ครั้งที่ 48 วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2521
ขุมที่ 8
ตอน สนทนากับยมบาลโตวฉีอ๊วง
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนความว่า :
บำเพ็ญเพียร จิตผ่องแผ้ว รับแสงจันทร์
จิตรู้ทัน พึงพินิจ คัมภีร์ลํ้า
พุทธองค์ ทรงดอกไม้ ชี้แนะธรรม
โพธิธรรม จากอินเดีย ชี้สาม-สาม
อรหันต์จี้กง :แสงพระจันทร์นวลผ่องใสแต่ไม่เคืองตานี่แหละที่เรียกว่า "แสงจิต" ผู้บำเพ็ญธรรมมีจิตอันบริสุทธิ์ แสดงออกซึ่งความผุดผ่องปราศจากราคี สว่างไสวราบเรียบเสมอต้นเสมอปลาย แม้แต่แสงจันทร์จะสงบเงียบความสงบเงียบนั้น มิใช่ว่าสิ่งมีชีวิตจะตายซากมืดสลัวไปหมดก็หาไม่ เมื่อใช้ผิวน้ำส่องเป็นกระจกรองรับก็จะถ่ายทอดออกโดยชัดเจนไม่มีอะไรแอบแฝง ส่องเห็นหน้าตาดั้งเดิมของตน ผู้ฝึกอบรมซึ่งตัวตนก็อยู่ในโลกมนุษย์ เพื่อเก็บรักษาจิตใจที่ถ่องแท้ มิให้ล่องลอยออกสู่ภายนอก จึงต้องศึกษาพระสูตรอันสูงศักดิ์ ฝึกนั่งบนดินทรายจนคล้ายกับนั่งอยู่บนพื้นแผ่นหยก จะรู้สึกมีวิญญาณผ่องแผ้วปอยหนึ่งพุ่งขึ้นสู่บนกระหม่อม ชาวโลกที่นั่งนอนเดินเหิน แม้ว่าจะมีพื้นหินอ่อนรองรับหรือบนพื้นถนนที่ปูด้วยยางมะตอยเตียงนอนที่มีราคาสูงแต่ร่างกายที่ได้สัมผัส จะไม้พ้นจากฝุ่นไอแม้ว่าจะมีเครื่องดูดฝุ่นผงชำระให้สะอาด ผงซักฟอกต่างๆ เสื้อผ้าก็ยังต้องผลัดเปลี่ยนอยู่ประจำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโลกมนุษย์อันเปรียบเสมือนทะเลทุกข์นั้น มีแต่ฝุ่นไอ (กิเลส) หนาแน่น พระพุทธองค์ทรงดอกบัวตรัสสั่งพิสูจน์ธรรม ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระอรหันต์ท่านแย้มพรายสรวลชื่น ดอกบัวนี้มิใช่ดอกบัวธรรมดา แต่เป็น "ดอกไม้แห่งหัวใจ" ของพระอรหันต์ ดังนั้นเมื่อใครได้พบเห็นก็จะดลบันดาลให้ "จิตใจชื่นบาน" วันนี้ฉันได้ลงประทับทรงขีดเขียนให้วุ่นไปหมด ผู้หลงใหลจะสงสัยว่าเป็นการเสแสร้งทำขึ้น ในใจจึงเฉื่อยชาไม่เกดความรู้สึก แต่หารู้ไม่ว่า ผู้มีปัญญาชัยชาญจะเข้าใจได้ คำทรงนั้นชี้ถึง "กลไกแห่งจิตใจ" ของฉัน เกิดการเคลื่อนไหวในความสงบเงียบ ร่อนทรายได้ทองคนรู้จะยิ้มแย้มสรวลรับ ดั่งได้เพชรนิลจินดามาโดยสบายง่ายดายมาก ประหนึ่งว่าเพียงพลิกฝ่ามือกลับอย่างนั้นแหละ ท่านพระมหาโพธิธรรมเถระเสด็จมาทางตะวันออก ชี้ตรงไปยังจิตใจของมวลมนุษย์ สาม-สามได้ก้าวสุดที่แจ้งแล้วก็กลับคืนสู่อันหนึ่งอันเดียวกัน ชี้จิตใจดั้งเดิมของท่านจะนำท่านสู่ทางธรรม "สารพัดธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" มวลชนผู้ลุ่มหลงงมงายไฉนจึงไม่เบิกตาให้กว้างขึ้น ยังจะคิดว่าท่านพระมหาโพธิธรรมเถระยื่นมือไปฉกเอาทรัพย์จากกระเป๋าของท่านอีก ฮา! ฮา! เงินในกระเป๋านั้นไม่มีราคาค่างวดอะไรหนักหนาหรอกจงอย่าคุมไว้ไม่ยอมปล่อยมือเลย เมื่อถึงตอนท้ายแล้วจะมิใช่ให้ลูกหลานขนเอาไปจนหมดเกลี้ยงดอกหรือ ? ท่านศาสดาเมื่อต้องการโดยปลดเอา "ใจที่โชคเลือด" ออกเปลี่ยนเอา "ใจพุทธ" ให้รู้แล้วรอดไป
หยางเซิง :ท่านอาจารย์ครับ ท่านเทศน์เสียมากมายก่ายกองอย่างนี้จะไม่เกรงว่าผู้คนเขาไม่เข้าใจเอา เลยถือเป็นเรื่องไร้สาระไปดอกหรือครับ !
อรหันต์จี้กง :ถึงไร้สาระ (ขยะ) นั้นมีราคานะ เจ้าไม่มองดูบนรถขนขยะนั่น มิได้มีผู้คนเลือกเก็บเอาทองคำด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือ? ท่านทิ้งฉันเก็บ ไม่มีการเสียหายเป็นอันขาด ตาถึงแล้วจึงจะรู้จักของมีค่าอยู่ในเมืองทอง ผู้คนเห็นทองคำเป็นก้อนกรวดก้อนหิน ไม่รู้จักคุณค่าสูงส่งของมัน นั่นคือการเห็นกันจำเจมานานเลยเกิดความเฉื่อยชานั่นเอง วันนี้เราเตรียมท่องนรก
หยางเซิง :มิทราบว่าจะไปยังแห่งใด?
อรหันต์จี้กง :จะท่องขุมที่ 8 รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมการออกเดินทางได้….
หยางเซิง :ขอรับคำบัญชา กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มได้แล้วครับ…
อรหันต์จี้กง :ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเสีย
หยางเซิง :กระผมได้ลงมาแล้วครับ
อรหันต์จี้กง :เบื้องหน้านั้นคือขุมที่ 8 คนที่อยู่ข้างประตูได้เข้าไปรายงานแจ้งข่าวแล้ว
หยางเซิง :ท่านยมบาลและเทวทูต ได้ลงบันไดมาต้อนรับเราแล้วป้ายบนปราสาทเขียนไว้ว่า "โตวฉีอ๊วงแห่งขุมที่ 8" ท่านยมบาลใส่เสื้อคลุมลายมังกร หน้าตาเคร่งขรึมมาก ได้ก้าวลงจากบันไดแล้ว คำนับท่านโตวฉัวอ๊วง ข้าพเจ้าคือตัวนักทรงเอกนายหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ได้ติดตามท่านอาจารย์มายังขุมของท่านในวันนี้ ขอท่านยมบาลได้โปรดอำนวยความสะดวกให้ด้วย
ยมบาล :มิต้องรีบลุกขึ้นเถิด ท่านทั้งสองตรากตรำมามากแล้ว ต้องวุ่นกับการแต่งหนังสือท่องนรก รีบตามข้าพเจ้าขึ้นไปยังบนปราสาทเถิด
หยางเซิง :ขอบพระคุณท่านยมบาล ภายนอกของปราสาทมีฝูงชนมากหน้าหลายตากำลังรอคอยการพิจารณาโทษ เมื่อเหลือบมาเห็นพวกเราเข้าต่างก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดเกรงขาม บ้างก็โดนยมทูติเฆี่ยนตีกำลังร้องไห้โอดโอยอยู่
ยมบาล :เชิญท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงนั่งตามสบายขณะนี้จะพักการพิจารณาโทษชั่วคราว รู้สึกชื่นชมที่จะสนทนากับท่านทั้งสอง ให้นายทหารเสิร์ฟน้ำชา
นายทหาร :ขอรับคำบัญชา เชิญท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงดื่มน้ำชาโดยมิต้องเกรงใจ
ยมบาล :เชิญดื่มน้ำชา ! ข้าพเจ้าได้รอคอยมานานแล้ว วันนี้จึงได้ต้อนรับท่านทั้งสองในขุมของเรานับเป็นการรอคอยที่ยาวนานพอสมควร
อรหันต์จี้กง :การท่องนรกแต่ละครั้งเวลามันจำกัดมาก ดังนั้นการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" จึงต้องใช้เวลามากหลายแต่โชคยังดีอยู่ที่นักบำเพ็ญธรรมทั้งหลายในสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งทุกท่านได้มีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุ่มเทความมานะทั้งกลางวันและกลางคืน จึงทำให้การแต่งหนังสือได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่น แม้จะเชื่องช้าแต่ก็มั่นคงดีซึ่งสมกับคำว่า "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" รู้สึกรบกวนท่านยมบาลไปหน่อยนะ
หยางเซิง :เราศิษย์-อาจารย์มายังแดนนรก ได้รับการช่วยเหลือดูแลจากท่านยมบาลและเทวทูตทั้งหลายรู้สึกขอบพระคุณจากขั้วหัวใจเป็นอย่างยิ่ง แต่มารู้สึกว่ามิได้รับความก้าวหน้าเท่าที่ควร
ยมบาล :การดำเนินงานในทางธรรมนั้นมิใช่เรื่องง่ายดายนัก ต้องแข่งกับเวลาทุกๆ นาที จะให้พลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้การที่ดำเนินงานอยู่ในระหว่าง "ได้ - เสีย" ถ้าไม่สามารถควบคุมให้มั่นคงในทุกๆ ขณะจิต ถ้าปล่อยใจจากธรรมนั้นให้หละหลวมลงเมื่อใด ก็จะไม่สามารถหา "เขา" ได้อีกแล้ว ท่านมิควรโทษตัวท่านเอง ถ้าสามารถเก็บหา "ของที่หล่นหาย" กลับคืนมาได้ก็จะไม่มีการเสียหายประการใดโดยปริยาย เมื่อสามารถควบคุมใจแห่งธรรมดวงนี้ไว้ เดินไปถึงที่สุดทางแห่งชีวิต เมื่อนั้นแหละจึงจะเป็นของๆ "ท่านเอง"
หยางเซิง :ขอน้อมรับคำสั่งสอนอันมีค่ายิ่งของยมบาลการท่องนรกในวันนี้ ขอท่านยมบาลได้โปรดกรุณาแนะนำชี้แจงเหตุการณ์ในขุมที่ 8 นี้เพื่อเป็นการสั่งสอนมวลชนด้วย
ยมบาล :ดีมาก ข้าพเจ้าควบคุมดูแลในขุมที่ 8 บรรดาโทษที่ขุมนี้ตัดสินไปนั้น ล้วนเป็นโทษจากขุมที่ 1 ถึงขุมที่ 7 ลงโทษมาแล้วแต่ยังมีโทษเหลืออยู่เล็กน้อยเท่านั้น จึงส่งมอบมาให้กับขุมนี้ตัดสินเพิ่มเติมให้เต็มอัตราของโทษ ขุมนี้มีคุกเอกคือ "นรกใหญ่เผาหัวสมอง" นอกจากนั้นมี "16 นรกน้อย" เป็นคุกชั้นรองเพื่อเป็นที่ลงโทษสถานเบา คนทำความผิดในแดนมนุษย์ จึงขอฝากไปยังชาวมนุษย์ด้วย ว่าต้องเจียมตัวประพฤติตน ทำตัวมีมนุษยธรรม บำเพ็ญธรรมตามกฎสวรรค์ เมื่อตายลงแล้วจะไปยังแห่งใด? เข้าใจในหลักธรรมที่แม้จริงจะต้องค้นคว้าให้รู้ว่าได้เกิดมาจากไหน? อย่าได้ตกนรกไปรับทุกข์ทรมานจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกเลย
หยางเซิง :ข้าพเจ้ามีปัญหาหนึ่งจะเรียนถามท่านยมบาลคือ มีผู้คนเคยถามข้าพเจ้าว่าไฉนชื่อ-แซ่ และที่อยู่โดยละเอียดของวิญญาณโทษไม่มีการกล่าวอ้างโดยละเอียดที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"? ถ้าหากว่าสามารถทำได้เช่นนี้ก็จะได้ผลมากยิ่งขึ้น ในการปลอบเตือนชาวโลก ทั้งนี้เพราะเหตุว่า มวลมนุษย์ในทุกวันนี้มักจะต้องการพยานหลักฐานที่แท้จริงมั่นคง หรือไม่มีข้อมูลให้ตรวจสอบได้แล้ว พลังทางกล่อมเกลาก็จะอ่อนแรงลง ขอท่านยมบาลได้โปรดกรุณาอธิบายต่อสิ่งหล่านี้ด้วยเพื่อคลายความกังขาของผู้ถามด้วยเทอญ
ยมบาล :แต่ละตนของวิญญาณโทษในขุมต่างๆ ที่ได้รับการสัมภาษณ์จากมนุษย์ ล้วนมีความกังวลล่วงหน้าพะวงหลัง ยิ่งกว่านั้น ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ได้ทรงบรรชาอนูญาตให้มิต้องแจ้งชื่อเสียงเรียงนามและที่อยู่ด้วย เพียงแต่ให้ได้เล่าเหตุการณ์ตอนที่ทำความผิดในโลกมนุษย์เท่านั้นก็พอแล้ว อันนี้แหละเป็นการเกี่ยวข้องกับการห่วงหน้าพะวงหลังละ การที่ลงชื่อแซ่ที่อยู่ของวิญญาณโทษไว้ในหนังสือ จะทำให้ผลของการปลอบเตือนชาวโลกเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นนั้น แต่นำเอาความเสียหายของผู้คนไปเผยแพร่เกรงว่าจะนำความอัปยศอดสูไปสู่ลูกหลานของเขา ยิ่งกว่านั้นอาจจะเกิดความพิพาทยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นได้ จะกลายเป็นการทำดีแล้วไม่ได้ดี (คือทำคุณบูชาโทษ) ซึ่งเป็นการขัดขวางต่อความหวังดีในการปลอบเตือนชาวโลกไป ดังนั้นบรรดา "ชื่ออันเลวร้าย" ของวิญญาณโทษทั้งหลายจึงต้องตัดทอนไป เพื่อเป็นการระมัดระวังตัวให้มั่นคง
อรหันต์จี้กง :คนดีย่อมเป็นคนดีอยู่นั่นเอง และคนเลวก็คือคนเลวไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ต้องโทษแล้วโดยมิต้องถามหาชื่อแซ่ที่อยู่ จับกุมตัวไว้ก่อนเรื่องอื่นๆ ค่อยพูดกันทีหลัง ตอนมีชีวิตอยู่จะเชื่อหรือไม่ว่ามีสวรรค์หรือนรกก็ไม่เป็นไร แต่หากว่าไปก่อกรรมทำเข็ญแล้วไปตกอยู่ในกำมือของยมบาล เวลานั้นแหละถึงจะเชื่อว่ามีมันก็สายไปแล้ว เนื่องจากเวลาหมดลง วันหลังเราจึงขอเยี่ยมชมคุกต่างๆ กันใหม่เหอะ! เตรียมกลับสำนัก
หยางเซิง :ขอรับ กระผม! เพราะเวลาหมดลงขอขอบคุณท่านยมบาลที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เราขอลาก่อนละ
ยมบาล :ให้ข้าราชการพลเรือน-ทหาร ตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์
หยางเซิง :กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ท่านออกเดินทางกลับได้…
อรหันต์จี้กง :ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว
หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม