พระพุทธชีววัฒนเจ้า
ที่กล่าวว่า : เนื้อนาใจก็คือเนื้อนาบุญ หากคนมีใจอันประมาณมิได้ก็จะมีบุญอันประมาณมิได้ คือความดีจะคุ้มครองใจดวงหนึ่งที่รู้สำนึกในพระคุณและมีเมตตา ด้วยฉะนี้จึงสามารถรับเรื่องรับการกล่าวหาได้ ขาดจากอวิชชานิจนิรันดร์ วิริยะสู่วิถีแห่งยานสูง เช่นนี้จึงเป็นปัญญาแท้
กลับย้อนมองผู้มีบุญน้อยปัญญาเบา ไม่เพียงพบวิชาดีที่ชี้นำหรือความช่วยเหลือได้ยากแล้ว เมื่อพบกับวิบากกรรมสนอง ก็เกิดความเห็นผิดมีอคติเกิดขึ้น ซึ่งทำลายทั้งตนเองและผู้อื่น เกี่ยวกับการฝึกฝนด้วยวิถีมหายาน ก็ยากที่จะเกิดใจศรัทธาได้ ดังนั้นจึงเผชิญหน้ากับมารผจญที่น่ากลัวต่าง ๆ เมื่อมารเข้าสู่กายก็จะทำแต่สิ่งที่ทำลายบุญปัญญาและรากธรรม จนทำให้เกิดผลร้ายขึ้นติดต่อกันถือว่าได้รับผลกรรมชั่วตอบสนอง
ชีวิตคนในโลก อยากแสวงหาแต่สิ่งที่ถูกใจ มีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขเป็นสิ่งที่มีได้ยากมาก เมื่อพิจารณาสรรพสัตว์ด้วยความสงบถึงความทุกข์กังวลทุกวันแย่งชิงยึดครองไม่หยุด ไม่รู้เมื่อไรสรรพสัตว์จึงจะรู้สึกและสามารถพิจารณาถึงเหตุปัจจัยได้บ้างหนอ จนได้อบรมบุญปัญญาแห่งเนื้อนาใจได้บ้าง ใจของสรรพสัตว์ที่ถูกร้อยรัด ก็ไม่นอกเหนือไปจากการงาน ครอบครัว บุตรชายหญิง ความเจ็บป่วยของร่างกาย หรือเงินทองธุรกิจ การแย่งชิงชื่อเสียง ความกังวลกับความถูกผิดของคน ความทุกข์ใจเหมือนเงาคอยตามติด
หากไม่มีผู้ที่รู้พุทธธรรมดีคอยแนะนำ อาศัยการบำเพ็ญปฏิบัติเพื่อชำระแล้ว กรรมกีดขาางทำให้ยึดติดแล้ว ย่อมถูกกิเลสร้อยรัด สูญสิ้นความเห็นถูกต้องและธรรมปัญญา ทำให้โลภ โกรธ หลง ความจองหองและความลังเลสังสัย พิษร้ายทั้ง 5 เกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อผลบุญถูกใช้จนหมดแล้ว พอหมดอายุขัยแล้วก็จะนำแรงกรรมแห่งอวิชชาต่าง ๆ ไปหมุนเวียนอีก ทำให้ใจของบรรดาพุทธะโพธิสัตว์เจ็บปวดอดสงสารไม่ได้
ขอวิงวอนเตือนชาวโลก ให้เอา “พุทธจิต” และ “เมตตา” ไปพิจารณาโลกนี้ให้ดี จะได้หลีกห่างจากบาปทั้งหลาย กุศลทั้งหลายให้กระทำ เอาใจโพธิสัตว์ไปทำงานก็จะไม่เกิดโทสะความไม่พอใจได้ง่าย สรรพสิ่งที่ผ่านพบแม้จะกีดขวางคนทั่วไปเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่อดไม่ได้ทนไม่ได้ ก็ให้ย้อนกลับมาคิดว่า มันเป็นกรรมที่มีผลมาตอบสนอง ก็ต้องปล่อยไปตามเหตุปัจจัยโดยทำตัวให้สบายเข้ากับสรรพสัตว์ได้ หากใจยังเกิดความไม่พอใจหรือยังไม่เกิดเมตตาธรรมก็จะทำให้เกิดเป็นเหตุปัจจัยอันใหม่ได้ โดยที่ตนเองก็ทุกข์กังวลเพราะไม่อาจตัดอวิชชาได้ ทำให้เกลียดชังตัวเองทั้งยังเป็นการทำร้ายต่อกายและใจอีกด้วย ยังให้วิญญาณชั่วร้ายเข้าต่อกร จนกระทั่งต้องจบลงสู่นรกอเวจีที่ไม่มีแสงสว่าง หากเป็นเช่นนี้แล้วจะได้บุญได้ปัญญาอย่างไร
เหตุปัจจัยทั้งปวงล้วนเป็นรูปที่รวมตัวกันขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ถึงร้อยปีก็แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ตั้งอยู่ไม่ได้ ดังนั้นควรใช้ความผ่อนปรนเปิดใจให้กว้างเพื่อปัดเป่าสิ่งที่พบเห็นให้ว่าง ทำใจกว้างที่จะญาติดีกับผู้อื่น ก็สามารถที่จะเพิ่มพูนบุญปัญญา ต้องดูเหล่าบรรดาพุทธโพธิสัตว์ที่สามารถทนรับสรรพสัตว์ ไม่มีสิ่งใดที่รับไม่ได้ ดังนั้นจึงสามารถกลมกลืนกับสรรพสิ่ง จึงมีบุญญาธิการและปัญญาธิคุณเป็นเอนกอนันต์ เช่นนี้จึงนับว่าสมใจสบายใจ มีบุญปัญญานั้นไม่ได้
มีคำกล่าวว่า “ไฟอับแสงเผาป่ากุศล” เป็นคนไม่ควรโกรธแค้นคนอื่นว่าทำไม่ถูก กล่าวหาแคะคุ้ยไปเสียทุกอย่างโดยไม่รู้จักกฏระเบียบของกายใจ คนที่ขยันบำเพ็ญธรรม พอนาน ๆ ไปกลับไม่ได้รับความศรัทธากับผู้คน เหตุเพราะได้สร้างกรรมทางกายวาจาใจเอาไว้ เป็นการทำลายบุญบารมีตนเอง ดังนั้นการผ่อนปรนส่วนหนึ่งก็เป็นการละลายวิบากกรรมส่วนหนึ่ง เอาแต่ได้ส่วนหนึ่งก็ลดบุญไปส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น “การทนรับความลำบาก” ก็คือ “การสิ้นทุกข์” การเสพสุขก็คือการละลายบุญ
การแสวงหาให้พิจารณาภายใน รักษากฏตนเอง ความสงบเงียบจะแจ้งในเหตุปัจจัย พื้นจิตก็สามารถเย็นสบายก็จะไม่มีความโกรธแค้น ไม่กล่าวหาความผิดผู้อื่น ก็คือการรวบรวมบุญมาชำระล้างกรรม เรื่องต่าง ๆ ก็กลมกลืนไม่ติดขัด จะไม่งามกว่าหรือ ข้าหวังอย่างยิ่งว่าชาวโลกสามารถเริ่มต้นทำด้วยตนเองทำลายการยึดติดในอาตมาลักษณ์ ทำลายล้างความเป็นเขาเป็นเรา ทำความดีสร้างคุณธรรม เป็นการโปรดตนเองและผู้อื่น เช่นนี้โลกนี้ก็เป็นโลกแห่งความสว่างไม่สิ้นสุด เป็นโลกแห่งอายุวัฒนะและแผ่นดินบริสุทธิ์