พระผู้เป็นเจ้าหน่ำฮั้ว
ญาณเดิมเก้าสิบสองบุตรหลงใหล
ไม่รู้การณ์สรรค์สร้างกลไกลึกล้ำหนา
จมปรักหกทางเกิดแต่ไหนมา
บำเพ็ญจิตชะตาอย่าสายเกิน
อันความ “ลึกล้ำ” คือต้นมูลของสรรพสิ่ง ดังนั้น “สรรพสิ่ง”คือ การณ์สรรค์สร้างของความลึกล้ำ การณ์สรรค์สร้างมีขอบเขตตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ กินเวลาแสนสองหมื่นปี ศาสน์แห่งความลึกล้ำนี้คือการหวนคืนสู่ต้นมูล น่าสังเวทนัก! มนุษย์ต้นมูลเก้าสิบสองยังคงจมปรักไม่รู้ตัวตื่น จึงหมดหนทางคืนกลับ
การณ์สรรค์สร้างสรรพสิ่งจนสรรพสิ่งสำเร็จ ที่มีก็คือสรรพสิ่งจะต้องไม่สูญเสียปราณลึกล้ำของต้นมูล ความเจ็บปวดของนักปรัชญาคือ คนหลงได้สูญเสียรากต้นมูลไปโดยไม่รู้ เง้าบัวที่อยู่ในโคลนตมโดยไม่เปรอะเปื้อน ถือว่าได้ความสะอาดของความลึกล้ำ เบญจมาศข้างรั้วไม่เผยความหอมด้วยได้ไอของความลึกล้ำ ชาวโลกทำไมจึงทำบาปได้ง่าย จนไม่หันสู่กุศล ก็ด้วยหลงลืมต้นมูล จึงสูญเสียจิตลึกล้ำไป
โธ่เอย ! การสูญเสียจิตลึกล้ำคือเปลี่ยนแปลงรากต้นมูล จึงจมปรักในหกทางเกิด จึงไม่มีที่ให้สู่ถิ่นต้นมูล หลงลืมทวารหนึ่งคืนกลับต้นมูลได้ยาก เพียงแค่แสนสองหมื่นปีเท่านั้นหรือ ? คงไม่อาจได้กลับคืนนิจนิรันดร์ เพราะฉะนั้น คนควรบำเพ็ญทั้งจิตและชะตา เหมือนฟ้าดินที่ได้รับปราณนั้น เหมือนสรรพสิ่งที่ได้รับการเกิด
ฟ้าดินก็มีการคืนกลับต้นมูลโดยการเปลี่ยนแปลง สรรพเผ่าพื้นที่ก็มีสายทางที่คืนกลับต้นมูล หรือมนุษย์สามารถอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่ตรวจต้นกลไกฟ้าดิน ต้นมูลของสรรพเผ่าพันธุ์ ยังคงสุขได้โดยไม่รู้อันตรายของการเปลี่ยนแปลง ตลอดการลงโทษตนเองจนไม่อาจช่วยเหลือได้เลย