอยู่ที่หมู่บ้านอวี่หาง กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอดจึงไม่ได้มาเผาศพพ่อ ตอนที่ได้ข่าวว่าคลอดลูกเป็นชายก็ดีอกดีใจจึงถามไปว่า "ลูกชายหน้าตาเป็นไงบ้าง" คนนั้นบอกว่า "ไม่เพียงแต่หน้าตาดีเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องแปลกที่หน้าอกซ้ายมีตราประทับชื่อของคุณตาหวัง ใครๆ ก็สงสัยว่าคุณตากลับชาติมาเกิด" พวกพ้องได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจกลัว ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าจี้เตียนไม่ใช่คนธรรมดาเลยพากันมารุมถามถึงกรรมเวรของพวกเขา จี้เตียนเห็นคนล้อมเข้ามาหนาแน่น จึงกระโดดขึ้นบนโต๊ะแล้วตีลังกา อ้ายของที่อยู่ข้างหน้าก็โผล่ออกมาให้เห็น พวกชาวบ้านถึงกับหัวเราะใหญ่ จี้เตียนถือโอกาสที่พวกเขาหัวเราะหลบออกไป


จากหุบเขาก็มาถึงประตูเชงปอ แล้วตรงไปยังใต้สะพานซินกวน มาถึงร้านขายยาของเฉินผิงจี้ แต่เฉินผิงจี้ไม่อยู่ ส่วนคุณแม่เฉินซึ่งนับถือจี้เตียนมากรีบชงชามาถวายแล้วก็เตรียมสุรามาเลี้ยง พอจี้เตียนเห็นสุราเข้าก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว ดื่มติดต่อกันทีเดียวเสียสิบชาม จนรู้สึกมีอารมณ์มึนเมา คุณแม่เฉินจึงไปรินเอาน้ำแกงปลาชามหนึ่งมาถวาย จี้เตียนก็ไม่ปฏิเสธดื่มสุราลงไปอีกชามแล้วตามด้วยน้ำแกงปลา โดยจี้เตียนดื่มเสียจนเมาโซเซแล้วลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ คุณแม่เฉินเห็นเขาเมามากแล้วก็สั่งเสียว่า "ท่านต้องเดินผ่านสนสิบลี้แถวนั้นเงียบมาก ท่านเมามากแล้วต้องระมัดระวังหน่อย" จี้เตียนก็ตอบรับไปอย่างงัวเงียว่า "ข้าเป็นพระตัวเปล่าต้องระวังอะไรอีกหรือแต่คืนนี้ตีสี่สิ พวกท่านต้องระวังทางประตูหลังบ้านไว้" ว่าแล้วก็เดินโทงๆ ออกไป คุณแม่เฉินได้ยินจี้เตียนว่าเช่นนั้นก็ให้สงสัย พอถึงเวลาตีสี่ก็ไม่วางใจจึงใช้ให้คนไปดู ก็บังเอิญมีขโมยกำลังขุดที่กำแพงหลังบ้านอยู่พอร้องเรียกมันก็วิ่งหนีไป เหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้เพิ่มความนับถือจี้เตียนมากขึ้นดุจพุทธเจ้ายังพระชนม์ชีพอยู่ กล่าวถึงจี้เตียนขณะเดินมาถึงประตูเชงปอ กำลังเมาได้ที่เขาก็สะดุดลื่นไถลล้มลงจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น ขณะที่จะหลับตานอนก็มีทหารรักษาประตูกับพวกที่เดินผ่านมาพอดีต่างก็ล้อมมุงดู พวกที่จำได้ก็พูดว่า พระรูปนั้นคือจี้เตียนอยู่ที่วัดเจิ่นฉือ บ้างก็ว่าเขาแต่งกลอนเก่งเขียนรายงานดี บ้างก็ว่าข้าราชการคนนั้นไม่ถูกกับเขา บ้างก็ว่าพระรูปนี้ไม่ถูกต้องติดสุรา แล้วก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า พวกเรากำลังจะไปยังเซียะซันปอต้องผ่านวัดเจิ่นฉืออยู่แล้วพวกเราช่วยพยุงไปส่งด้วยก็แล้วกัน พวกนั้นก็ว่า "ดีๆ เป็นเรื่องดี" ว่าแล้วคนนั้นก็พยุงจี้เตียนขึ้นมาเอง จี้เตียนก็ช่วยยันเท้าเดินด้วยจึงไม่ได้กินแรงผ่านมาถึงสนสิบลี้อย่างช้าๆ จี้เตียนยันเท้าไม่อยู่จึงล้มลงอีก พวกเขาจะพยุงก็ลุกไม่ขึ้น คนนั้นเลยหมดปัญญาเลยปล่อยวางจี้เตียนไว้ ณ ที่นั่น แล้วเดินมาถึงวัดเจิ่นฉือช่วยเข้าไปรายงานให้ทราบ เฉินบ้วนฝ่ารีบร้อนเดินมาที่สนสิบลี้ก็พบจี้เตียนเมาจนกลิ่นฟุ้งไปหมดแถมยังหลับอยู่ที่พื้น เฉินบ้วนฝ่าจึงร้องเรียกว่า "อาจารย์ อาจารย์ตื่นเถอะ ผมจะพยุงกลับไป" จี้เตียนเห็นเป็นเฉินบ้วนฝ่าจึงด่าออกไปว่า "เจ้าควาย ! เจ้าไม่รู้หรือว่าอาจารย์เมาจนลุกไม่ขึ้นยังเรียกข้าให้ยืนขึ้นอีก ! เฉินบ้วนฝ่าหมดปัญญา จึงค่อยๆ พยุงพาขึ้นมายืนแล้วก็งอตัวเองลงแบกอาจารย์ขึ้นหลัง พอเดินไปได้เพียงสิบก้าวรู้สึกฤทธิ์เหล้าจะสำแดงทำท่าจะอาเจียน เฉินบ้วนฝ่าว่า "อาจารย์ทนเอาหน่อยรอให้ถึงวัดเสียก่อนค่อยอาเจียน" จี้เตียนก็ไม่รู้ว่าอะไรยังเดินต่อไปไม่ถึงสิบก้าวจี้เตียนก็โอ้กอ้ากอาเจียนของสกปรกออกมา ลาดเต็มหัวเต็มหน้าเฉินบ้วนฝ่าไปหมด เฉินบ้วนฝ่าคิดจะวางลงมาเก็บเสียก่อนก็กลัวว่าจะเปลืองแรงก็สู้ทนกลิ่นเหม็นไปก่อน จนกระทั่งถึงวัดจึงลงมือวางอาจารย์ลงบนโต๊ณะทำหมี่ให้หลับอยู่อย่างนั้น แล้วจึงทำความสะอาดหัวกับหน้า กลับมาดูอาจารย์อีกทีก็ยังคงเห็นจี้เตียนนอนหลับปุ๋ยอยู่จึงนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ


เฝ้าอยู่ไม่นานทันใดก็เห็นจี้เตี่ยนผลุนผลันกระโดดขึ้นมาร้องตะโกนว่า " ไร้นามลุกแล้วลุกแล้ว " (ไร้นาม หมายถึงไฟไร้นาม(ไฟธรรมดา) หากเป็นไฟมีนามได้แก่ ไฟโทสะ ก็มักจะเรียกว่าไฟไร้แสง) ตอนนี้เป็นยามที่ดึกสงัด เหล่าสงฆ์แม้จะได้ยินก็คิดว่าจี้เตียนเมาเหล้าแล้วโวยวายไม่มีใครสน เฉินบ้านฝ่ากำลังงัวเงียก็ได้แต่ตบบ่าเบาๆให้จี้เตียนนอน นอนต่อไปอีกไม่นานก็คิดว่าจี้เตียนกระโดดขึ้นมาร้องอีกว่า " ไร้นามลุกแล้วลุกแล้ว " เวลายิ่งดึกเหล่าพระสงฆ์ต่างหลับหมดแล้ว จี้เตียนเรียกอยู่ตั้งนานก็ไม่มีใครสนใจจึงวิ่งออกมาทางระเบียงร้องตะโกนว่า " ไร้นามลุกแล้วลุกแล้ว" มีความกระวนกระวายมากจึงวิ่งไปทุบประตูแต่ละห้องพลางร้องเรียกว่า " ไร้นามลุกแล้วลุกแล้ว " ร้องเรียกจนถึงยามสาม ทันใดนั้นในห้องอรหันต์ตะเกียงกระจกไฟลุกไหม้ถึงโคมผ้า (โคมผ้า เป็นโคมรูปทรงกระบอกมักมีแถบผ้าประมาณสี่ถึงแปดแถบแล้วแต่ขนาดบนแถบจะมีคำคาถาติดไว้ ใช้แขวนประดับสองข้างของแท่นบูชา) เกิดไฟไหม้ขึ้นแล้วพระสงฆ์จึงตกใจตื่น พอลุกขึ้นได้ไฟก็ลุกขึ้นไปตามลมไม่นานนักไฟก็ลุกไหม้ถึงห้องที่พระสงฆ์นอนกัน พวกสงฆ์จึงชุลมุนช่วยกันดับไฟแต่สายไปเสียแล้ว ต่างวิ่งไปมา จี้เตียนจึงร้องด่าไปว่า "ข้าร้องเรียกก็อุดหูไม่ยอมฟัง ตอนนี้เผาเสียราบเรียบ น่าเสียดายท่านเจ้าอาวาสจากไปเสียแล้ว ไม่ได้พบหน้าตอนส่ง น่าสงสาร น่าสงสาร! " ขณะนั้นพวกสงฆ์ต่างทุกข์ร้อนจับกันเป็นกลุ่มๆก็ยังมีใจหันมาฟังเขาพูด จนกระทั่งรุ่งเช้า ก็มีเหล่าทหารและชาวบ้านต่างพากันมาตรวจหาสาเหตุของไฟไหม้และได้จับผู้ดูแลวัดไปสองคน พวกสงฆ์ต่างทุกข์ร้อน บ้างก็ตีอกตบเท้าโกรธแค้นว่า " พวกเราได้บำเพ็บธรรมตลอดทั้งวันตลอดวันตลอดระฆังรุ่งอรุณจนถึงค่ำพระโพธิสัตวมากมายก็มิได้มีจิตสัมผัสช่วยเหลือปกป้อง" จี้เตียนฟังแล้วหัวเราะลั่นว่า " พวกเจ้าพระขี้เท่อจะรู้อะไร " ความสำเร็จหรือทำลายเป็นเรื่องของโลกเกี่ยวข้องอะไรกับโพธิสัตว์ แล้วพูดออกมาสี่ประโยคว่า


“ไร้นามจุดกำเนิดแห่งลังเล อาคารเท่คือกิเลสใจ 

พุทธะแห่งข้าจิตสัมผัสได้ ตำหนักใหม่สำเร็จตามธรรมชาติ” 


น่าเสียดายที่วัดเจิ่นฉืออันใหญ่โต ได้เกิดอัคคีภัยตั้งแต่เที่ยงคืนก่อน เพลิงไหม้จนถึงเที่ยงคืนก่อน เพลิงไหม้จนถึงเที่ยงวันรุ่งขึ้นจึงสงบลง ตำหนักกลางพร้อมห้องเฉลียงสองข้างถูกไฟเผาผลาญหมด เหลือแต่ประตูวัดเท่านั้นที่ไม่ถูกทำลาย ตรวจนับจำนวนพระทั้งหมด ถึงแม้จะมีจำนวนมากแต่ก็อยู่ครบตามบัญชีแต่เจ้าอาวาสไม่เห็น บ้างว่าท่านนอนหลับสนิทคงถูกไฟคลอกตายแล้ว บ้างว่าคงหนีไฟไปนอกวัด พระทุกรูปต่างแยกย้ายกันออกหา ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสไปอยู่ที่ไหน 


อธิบายท้ายบท โดยพระอรหันต์จี้กง

1. พบเจ้าเฉินอี๊ คนขายผักกาด หาบของขายวุ่นวายทุกวัน แต่ที่เป็นเพราะมีรากธรรม เมื่อมาพบกัน แล้วพูดว่า " เรามีบุญสัมพันธ์กัน อยากเชิญจี้เตียนดื่มสักชาม " ข้าเห็นว่าบุญสัมพันธ์เขาถึงเวลาแล้ว จึงเตือนเขาว่า "ชีวิตคนเราในโลก อยู่ไปก็เพื่อเจ้ากายอันเหม็นเน่านี้ ทำไมต้องทุกข์กับมันนัก สู้ออกบวชเป็นพระไม่ได้ มีความสะดวกสบายแถมยังสามารถคืนสู่เบื้องบนได้ " เฉินอี๊ตอบรับทันทีจึงติดตามข้าไปบวช

2. เมื่อจุดธูปเทียนแล้ว เฉินอี๊ก็คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป เจ้าอาวาสโกนผมเจิมศรีษะให้แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น " เฉินบ้วยฝ่า " นั่นคือ

การจุดธูปเทียน เป็นการละความสกปรกที่ส่องวิญญานมืด

การโกนผม การโกนผมเป็นการโกนรูปลักษณ์แห่งความเป็นชาย หญิง ทิ้ง จะไม่ได้เกิดจิตที่มีรูป

การคุกเข่าต่อหน้าพระ มีดที่ตัดขาดจะคอยควบคุมเจ้าให้ฆ่ารูปลักษณ์เสีย ผู้ออกบวชเหมือนกันหมด

การลูบบนศรีษะ ดูว่า หัวล้านกลมหรือไม่กลม ใสหรือไม่ใส หากไม่กลมไม่ใส ก็ต้องฝึกฝนจนเกิดแสง 

การเจิม  เป็นการเกิดจุดญาณทวารเพื่อชี้จุดทางเกิดดับ เป็นการปิดประตูบาป ธรรมจักษุจงมองทางตรงข้างหน้าของเจ้า มือของอาจารย์ถือดวงประทีป ใส่ไว้ที่ประตูธรรมเพื่อให้รู้ว่าเมื่อก่อนมาจากทางนี้ จากทางนี้ก็จะไปทางนี้เปิดประตูแห่งความสงบนิ่งวันข้างหน้า ( ขณะฉุกเฉิน ) ก็จะได้หลบหลีกได้

เฉินอี๊ เปลี่ยนชื่อเป็น เฉินบ้วนฝ่า (บ้วนฝ่า มีความหมายว่า สรรพวิธี , หมื่นวิธี)


สรรพวิธีสู่ความเป็นหนึ่ง จิตหนึ่งก่อเกิดสรรพวิธี ตาไปเกิดหลานหลานกลายเป็นตา อย่าง อู๋จี๋ (อู๋จี๋ หรือบ่เก็ก คือ ชั้นไร้อรูปภูมิ เป็นฟ้าปางก่อน หรือชั้นนิพพาน) เกิดไท้จี๋ (ไท้จี๋ หรือไท้เก็ก คือ สวรรค์ชั้นพรหม )ไท้จี๋ อยู่ที่อู่จี๋ เหลือแต่จิตแท้จริง เหลือแต่จิตแท้จริง ก็คือ เขาญาณแห่งพระพุทธองค์ 


3. เมาแล้วอาเจียนลาดใส่ เฉินบ้วนฝ่า เสียเต็มตัวก็เพื่อให้เขาไดชำระล้างให้สะอาดจะได้บำเพ็ญดี 

4. ฤทธิ์สุรามากมายนัก เตือนคนอย่าโลภดื่ม จะได้ไม่กายดับ บ้านสลายลูกเมียแยกจาก หากไม่เชื่อ ลองดูตอนกลางคืน จี่เตียนร้องเรียก "ไร้แสงลุกแล้ว ไร้แสงลุกแล้ว!" ไฟไหม้หมวกบนหัว คนก็ไม่รู้กำลังฝันหวาน ไฟกำลังมาถึงบ้าน โปรดระมัดระวัง! 

5. ไฟที่ไม่สว่าง หาสาเหตุไม่พบ ไหม้จนสะอาดราบเรียบ ( ความหมายของชื่อวัด) ก็ไม่มี 199 ร้อนรนไป ก็ไม่มีประโยชน์ หมายความว่า " ฟ้าก็ว่างเปล่า ดินก็ว่างเปล่า ชีวิตคงเวิ้งว้างอยู่ท่ามกลาง วัดก็ว่างเปล่า พุทธะก็ว่างเปล่า ฝุ่นกิเลสตลบ พุทธไร้ร่องรอย" 

6. ทำให้พวกพระเป็นทุกข์ โทษว่าโพธิสัตว์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ข้าเลยว่า " ความสำเร็จหรือการทำลายเป็นเรื่องทางโลก ( เกิดดับเป็นเรื่องโลกๆ) ไม่เกี่ยวข้องกับโพธิสัตว์" เมื่อเฉลยธรรมไม่เพียงสี่มหาภูมิว่างเปล่า โพธิสัตว์ก็ว่างเปล่า เป็นเพราะความว่างเปล่า จึงสามารถเกิดความดีของเก่าหากไม่ไหม้ไป ของใหม่จะมีได้อย่างไร นั่นคือ 

เผาวัดเก่าทิ้งไป สบายโพธิสัตว์ไป 

ฟ้าดินต้องการตำหนักใหญ่  กว้างขวางหลังคาสูง

7. ไร้แสงก็ไปแล้วยังหาเจ้าอาวาสไม่พบ หรือว่าไปพร้อมไฟ เชิญติดตามหา 

0
570

วิญญาณพลิกกลับ

พระพุทธจี้กง

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

กรรมของหมอทำแท้ง

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
video

พระโอวาท เพลงสายทองพระบรรพจารย์

admin
mindcyber
1 year ago

กะหล่ำปลีตุ๋นเห็ดหอม

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

หลักปณิธานเป็นหลักสำเร็จพุทธะ

มัญชุศรี พระโพธิสัตว์

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago