เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จากการประสบพบเห็นของท่านนักธรรมจี้หมิง ปี ค.ศ. 1937 ท่านนักธรรมจี้หมิง ได้ย้ายสถานปฏิบัติธรรมไปสู่วัด "กวางฝูซื่อ" บนพุทธบรรพต "หลูซัน" ในอำเภอซีชัง มณฑลเสฉวน (ซื่อชวน)
วันหนึ่งเมื่อท่านนักธรรมจี้หมิงลงจากวัดบนภูเขาจะไปทำธุระในเมือง ซึ่งจะต้องนั่งเรือข้ามฟากไปเพราะภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ทะเลฉาง" วันนั้น ภายในเรือข้ามฟาก มีผู้โดยสารอยู่สิบกว่าคนเป็นเด็กผู้ชายวัยสิบเอ็ดถึงสิบสี่ปีเสียสี่คนเด็กชายคนหนึ่งในจำนวนนั้น ซุกมือขวาของเขาไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเวลา เหมือนปิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่างไว้ ท่านนักธรรมจี้หมิง แม้จะสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเด็กชายคนนั้นเข้าโดยบังเอิญ แต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอย่างใด จนกระทั่งอีกสิบกว่านาทีต่อมา เด็กชายอีกคนหนึ่งที่โดยสารมาด้วยกันเกิดนึกสนุกอย่างไรขึ้นมาฉวยโอกาสตอนที่เพื่อนคนนั้นเผลอ ดึงมือของเพื่อนที่ซุกอยู่ในกระเป๋าตลอดเวลาออกมาให้ใครๆได้เห็นกัน ท่านนักธรรมจี้หมิงเดาเรื่องราวได้ทันทีว่า นั่นคืออย่างไร มือนั้นไม่ใช่มือของคนแต่เป็นตีนหมูชัดๆ ทั้งยังมีขนขึ้นอยู่เต็ม ชายชราที่นั่งมาข้างๆ ท่านนักธรรมจี้หมิงเป็นชาวบ้านที่นี่ และรู้จักเด็กเจ้าของมือหมูนั้นดี จึงเล่าความเป็นไปของเด็กคนนั้นให้ฟังว่า
เด็กชายคนนี้ระลึกชาติได้ ทั้งชาติที่แล้วและก่อนชาตินี้อีกสองชาติ เขาจำได้ว่า เขาเกิดมาเป็นหมูถึงสามชาติ เขาจำได้ถึงความเจ็บปวด ความสยดสยองที่ถูกจ้วงแทงเชือดเฉือน ในชาตินี้เด็กชายคนนี้จึงสะดุงผวาทุครั้งที่เห็นมีดหมูขนลุกทุกครั้งที่เห็นเขียงหมู และใจหายวาบทุกครั้งที่เห็นหมู
เขาเคยเล่าให้พ่อแม่ ญาติพี่น้องทั้งหลายฟังว่า เวลาที่ปลายมีดคมกริบ ปักลึกลงไปที่ซอกคอของเขานั้น เขากรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดหวาดกลัวเพียงไร เมื่อตัวของเขาถูกวางแผ่ลงขายบนเขียงหมูในตลาด ทุกครั้งที่มีผู้มาซื้อ เมื่อผู้ขายเชือดเฉือนเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของเขา ความเจ็บปวดจะเสียววาบจับใจทุกครั้ง เป็นเช่นนี้ จนกว่าทุกส่วนในตัวของเขาจะขายหมดไปจากเขียงหมู วิญญาณความรับรู้ในความเจ็บปวดของเขาจึงจะพ้นไปจากที่นั่นแล้วเดินทางไปเกิดในชาติใหม่ต่อไป สองชาติก่อนที่ผ่านมา มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนักความเป็นหมูทุกข์ทรมานพอๆกัน ส่วนในชาติที่สามที่ผ่านมา ความทุกข์ทรมานสาหัสและเนิ่นนานกว่ากันมากนัก ช่วงนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจน ประหยัดการกินอยู่กัน เมื่อเขาถูกวางหงายแผ่บนเขียงหมูแล้ว ก็ได้แต่นอนเจ็บปวดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน นานเป็นวันๆ กว่าจะถูกเชือดเฉือนไปทีละชิ้นจนหมดตัว สุดท้ายเหลือแต่อุ้งตีน(คากิ) อุ้งตีนทั้งสองสี่ข้างของเขาถูกขอเกี่ยวแขวนโตงเตง เจ็บปวดอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็นโพล้ ก็ยังไม่มีใครมาซื้อ วิญญาณของเขาได้รับความทุกข์ทรมานมาก
จนในที่สุด แรงกดดันอันหนักหน่วงนั้น ทำให้เกิดพลังต่อสู้อย่างรุนแรง เขาดิ้นสุดกำลัง ยากยิ่งแต่ก็ได้ผลวิญญาณของเขาหลุดพ้นจากพันธนาการขอเกี่ยวหลุดพลัวะออกมา แล้ววิญญาณของเขาก็ได้มาเกิดใหม่ครั้งนี้เขาได้เกิดเป็นคน แม้ว่าเขาจะได้ชดใช้กรรมเก่า ต้องเกิดเป็นหมูไปแล้วถึงสามชาติ แต่ในชาติที่สามเขายังใช้ไม่หมดทีเดียวเศษกรรมยังหลงเหลืออยู่ จึงทำให้เขาต้องพาเอาอุ้งตีนหมูมาเกิดด้วย ใครหรือที่คิดว่า คนตายแล้วดับสูญ เหมือนดับเทียน ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแม้แต่วิญญาณ ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อชาติภพภายหน้า และที่ผ่านมา ขอท่านจงได้พิจารณา จากสถานภาพและความเป็นไปของชีวิตแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันประณีตสุขุมเถิด แล้วท่านก็จะไม่ปฏิเสธอีกต่อไป และเมื่อนั้น ท่านก็จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่ล่วงพ้นวัฏสงสารเพราะท่านจะเป็นผู้ที่ประกอบแต่กรรมดี มีเมตตา สาธุ