mindcyber 1 year ago

ปฏิปทาพระศรีอริยเมตตรัย

โดย ฉือจินฮว้า

วิถีดำรงชีวิต                  สมาธิต้องให้ได้

งานบังคับฟุ้งซ่านไซร้                 ต้องได้ด้วยตั้งใจจริง

พิจารณาธรรมวิธีใด                    สมถะไว้ดับตรึกคิด

รู้กลไกเรียนธรรมจิต                   ขจัดทิ้งรูปสังขาร

           จดมุ่งหมายของการดำรงชีวิต อยู่ที่การรู้จักปรับสภาวะจิตใจและชีวิต ทำให้ธาตุปราณและญาณ(เจ็งคี่ซิ้ง) สามรัตน์ให้มั่นคงไม่ให้กระจายนั่นคือตำรับดีของการรักษาบ่มเลี้ยงพลังงานเดิม ผลบารมีอันนี้ ควรมาจากการปรับปรุงจิตใจและกายละมุนละมัยในสมาธิ ก็จะสามารถรักษาบ่มเลี้ยงเจ็งคี่ซิ้งได้

           การตั้งใจจริงไม่ฟุ่งซ่าน เมื่อไม่ฟุ้งซ่านก็จะตั้งใจได้จริงเอง ถ้าบังคับขจัดการฟุ้งซ่าน ความสัมพันธ์ที่ลวงหลอก ใจที่ทะเยอทะยานได้แล้วใจที่ตั้งใจจริงก็จะรินไหลออกมาเอง

           การพิจารณาธรรม(เซ็น) เมื่ออวิชชาเกิดขึ้น ก็จะมีการแปรเปลี่ยนปรุงแต่งไปต่างๆ นาๆ ให้พิจารณาตามไปก็จะรู้ตามไป พอรู้ตามไปก็ให้ขัดตามไป พอนานๆ ไปผลบารมีก็จะสะอาดขึ้น กะถอนตัวไปสู่ความว่างได้เอง ญาณต่างๆ ก็จะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว จิตก็จะบริสุทธิ์ปภัสสรการหลอมรวมจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ทั้งปวงเหล่านี้เป็นวิธีที่แยบยลของการพิจารณาเซ็นที่คงอยู่

         การยึดติดในความคิด ใจก็จะไม่ว่าง จิตก็จะไม่ไว กลไกการฝึกธรรมก็คือการขจัดอุปทานรูปแบบความคิด เมื่อทำให้ใจไม่มีอุปทานแล้วจิตก็จะเป็นอิสระสบายเอง

คำลวง: ไม่มีทรัพย์ไม่สามารถบ่มเลี้ยงธรรม มีทรัพย์ไม่รู้จักใช้ฟุ่มเฟือยทุกวี่วัน คือรากเง้าแห่งภัยพิบัติในที่สุด

           ควรรู้: มีธรรมก็จะสามารถได้อภิญญาเอง เรียนธรรมรู้จักปฏิบัติจริง ก็จะห่างเหินจากอารมณ์สัมพันธ์ ล้วนเป็นรากฐานแห่งบุญ

จงอย่าได้ดูแคลนพูดพล่อยๆ ว่าไม่มีทรัพย์ไม่สามารถบ่มเลี้ยงธรรมได้มักทำให้คนจนที่มีใจสงบในธรรมไม่สามารถจะสงบใจได้ หารู้ไม่ว่า ความร่ำรวยที่หลงระเริงอยู่กับวัตถุต้องสูญเสียใจ หรือความเก่งฉลาดทำให้ปัญญาพล่ามัวหรือให้ความสำคัญกับทรัพย์ดูแคลนในธรรม ตลอดจนอาศัยธรรมไปหากิน แน่นอนการทำงานสะสมทรัพย์เป็นการหาเลี้ยงชีพเป็นสิงที่สมเหตุสมผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคดที่ไม่สับสนบิดเบือน

           คุณธรรมสามารถช่วยฟ้าดินกลอมเกลา ชวยจรรโลงใจของผีเจ้าดังนั้นคติพจน์ว่า “ธรรมสูงมังกรพยัคฆ์สยบ คุณหนักผีเจ้ายำเกรง” “ผู้มีมหาคุณย่อมอุดมพูนสุข ย่อมได้ฐานันดร ย่อมได้อายุ”

           แม้มีทรัพย์มากแต่ไม่รู้จักการใช้ที่ดี เช่นใช้สงเคราะห์ประชาชน เผยแผ่กล่อมเกลาแทนฟ้า อาศัยทรัพย์ในโลก สั่งสมผลบนฟ้า ทางกลับกันใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเสเพล หรือไม่รู้จักรักถนอมบุญ หรือทำสิ่งผิดไม่มีธรรม เช่นนี้ทรัพย์มากกลับสร้างวิบากกรรมในที่สุดก็เป็นบ่อเกิดแห่งความวุ่นวายเคราะห์ร้าย

           การปฏิบัติมหาธรรมจริง ควารต้องเบื่อหน่ายแต่อุดมการณ์ชัดเจนใจใสมีความอยากน้อย อารมณ์เจ็ดตัณหาหกกับความสัมพันธ์ทางโลกลดน้อยจางคลาย หากได้เช่นนี้ก็จะเป็นรากฐานที่ดีสำหรับสั่งสมบุญ

คุณค่าคนอยู่ที่รู้บำเพ็ญ                 ไม่บำเพ็ญไม่ใช่ทำเพื่อเป็นคน

เรื่องในโลกปลงไม่ตก                ปลงตกคล้อยตามโลกได้เอง

           องค์คุณสาม (องค์คุณสาม: คือ ฟ้า ดิน และคน) คนนั้นสำคัญที่สุดที่สำคัญคือเท้ายืนพื้นศีรษะตรงสู่ฟ้าเป็นที่หนึ่งของสรรพสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ เซียนพุทธก็ล้วนมาจากคนที่มีคุณสมบัติบำเพ็ญจนสำเร็จ หากไม่บำเพ็ญ ก็เสียเปล่าที่เกิดมาเป็นคน ทั้งยังต้องตกสู่สัตว์สี่กำเนิด ศาสดาเต๋าว่า “ที่สำคัญด้วยมีกายนี้” “ข้ารักกายของข้า ข้าทุกข์กายของข้า” “กายนี้ไม่ฉุดช่วยตนนี้จงรอฉุดช่วยกายนี้เมื่อไร” รัดจนเหน็ดเหนื่อย ถ้าหากปลงตกเห็นอุปสรรคกรรมสัมพันธ์ได้ ก็ย่อมจะมีแนวคิดที่จะหลุดพ้นออกจากโลก

สิ่งมีสร้างสรรค์ขึ้น                     ย่อมมีสลายไป

มนุษย์มีเกิดขึ้น                         ย่อมมีการตายไป

สร้างสรรค์สลายได้เอง                ใจไม่ติดขัด

เกิดตายอยู่ที่ตนทำ                       จิตต้องประจักษ์แจ้ง

           สรรพสิ่งถูกสร้างสรรค์ สร้างสรรค์เป็นเหตุ ย่อมมีการสลายแตกดับเป็นผล การงานก็ย่อมมีการสร้างขึ้นเป็นเหตุ ก็ย่อมมีการแปรเปลี่ยนสลายเป็นผล ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีชีวิตสำเร็จเป็นรูปร่าง ก็ย่อมมีการตายเป็นผล ทั้งหมดทั้งปวงในจัการวาลก็เป็นไปตามหลักเหตุปัจจัยธรรมชาติอันเป็นกฎตายตัว

           การสร้างสรรค์เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ดังนั้นพวกเราควรรู้ชะตาให้สุขไปตามธรรมชาติ เหมือนกับเมฆที่ล่องลอยสายน้ำที่ไหลไป ขับเคลื่อนใจโดยไม่มีใจ กระทำไปโดยไม่มุ่งหวังแต่ไม่ใช่ว่าไม่กระทำ ถึงแม้จะอิสระไม่ติดไม่ขัดสุขสบายก็ต้องมีการบ่มเลี้ยงจิตฟ้า สุขตามจิตของชะตาฟ้า

           ถึงแม้การเกิดตายจะเป็นปรากฎการณ์ตามธรรมขาติ แต่อำนาจของการเกิดตายควรให้อยู่ในมือของเรา อย่างไรเสียคงอยู่ให้แบบอย่างการสร้งสรรค์ฉกชิงเอาอย่างเสียไม่ได้ วิธีการถือกุมอำนาจการเกิดตายตนเอง คือ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ให้สามารถจะบำเพ็ญกายบ่มเลี้ยงจิตได้อาศัยกายปลอมฝึกฝนกายธรรม อาศัยสัมพันธ์โลก ฟื้นฟูคุณธรรมกลอมเกล่าให้เจริญ นี่แหละเกิดแล้วมีค่ามีความหมายเต็มเปี่ยม เมื่อถึงคราวกายมายานี้ตายแล้ว แต่เหตุที่จิตฟ้าประจักษ์แจ้ง “ถึงตายก็สลาย ชีวะเหมือนบ่อเก๊ก(อู๋จี๋) สว่างไสวสุดสิ้นสุดวิมุตินิพพาน”  เช่นนี้แล้ว เหตุปัจจัยของการสร้างสรรค์ก็ไม่สามารถผูกมัดพวกเราได้

ไม่อยากมีเกิดมีตาย                     อยู่ที่เข้าใจในพุทธธรรม

ภายหลังลุรู้แล้วก็รู้อนาคต            ควรเข้าถึงบารมีเซ็น

ใจเซ็นสร้างญาณรู้                      ต้องสามารถไม่ฉลาดและก็ไม่มีการได้

มรรคผลบำเพ็ญสมบูรณ์              ก็จะไม่มีดับยิ่งไม่มีเกิด

ใจดุจอวกาศ                               ว่างไม่มีที่ว่างได้ทางแท้นิรันดร์

จิตดุจว่างสุดเขต                         เขตไม่มีที่เป็นเขต จึงได้คืนสู่ฟ้าอิสระ

           เกิดก็ได้เกิดมาแล้ว ซึ่งก็ต้องวิตกกับการเกิดการตายที่เป็นอนิจจังเป็นไปตามกรรมตอบสนอง “กายนี้ไม่ฉุดช่วยตอนนี้ แล้วเมื่อไรจะฉุดช่วยกายนี้” ดังนั้น การแสวงหาหนทางตัดขาดวงเวียนการเกิดการตายสู่ทางพ้นเหนือจากการเกิดการตายนิรันดร์ อย่างนั้นแหละที่ต้องพิจารณาพุทธธรรมที่สว่างอันเป็นหนทางที่ตรง จึงจะสามารถถึงที่สุดได้

           ภายหลังการรู้ตัวรู้ตื่นแล้ว แค่เพียงหนึ่งความคิดที่เคลื่อนไหวของวิญญาณหกที่กระทบสรรพกิเลสหนึ่งความคิดนี้ก็จะรู้ก่อนคือรู้ถึงองค์จิตที่สะอาดก่อนที่จะมาเกิด คือเป็นหน้าตาดั้งเดิม แต่เมื่อภายหลังที่รู้ตัวก่อนนี้ ก็คือ “การเก็บงำวิญญาณอารมณ์เอาไว้ แล้วฟื้นฟูสู่จิตเดิม” การจะทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้เซ็นจริงๆ ทำให้หลักธรรมที่เข้าถึงได้ตรัสรู้จนเป็นที่ประจักษ์จริง

           การปฏิบัติถึงขั้นญาณรู้ทางจิตใจของญาณจริง คือต้องสามารถไปถึงขั้นไม่มีฉลาด (ไม่มีความรู้ทางโลก)ไม่มีการตรึกคิด ไม่มีกิเลสสัมพันธ์แลก็เข้าสู่ความไม่มีได้ ขององค์จิตที่ว่างใส เช่นนี้แล้วความวิมุตินิรกรรม(ไม่กระทำมุ่งหวัง)ไม่มีการตรึกคิดแล้ว นั่นคือ โพธิจิตที่สะอาด สว่าง และว่องไว

           การได้มรรผลจากการบำเพ็ญมหาธรรมจนถึงขั้นสว่างกลมสมบูรณ์เช่นนี้เป็นการเข้าสู่วิมุติญาณแห่งนิพพาน เป็นหนทางตัดวงวัฏฏสงสารแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

           ใจนั้นปานประหนึ่งมหาอวกาศ ว่างานกระทั่งความว่างนั้นก็ไม่รู้สึกไปเลย นั่นก็คือเป็นการบรรลุจิตธรรมที่ไม่แปรเปลี่ยนเป็นนิจจังจริง การฝึกใจจนใจสงบได้ถึงขั้นนี้แล้วคือตัดขาดได้อย่างเด็ดขาด สุดสิ้นสุดหมดตลอดกาล คือเข้าสู่การไม่ถอยกลับอีกแล้ว เป็นจิตแท้ที่สงบที่ไม่แปรเปลี่ยนตลอดไป เป็นธรรมแห่งนิพพาน

           จิตนี้จะบริสุทธิ์ที่สุด สุดถึงองค์จิตเลย เป็นการเห็นพุทธจิตของตนเองแน่นอน พ้นจากสภาวะจิตต่างๆ ที่เป็นคู่ธรรม เช่นนี้แล้วจึงจะนับได้ว่าได้ฟื้นคืนสู่สภาวะขององค์จิตฟ้าที่อิสระสบาย


0
345
ปลาสาหร่ายฉู่ฉี่

ปลาสาหร่ายฉู่ฉี่

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

ทำบุญอย่ายึดติด

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

ตกเบ็ดไม่เมตตา

กวนอิม

1654918052.jpg
mindcyber
9 months ago

ทำไม่ดีตายไม่ดี

1654918052.jpg
mindcyber
7 months ago

นรกขุมที่หก

ยมบาลอ๋องคาเซี้ย

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago