ยมบาลอธิบายหนทางหมุนเวียน สัตว์เกิดสี่ช่องทางมาจากข้างประตู
อรหันต์จี้กงเสด็จประทับทรง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2525 กลอนว่า:
สัตว์เดรัจฉานคร่ำครวญถึงทุกข์หนัก
เศร้ายิ่งนักน่าสงสารจิตขมขื่น
ยื่นมือปล่อยให้พ้นกรรมชีวิตฟื้น
วิญญาณคืนกลับสู่สรวงสวรรค์
ที่สำนักยามค่ำคืนเคลื่อนพู่กัน
ตระเวนหนักผ่านภูเขาทั่วไพรวัน
เหินฟ้าโอบอุ้มจิตอยู่ทุกวัน
ให้ชีวันอยู่เหนือทุกข์ทั่วทุกตน
อรหันต์จี้กง :วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเทพเจ้าผู้ประทานพรเรียกเทศกาล “ง้วนเซียว” (เป็นเทศกาลหลังตรุษจีน คือ วันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนอ้ายของจน)(เทศกาลโคมไฟป เทพเจ้ามิได้ประสาทแก่ชาวโลกเพียงอย่างเดียว ยังประทานพรให้แก่มวลสัตว์ด้วย ทั่วทุกหนทุกแห่งจะประดับประดากระดาษสีบนต้นไม้ และมีโคมไฟแขวนอยู่ทั่วไป เด็กๆ ก็จะถือไฟเดินเล่นทำให้เกิดแสงระยิบระยับในยามราตรี ในความมืดของราตรี ยังมีเหล่าวิญญาณ ที่รอคอยความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งโคมพุทธประทีป พร้อมกุญแจวิเศษไปยังหมู่บ้านชาวนา
หยางเซิง :เทศกาลโคมไฟ ถือโคมเดินเล่นถือเป็นปกติธรรมดา แต่อาจารย์ยังถือลูกกุญแจด้วย กระผมรู้สึกแปลกใจ
อรหันต์จี้กง :ฮาฮ้า! มีโคมไฟไม่มีกุญแจ ข้าก็ไขเข้าไปไม่ได้ “เขา” ก็ไขออกมาไม่ได้
หยางเซิง :กลางคืน อาจารย์ถือกุญแจ คิดอยากเป็นขโมยหรือ?
อรหันต์จี้กง :ฮาฮ้า! ชาวโลกล้วนใส่กรงเหล็ก ทั้งหน้าต่างและประตู เหมือนถูกขังอยู่ในคุกตะราง ถ้าปราศจากลูกกุญแจวิเศษนี่ ข้าก็ไม่สามารถที่จะเปิดประตูหน้าของเขาได้ ดังนั้นข้าจึงเอา โคมพุทธประทีปกับ กุญแจวิเศษมา ไม่ใช่เป็นขโมยเล็กๆ แต่เป็นมหาโจร ดังนั้น วันนี้ข้ามีกุญแจไขธรรมะด้วย
หยางเซิง :อาจารย์ทำตัวเป็นมหาโจร ใจกล้าจริงๆ!
อรหันต์จี้กง :คือเทศกาลโคมไฟนึกถึงการทายปัญหาโคมไฟศิษย์อาจารย์ไม่อายที่ใจตรงกัน วันนี้ข้าไม่อยากถือโคมเพียรไขใจคน ทำให้ตาสว่าง ถือโคมไฟถึงยามสาม ไก่ขันใกล้รุ่ง! ถือโคมเดินส่องทั่งหมู่บ้าน ปลดปล่อยคอกสัตว์ ช่วยเหลือวิญญาณโทษเหล่านี้ เนื่องจากสรรพสัตว์ก็มีจิตเดิมของพุทธวิญญาณสัตว์ บางครั้งคุณธรรมไม่ด้วไปกว่าจิตคน ดังนั้นข้าจึงอดสงสัยไมไหว เพื่อโปรดสัตว์กว้างเมื่อก่อนนี้อำเภอหงษ์ซาน นายจากเต้าเฮี้ยง มีศิษย์นักศึกษา ซิ้มตงหยิ้ง ศิษย์ฝ่ายบู้ ซิ้มตงหงี ทั้งสองแย่งมรดกกันไม่หยุด เลยเขียนคำกล่าว เตือน ไม่ให้แย่งชิงกัน ความว่า : “นกหงส์เรียกลูกอีกาสนองตอบเพราะมีเมตตา กวางมีหญ้าเข้าเป็นหมู่ มดมีกินก็รวมกลุ่มเพราะมีธรรมะ ผึ้งมีนางพญากับขุนนาง ห่านป่าบินเป็นระเบียบเพราะมีมารยาท นกในรังร้องเรียกเพราะรู้ว่าจะมีพายุ เสียงกบร้อง เพราะรู้ว่ามีฝนตก เพราะมีปัญญา นกนางแอ่นรู้ฤดูกาลไม่รู้เวลาก็ขัน เพราะมีสัจจะ พวกสัตว์ป่า หนอนใบหญ้าก็ยังรู้หลักคุณธรรม 5 ประการนี้” “ไฉนเป็นคนกลับไม่เข้าใจล่ะ?
สมัยโบราณกษัตริย์ถังโง้วสละบัลลังก์ เพื่อความสงบสุขของไพร่ฟ้า กษัตริย์อี้จี้ก็ยอมสละอำนาจไปอดตายบนภูเขาซิ่วเอี้ยงเธอทั้งสองไม่มีจิตใจกว้าง มีจิตใจที่คอยแย่งชิงกันตลอดชีวิตมาฟังแต่เมียยุแหย่ ทำให้พี่น้องไม่รักกัน
ซิ้มตกหยิ้งไม่มีเมตตาธรรม ซิ้มตงหงีก็ไม่มีความซื่อสัตย์ที่ได้รับการศึกษามามากแต่ก็ไม่ตั้งจิตใจสอนน้อง ส่วนน้องมีวิชาวิชัยยุทธ เกิดมีจิตคิดทำร้าย ขาดเมตตาและความซื่อสัตย์เสื่อมเสียหลักธรรมะของฟ้าดิน ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ขาดเหตุผลขอเตือนให้เธอทั้งสองจงปองดองกัน
พอทั้งสองพี่น้องฟังจบ ต่างโผเข้ากอดกันร้องไห้ ยอมปองดองคืนดีกัน ดังนั้น นายอำเภอจึงแต่งกลอนให้พี่น้องที่คือดีกันว่า:
อันทรัพย์ศฤงคารกองมรดก
ไม่ควรงกแก่งแย่งปีนเกลียว
พี่น้องเกิดแต่ต้นกอเดียว
มีสักกี่เที่ยวได้เป็นน้องพี่
อยู่ร่วมต้องอดทนผาสุกเกิด
อย่ารื้อฟื้นเปิดตะเข็บสงบดี
ภายภาคหน้าเกิดบุตรก็น้องพี่
ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน
จากตัวอย่างที่เห็นนี้ “คนต่างจากสัตว์สักแค่ไหน? มนุษย์เกิดร่วมสายโลหิตเดียวกันจำนวนมากที่เข่นฆ่าชิงกันก็เนื่องจากทรัพย์สมบัติ ไม่เอาญาติโยม พูดถึงสัตว์เดรัจฉานที่มีเลือดเนื้อ ยิ่งเป็นการฆ่า(เมตตา) อย่างไม่เห็นเลือดเลย!มนุษย์ที่มีความรักต่อสัตว์เดรัจฉาน ดังเช่น สุนัขและแมวซึ่งเป็นแนวโน้มส่อให้เห็นได้ว่า สัตว์ได้รับการยกย่องขึ้นทุกทีมีชีวิตอย่างผาสุกดุจคน ได้รับเกียรติจากมนุษย์ แต่ในด้านของความโกรธแค้น (อันที่จริงมิใช่ความโกรธแค้น แต่เพราะความอร่อยปากต่างหาก) ที่มีต่อสัตว์เดรัจฉาน ก็ได้แต่ “ฆ่า” ลูกเดียว สิ่งนี้เป็นความเศร้าของสัตว์ ขณะเดียวกันในสังคมปัจจุบัน คนกับคน ก็เกิดการ “ฆ่า” ไม่น้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะคนมี “ลูกตาหายไป” หรือไม่ก็เป็นคนที่มีจิตอัมพาต
เออ ข้าจะแต่งกลอนร้องตอบกลอนของนายอำเภอที่พี่น้องคืนดีกัน จะเป็นการตักเตือนชาวโลก จะได้บังเกิดความรัก อย่าให้เหมือน พี่น้องดุจสัตว์เดรัจฉานที่ข้องใจกัน!
หมุนเวียนเกิดหกช่องทางไม่ต้องแย่ง
แตกแขนงแยกจากกอเดียวกัน
คนแก่เร็วเพราะกินเนื้ออร่อยมัน
เลือดเนื้อนั้นใช่อื่นคือพี่น้อง
จงอย่าทุกข์เพราะลิ้นลิ้มรสเด็ด
เที่ยวเผด็จชีวิตเลือดไหลนอง
จงอดทนอยู่ร่วมแผ่นดินทอง
กรรมสนองหากกินเขาชดใช้คืน
กลอนกล่าวจบแล้ว หยางเซิงเตรียมตัวออกเดินทางได้
หยางเซิง :ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทาง......รอเดี๋ยว รอเดี๋ยว ท่านอาจารย์พอออกจากประตูสำนักเซินเต๋อถังก็เห็นเงาของพวกสัตว์เต็มไปหมด แถวนี้ก็ไม่ได้มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้?
อรหันต์จี้กง :นี่ก็คือความสำเร็จของเราล่ะ เราศิษย์อาจารย์ได้รับเทวโองการให้มาแต่งหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” พวกสัตว์เดรัจฉานได้รับบุญกุศลไม่น้อย ไม่มีใคไม่ดีอกดีใจหนังสือจวนเจียนจะสำเร็จแล้ว ทางสำนักเซินเต๋อถังก็จะจัดมาสอบถามความจริง รอคอยพระพุทธเจ้าทั้งสิบทิศ พระเถระผู้ใหญ่ทั้งสามแดน ยื่นมือกอบกู้ช่วยเหลือกัน ดังนั้น ในพิธีสามวันนี้ จะมีป้ายวิญญาณของสัตว์เดรัจฉานด้วย เพื่อให้พระได้สวดมนต์แผ่เมตตา จะได้พ้นจากทะเลทุกข์ได้รวดเร็จซึ่งก็เป็นคำสั่งในการโปรดสัตว์สามโลกด้วย
หยางเซิง :มันน่าแปลกประหลาดจริงๆ ! ศิษย์ได้ตระเตรียมสถานที่ไว้ นิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์โปรดสัตว์ และวิงวอนและก็วิงวอนเบื้องบนได้อโหสิกรรม ให้วิญญาณของพวกสัตว์ได้โบยบินสู่แดนสวรรค์
อรหันต์จี้กง :งานพิธีครั้งนี้ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงให้ความสุขแก่คนเท่านั้น ยังได้ช่วยเหลือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้หลุดพ้นจากขุมนรก และยังช่วยดวงวิญญาณสัตว์ขึ้นมาด้วย เมื่อหนังสือนี้ออกสู่โลกแล้ว พวกสัตว์เดรัจฉานก็ได้รับการคุ้มครองมากขึ้นเป็นการลกบาปเวร หลีกห่างห่วงทะเลทุกข์ ! พวกเรารีบไปเมืองนรกขุมที่สิบเถอะ......! เรามาถึงขุมที่สิบแล้ว!
หยางเซิง :(ท่านยมบาลแห่งขุมที่สิบ หลุ้นจ้วงอ้วง ได้ออกมาต้อนรับ .....!) ศิษย์ขอคารวะท่านหลุ้นจ้วงอ้วง!
หลุ้นจ้วงอ้วง:มิต้องเกรงใจ! เนื่องจากวันก่อนเวลาจำกัด ไม่สามารถบรรยานเกี่ยวกับการหมุนเวียนเกิดของสัตว์เดรัจฉานได้หมด วันนี้ท่านมาอีก จะได้อธิบายรายละเอียด!
หยางเซิง :ขอบคุณท่านยมบาลที่มีพระคุณ!
ยมบาล :เชิญทั้งสองท่านตามข้าพเจ้ามา!
หยางเซิง :เดินตามหลังท่านหลุ้นจ้วงอ้วง แพล็บเดียวก็มาถึง “หอหมุนเวียน” มองเห็นเหนือลำธาร “สีแดง” มีหอวงจักรอันใหญ่อยู่หอหนึ่ง กำลังหมุนเวียนอยู่.....
ยมบาล:ข้างหน้าที่เห็นก็คือ “หอหมุนเวียน”
อรหันต์จี้กง :วงจักรเปรียบเหมือน “ธรรมจักร” ที่หมุนเวียนจะเป็นคนเป็นผี เป็นเทวดา หรืออรหันต์ ก็แล้วแต่มันล่ะ!
หยางเซิง :การเป็นเทวดาเป็นพระอรหันต์มิใช่ไม่ต้องผ่านหอหมุนเวียนหรอกหรือ?
อรหันต์จี้กง :ถึงแม้จะไม่ต้องผ่านหอนี้ แต่ในมนุษย์โลกก็คือ “หอหมุนเวียน” วงจักรหมุนอยู่เสมอ เหมือนกับกอหมื่นบุปผาไม่สามารถทำให้ผู้ทรงศีลหลงไหลได้ ดังนั้น จงจักรก็จะกลายเป็น “ยานทิพย์” นั่งแล้วสุขสบาย ไม่เหมือนพวกที่จะเวียนไปเกิดยังช่องทางทั้งหก ซึ่งมีบาปกรรมติดตัว พวกมันพอย่างเข้าวงจักร หัวจะมึนงงเหมือนคนเมารถเมาหรือ ต่อจากนั้นก็จะอาเจียน (เหมือนสตรีมีครรภ์ที่แพ้อย่างนี้น) คนที่เป็นมากๆก็ถึงกับอาเจียนเป็นเลือด (เหมือนตอนกำลังจะคลอดจะมีทั้งน้ำคาวปลาน้ำเลือด) ในช่วงขณะมึนงงอย่างมากนี้ ก็จะตกลงไปสู่โลกใหม่(จุติ)!
หยางเซิง :อาจารย์กล่าวได้อย่างอัศจรรย์ ที่แท้การเวียนเกิดใหม่ก็เกิดขึ้นด้วยฉะนี้นี่เอง น่าแปลกแท้ๆ
ยมบาล:พวกวิญญาณที่บาปกรรมเหล่านี้ ก็จะถูกยมทูตผลักเข้าสู่วงจักรในหอหมุนเวียน เข้าสู่วัฎฎจักรของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
หยางเซิง :บรรดาผู้ที่จะกลับชาติไปเกิดเป็นคนหรือสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ต่างก็มีสิทธิเลือกหนทางไปเกิดมิใช่หรือ?
ยมบาล:มิใช่! เมื่อครั้งก่อนที่มาเห็นว่าพวกมันมีสิทธิ์เลือกเกิดนั้น(บทที่ 20 ) เป็นเพียงอยากให้ชาวโลกได้รู้ว่าพวกวิญญาณบาปเหล่านี้ ยังมีลักษณะหลงงมงาย พวกเขามีบาปหนักมากแล้วคิดที่จะไปเกิดเป็นคนเพื่อเสวยสุขอีก ซึ่งเป็นการเพ้อฝันสติฟั่นเฟือนใหญ่ บรรดาพวกวิญญาณบาป ผ่านการลงโทษมาถึงเก้าขุมนรกแล้ว ถูกส่งมายังนรกขุมที่สิบแล้ว ก็จะถูกจัดแจงตามบาปกรรมที่ก่อไว้ชาติก่อน ให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของทั้งสามโลก ให้ไปเกิดในหกช่องทาง ยังจะมีอิสระภาพในการเลือกเกิดได้อย่างไร?
หยางเซิง :อ๋อ! ด้วยเหตุนี้เอง! พวกวิญญาณบาปที่อยู่ข้างหน้านี้จึงได้แต่ร่ำไห้ คงรู้ว่าชาติหน้าจะมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้!ศิษย์ยังมีข้อข้องใจที่จะเรียนถามท่านยมบาล คือว่า : เคยพบผู้ที่มีจิตคิดจะบำเพ็ญเพียร แต่เป็นเพราะเหตุใดร่างกายจึงมักมีโรคมากหรือไม่ก็มีบ้านที่มีปัญหา หรือในทางตรงข้างก็คือครอบครัวมักอยู่สุขทำให้คนไม่เข้าใจ?
ยมบาล :ฮาฮ้า! คนใจบุญมักมีโรคมาก เนื่องจากชาติที่แล้วเขามีเวรกรรมหนักอยู่ หลังจากผ่านการลงโทษจากทุกขุมนรกแล้ว ตอนที่อยู่เมืองนรกได้ตั้งปณิธานไว้ว่า เกิดชาติหน้าจะประพฤติตนเป็นคนดี ดังนั้น พวกคนใจบุญมักจะมีเคราะห์มากเป็นการชดใช้เวรกรรมชาติที่แล้วมา อย่าได้โทษฟ้าโทษดินเลยควรรู้สำนึกผิด สร้างสมบุญกุศล สักวันหนึ่ง เพราะหมดเวรกรรม หมดหนี้เก่าก็ย่อมจะสุขสบายแน่นอน สำหรับผู้ที่ก่อกรรมทำชั่วนั้น แล้วอยู่เป็นสุขนั้น เกิดขึ้นเพราะชาติก่อนเขาได้สะสมบุญบารมีเอาไว้มาก ยมบาลก็มิได้เพิ่มโทษใดๆพวกมันก็ไม่ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า ชาติหน้าจะประพฤติตนเป็นคนดี ดังนั้น พวกมันก็มีความสุขได้ แต่พอสิ้นบุญลง ชาติต่อไปก็ย่อมได้รับโทษที่ตนก่อไว้
จึงมีคำกล่าวว่า:
“บาปบุญไม่มีประตู
แล้วแต่คนก่อเอา
เคราะห์กรรมย่อมตามสนอง
เหมือนดังเงาติดตามตัว”
ผู้คนอย่าดูเพียงชาตินี้ชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่ได้รับในชาตินี้สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้น พวกที่ยากจน มีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดินหรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญ สร้างกุศล พวกที่มีบุญวาสนาก็ยิ่งต้องรักบุญกุศล สะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้น พอหมดบุญลงเคราะห์กรรมจะมาถึง ก็จะลิ้มรสผลชั่วของตนเอง
หยางเซิง :ขอบพระคุณที่ท่านยมทูตให้ความกระจ่าง เนื่องจากผู้คนล้วนมีแต่ตาเนื้อธรรมดา จะสามารถรู้แจ้งถึงการหมุนเวียนมาเกิดใหม่ของบรรพบุรุษหรือญาติโยมได้อย่างไร?
ยมบาล :ตลอดชีวิตของคน ตอนที่ใกล้จะตายลง ให้สังเกตอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ร่างกายแข็งทื่อ หรืออ่อนนิ่มใบหน้าปกติหรือไม่ จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติ หรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้:
1.ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติ ร่างกายอ่อนนิ่มสีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่คติ
2.ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ นั่นแสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ถ้าตอนตายใหม่ๆร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัวทำให้เนื้อกายเปลี่ยนลักษณะไป ซึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะซึ่งจะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกัน เราก็ดูได้จาก “ตา หู จมูก และปาก” เป็นทวารทั้งสี่ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิดเพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูก ปาก็มีน้ำลายเป็นทวารที่ไม่สะอาด สี่ช่องทาง ดังนั้น เมื่อตายลงแล้วถ้าวิญญาณออกจากทวารต่างๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท คือ สัตว์เกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดเป็นสัตว์น้ำและเกิดเป็นพวกแมลง
3.1 “ตา” พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตาชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่น พวกนกต่างๆอันได้แก่ นกพิราบ นกนางแอ่น นกเหยี่ยว .....เป็นต้น พวกนี้ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ บินไปไหนๆ ได้อย่างเสรี
3.2 “หู” พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดี เรื่องร้ายๆต่างๆมากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้นวิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ช้าง ม้า วัว ควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย
3.3 “ปาก” พวกที่กล่าวร้ายทำร้ายผู้อื่น พูดจาเสียดสี นินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไมหุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็น ของสกปรกและถูกคนจับตัวมากิน
3.4 “จมูก”พวกที่ชอบดมของหอมมากๆ ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอน ต่างๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ขึ้น มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบาปหนัก วิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลงต่างๆกัน
เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร “ตา หู จมูก ปาก” นี้ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำรอง ที่คอยช่วยเหลือ “เจ้าของธาตุแท้” ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้อง ก็จะเป็น “ผู้เที่ยงตรงทั้งสี่” หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น “สี่มหาโจร” ซึ่งจะทำลายเจ้าของ ในเวลาปกติ ถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลงวิญญาณ ก็จะออกทางทวารเหล่านี้ โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ สี่ประเภท ดังนั้น ท่านศาสดา “ขงจื้อ” จึงกล่าวว่า “สิ่งที่ไร้มารยาท ไม่ควรดู ควรพูด ควรฟัง ควรกระทำ” เป็นการเตือนสติชาวโลก
ถ้าพูดถึง รูปธรรมทั้งสี่ กล่าวว่า
ตามีหน้าที่สังเกต เป็น “รูปเขา” .....ถ้าสามารถสงบนิ่งแล้วพิจารณาดูสรรพสัตว์เหมือนดังเด็กทารก ไม่แยกมิตรศัตรูโต้ตอบเสมอภาค ทำอย่างยุติธรรม ไม่ถือเขาถือเรา ไม่ดูถูกผู้อื่น จึงมีชื่อว่า “ไม่มีรูปเขา”
หูมีหน้าที่เงียบ เป็น “รูปเรา” ......ถ้าสามารถกำหนดรู้ว่ากายเรานั้นยอมสูญสลาย รู้ว่าทุกสิ่งนั้นอนิจจัง โดยยึดหลักธรรมการสอนของ “เซน” เสียสละด้วยความกล้าหาญ ไม่รักตัวกลัวตาย เพื่อความสำเร็จที่ใหญ่กว่า เราพลีชีพอันน้อยนิดของเรา เพื่อชาติ เพื่อประชาชน จึงได้ชื่อว่า “ไม่มีรูปเรา”
จมูก มีหน้าที่แยกแยะ เป็น “รูปอายุ” .......ไม่กระทำอย่างสามัญชนแต่งจงให้อภัยผู้อื่น ปณิธานที่ตั้งไว้ให้ยึดถือปฏิบัติอย่าเป็นคนเจ้าทุกข์ พะว้าพะวง คิดห่วง จะมีอายุให้ถึงร้อยปี ดังนั้น จึงได้ชื่อว่า “ไม่มีรูปอายุ”
ปาก มีหน้าที่พูด เป็น “รูปสรรพสัตว์” .....ถ้าสามารถแยกโลกออกจากจิตใจ พอหมดก็ให้หมดตลอดกาล ไม่ให้เกิดความโลภ หลง ติดต่อกัน ก็จะหลุดพ้นช่องทางเกิดหกช่องทางก็ไม่สามารถที่จะกลับคือรูปลักษณ์เดิม (จิตเดิม) ได้ ภาวนาให้ชาวโลกรีบๆ เสาะแสวงหาธรรมะ (ไต่เต๋า) เดินตกสู่ประตูใหญ่ (ทางนิพพาน) กระทำทุกสิ่งโดยถือหลักพรหมวิหารนั่นคือ (ปกติทำอะไรที่ไม่เป็นบาป ยามค่ำคืนก็ไม่ต้องกลัวผีมาเคาะประตู) มีคำกล่าวๆไว้ว่า:
พุทธะ ที่เขาทิพย์ หาไม่ไกล
เขาทิพย์ใกล้ สถิต ในใจเจ้า
ใครก็มี เจดีย์ทิพย์ จงค้นเอา
หากพบเข้า จงเร่งเพียร ใต้เจดีย์เอย
หวังว่าชาวโลกจะบรรลุนิพพาน
หยางเซิง :ได้ฟังท่านหลุ้นจ้วงอ้วงบรรยายธรรมะเหล่านี้ดีกว่าอ่านหนังสือถึงสิบปี แต่เมื่อครู่ที่กล่าวถึงการเวียนเกิดสัตว์สี่ชนิดนี้ เราสามารถสังเกตได้จากอวัยวะทั้งห้าของคนที่กำลังจะตายหรือ?
ยมบาล :ฮาฮ้า! มีเพียงอวัยวะสี่อยางเท่านั้น มิใช่อวัยวะห้าอย่าง! ถ้าอวัยวะสี่อย่างไม่บริสุทธิ์ อวัยวะห้าอย่างจะบริสุทธิ์ของเขา แต่ก็ต้องอาศัยเหตุผลและผลสามชาติ บาปบุญคุณโทษที่มีอยู่มาชำระคดีกรรม จึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้ว จากรูปลักษณ์ก่อนตาย ก็สามารถที่จะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคนก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอดขอให้ผู้คนเดินในทางตรง(สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม(ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไป จะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
หยางเซิง :ยิ่งพบหนังสือพิมพ์ลงข่าวที่ ทารกคลอดผิดปกติอยู่เนืองๆ เช่น เด็ทารกมีร่างเหมือนหมู หัวเป็นคนบ้างเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนเกิดอย่างไร?
ยมบาล :ทารกผิดปกติต่างๆ ตามสันนิษฐานของแพทย์บอกว่า อาจเกิดจากการกินยาผิดระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้ทารกมีรูปร่างประหลาด แต่พูดถึงกฎแห่งกรรมแล้ว ทารกประหลาดเกิดมารดาได้รับวิญญาณบาป (ทำให้เกิดเด็กรูปร่างสัตว์) เหล่านี้เกิดจากตอนที่มาเกิด วิญญาณสัตว์ยังไม่ละทิ้งร่างเดิม (รูปสัตว์) นั้นเรื่องของทารกที่มี่ร่างกายติดกันนั้น ส่วนใหญ่มาจากชาติที่แล้วมีความรักที่ผิดปกติ(แยกกันไม่ได้) หรือเกิดจากผู้สมรู้ร่วมกันทุจริต จับกลุ่มกันปล้นจี้(จับกลุ่มไม่ยอมให้แยกสลาย ร่วมเป็นร่วมตาย) ซึ่งเป็นเหตุก่อให้เกิดมีร่างติดกัน ดังนั้น ตลอดชีวิตต้องอยู่ติดกัน เดินเหินก็ลำบาก มีบางทีต้องผ่าตัดแยกออก (เลือดเนื้อถูกชำแหละทุกข์เวทนายิ่งนัก)! เพื่อให้ผู้คนมีบุตรที่ “สมบูรณ” ต้องประพฤติตนให้เป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งจะมีบุตรธิดาที่เรียบร้อยแน่นอนมารดาต้องบำรุงเลี้ยงครรภ์ให้ถูกต้องอย่าทานยาที่ผิดซึ่งอาจเป็นพิษต่อการเจริญครรภ์ ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง
อรหันต์จี้กง :เนื่องจากเสียเวลาไปมาก วันนี้ขอสัมภาษณ์เพียงเท่านี้ก่อน หนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” ก็ได้มาถึงตอนอวสานแล้ว ขอบคุณท่านหลุ้นจ้วงอ้วง ที่สละสั่งสอน! วันที่ 8 กุมภาพันธ์ นี้ ก็พอดีครบรอบหนึ่งปีในการทำหนังสือที่สำนักเซินเต่อถัง ได้เตรียมดอกไม้ธูปเทียนและผลไม้ห้าชนิดเพื่อฉลองการแต่งหนังสือสำเร็จลง อาตมาหยางเซิงได้รับเชิญจากพระแม่เห่งสุขาวดีแดนพุทธเกษตร เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการแต่งคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระแม่ได้จัดเลี้ยงประทานให้ทั่วถึง ผู้มีบุญวาสนาย่อมได้รับเอย!
หยางเซิง :ขอบพระคุณ ท่านหลุ้นจ้วงอ้วงที่ได้บรรยายธรรมอันลี้ลับ ขอกราบลาก่อน!
ยมบาล :ศานุศิษย์ เซินเต๋อถังทุกท่านเหนื่อยมากแล้ว บุญบารมีสร้างไว้มาก ขอให้หนังสืออันยิ่งใหญ่สำเร็จ ตามมุ่งหมายเป็นแสงธรรมแผ่รัศมีเจิดจ้าส่องทั่วมุมโลก!
หยางเซิง :ผมนั่งเรียบร้อยแล้วครับท่านอาจารย์ เชิญอาจารย์กลับสำนักเถิด!
อรหันต์จี้กง :ยาน “เซินเต๋อถัง” ได้ผ่านอุปสรรคนานัปการ ผ่านทั้งลมทั้งฝนตีกระหน่ำ หยดน้ำฝนนอกบัญชรทำให้เย็นฉ่ำถึงภายในดวงจิต บรรทุกความสำเร็จเต็มเปี่ยม กลับมา ผู้มีวาสนาย่อมได้รับผลตอบแทน .....! ถึงสำนักเซินเต๋อถังแล้ว หยางเซิงลงจากยานได้ วิญญาณกลับเข้าร่างเดิม
กำหนดความคิดว่า ฉันเป็นคนสมบูรณ์พูนสุขที่สุด ความคิดเป็นตัวที่จับให้มั่นได้ยาก เหมือนม้า...