แต่ก่อนมีขุนนางตงฉิน (ซื่อตรง) คนหนึ่ง เขามีศรีภรรยาที่ดี และบุตรชายหนึ่งคน บุตรหญิงหนึ่งคน ตอนนั้นในราชสำนักมีขุนนางกังฉิน (ชั่ว) คนหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยลงรอยกับขุนนางตงฉิน (ซื่อตรง) เนื่องจากบ้านของเขาทั้งสองอยู่ใกล้กัน ดังนั้นขุนนางชั่วจึงมักหาเรื่องปองร้ายขุนนางคนซื่ออยู่เสมอ
วันหนึ่งบุตรชายวัยรุ่นของขุนนางคนซื่อกำลังเล่นว่าวอยู่ในสวนดอกไม้ของตน ขณะเดียวกันบ่าวคนหนึ่งของขุนนางชั่วก็กำลังเล่นว่าวอยู่บนดาดฟ้าบ้าน บ่าวคนนั้นไม่ทันระวังตัวเกิดพลัดตกจากดาดฟ้าลงไปเบื้องล่างจนเสียชีวิต ขุนนางชั่วจึงถือโอกาสกล่าวโทษบุตรชายของขุนนางตงฉินว่า เป็นต้นเหตุทำให้บ่าวของเขาตาย โดยจะให้ลูกชายคนนี้ชดใช้ชีวิตด้วยการถูกฝังทั้งเป็นพร้อมกับศพบ่าวของเขา ขุนนางชั่วคนนี้เป็นผู้มีอำนาจอิทธิพลมาก ขุนนางตงฉินไม่อาจไปสู้รบปรบมืออะไรได้เพราะยุคนั้นขุนนางกังฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากขุนนางคนซื่อได้รับความกดดันทางจิตใจเป็นอย่างมาก จึงกราบทูลลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ขุนนางชั่วได้แอบอ้างราชโองการส่งคนไปจับเขาทั้งครอบครัว และเนรเทศเขากับภริยาไปอยู่ชายแดน เหลือแต่บุตรสาวที่ได้รับความปวดร้าวทางร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส หลังจากที่เธอถูกโบยตีจนกลายเป็นคนเกือบพิการระหกระเหินไปขอทานอยู่ข้างถนน ต่อมามีหญิงวัยกลางคนมาหลอกว่าจะรับไปเลี้ยง แต่กลับนำเธอไปขายเป็นคนใช้แก่หลานชาย (ลูกของพี่ชาย) ของขุนนางกังฉิน เด็กสาวอายุเพียงแค่ 12 - 13 ปี ต้องมาประสบชะตาชีวิตอันแสนเศร้าสลดน่าเวทนายิ่งนัก
กล่าวฝ่ายขุนนางกังฉินเนื่องจากไม่มีบุตรสืบสกุล เดิมทีตั้งใจจะเอาหลานชายคนนี้เป็นทายาทสืบสกุล ฝ่ายหลานชายก็วาดหวังว่าจะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกของอา แต่ขุนนางกังฉินเกิดได้บุตรชายตอนชรา ทำให้ความหวังของหลานชายที่คิดจะเป็นผู้สืบทอดมรดกมีอันต้องพังพินาศลง เจ้าหลานชายรู้สึกผิดหวังมาก จึงวางแผนกับภรรยาว่า ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการฉลองเทศกาล จะขโมยทารกน้อยของท่านอานำไปทิ้งในที่ห่างไกล แต่แผนการณ์นี้ล่วงรู้ถึงคนใช้หญิงดังกล่าว เธอบังเกิดความเมตตาสงสาร วันนั้นเธอจึงแอบติดตามนายผู้หญิงไปในที่ทารกถูกทิ้ง แล้วอุ้มทารกน้อยพาหนีเข้าไปในป่าดงดิบ ขณะนั้นทางบ้านขุนนางกังฉิน เมื่อทราบว่าเด็กทารกหายไปพากันตกใจ รีบส่งคนออกค้นหา ภรรยาของหลานชายคนนั้นหวั่นเกรงว่าการกระทำของตนจะถูกเปิดเผย ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี ก็พบว่าคนใช้ในบ้านคนหนึ่งหายไปในช่วงเวลาเดียวกัน จึงโยนความผิดเรื่องการลักพาตัวทารกให้คนใช้หญิง โดยกล่าวหาว่า เธอลักทารกและของมีค่าหนีไปจึงส่งคนไปตามจับ แท้จริงสองผัวเมียสงสัยว่า คนใช้หญิงอาจจะรู้แผนการณ์ลับของตน จึงได้หลบหนีไป เพราะฉะนั้นจึงต้องป้ายความผิดและปิดปากเธอ
กล่าวฝ่ายคนใช้หญิงอุ้มทารกน้อยหนีไปหลบซ่อนอยู่ในป่าดงดิบ ทุกวันหาวิธีเอาน้ำนมจากสุนัขป่าและน้ำจากน้ำพุมาเลี้ยงทารก ส่วนตนเองก็เก็บผักป่าผลไม้ป่ามาประทังชีวิต ดังนั้นหมู่คนที่ขุนนางกังฉินส่งไปค้นหาจึงไม่พบ
กล่าวถึงบุตรชายของขุนนางตงฉินที่ถูกขุนนางชั่วป้ายความผิดและนำไปฝังพร้อมกับคนใช้ของเขา เดชะบุญ สวรรค์คุ้มครองคนดี ระหว่างทางที่ไปส่งได้เกิดลมพายุพัดพาเอาหมู่คนที่ไปส่งตกเหวลึกเสียชีวิตหมด ส่วนบุตรชายของขุนนางตงฉินที่นอนอยู่ในโลง ด้วยความคุ้มครองแห่งพลังเทวะ แม้จะตกลงไปในเหวด้วย แต่ก็ปลอดภัยทุกอย่าง นี้คือฤทธานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยแท้ เด็กคนนี้ทราบดีถึงอำนาจอิทธิพลของขุนนางชั่วจึงไม่กล้ากลับบ้าน โดยไปปลูกกระท่อมอาศัยอยู่ในป่าดง ทุกวันจะเก็บพวกผลไม้ป่ามากินประทังชีวิต เด็กคนนี้ฉลาด เพราะเคยได้ยินว่าพืชหญ้าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติสามารถนำไปทำเป็นเครื่องยาได้ ดังนั้นทุกวันจึงมักจะไปเก็บพวกพืชสมุนไพรไปแลกเป็นอาหารเล็กน้อยจากนายพรานหรือคนตัดฟืนที่เข้ามาในป่า เด็กน้อยที่น่าสงสารต้องระหกระเหินอยู่คนเดียวในป่า เมื่อคิดถึงพ่อแม่ทีไรอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ พูดแล้วก็น่าสงสาร เขาจึงเขียนรูปของพ่อกับแม่ไว้ที่ผนัง ทุกวันก็สวดคำที่มารดาเคยสอนไว้ว่า “นะโมพุทธ” โดยกราบและสวดคำนี้ เบื้องหน้ารูปที่เขียน ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกกตัญญูอันบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า ทันใดก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในป่า จึงเข้าไปสอบถามได้ความว่า เธอเป็นบุตรสาวของขุนนางตงฉิน เธออ้างว่าพลัดพรากจากพ่อแม่ขณะชุลมุน แล้วระหกระเหินมาอยู่ที่นี่ เด็กชายสงสารจึงช่วยเธอทำงานต่าง ๆ และปลูกกระท่อมอยู่ใกล้กัน เธอมักจะเห็นเขาสวดคำที่แม่เคยสอนคือ “นะโมพุทธ” รู้สึกแปลกใจมาก ต่อมาก็เห็นรูปที่เขียนอยู่บนผนังหน้าตาเหมือนพ่อแม่มาก จึงถามถึงความเป็นมา จึงได้รู้ว่าเขาก็คือพี่ชายของเธอ คนทั้งสองยิ่งเล่ายิ่งเศร้าจนหักห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ พวกนายพรานที่อยู่ในป่า ปกติเห็นแต่เด็กชายเพียงคนเดียวที่เก็บสมุนไพรอยู่ในป่า จู่ ๆ ก็มีเด็กสาวเพิ่มมาอีกคนหนึ่งต่างรู้สึกแปลกใจ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนรู้ถึงหูของขุนนางชั่ว จึงส่งทหารมาจับคนทั้งสองโดยตั้งข้อหาลักเด็กและลักทรัพย์ แล้วลงโทษด้วยวิธีแขวนคอ สองพี่น้องนึกถึงคำสอนของมารดาที่สอนว่า ไม่โกรธแค้นหรือแก่งแย่งกับใคร เมื่อต้องได้รับการลงโทษเช่นนี้ก็ไม่มีความหวาดกลัว โดยเฉพาะเด็กสาวยังระลึกถึงบุญคุณของหลานชายขุนนางชั่วที่รับเธอไว้ตอนที่ระเหเร่ร่อน เธอจึงยอมรับผิดว่าได้ลักทารกจริง ในขณะถูกลงโทษเขาทั้งสองต่างสวด “นะโมพุทธ” ตลอดเวลา ทันใดก็เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรงจนเชือกแขวนคอขาดสะบั้น พลันทั้งสองก็บรรลุเซียนเป็นเทพบุตรเทพธิดา กายทิพย์สู่สรวงสวรรค์ ขุนนางชั่วและหลานชายเห็นสองพี่น้องขณะถูกลงโทษเกิดเหตุมหัศจรรย์เช่นนี้รู้สึกละอายใจบังเกิดสำนึก ขุนนางชั่วพยายามคิดประทุษร้ายต่อครอบครัวของขุนนางคนซื่อเพียงเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตน จิตใจเช่นนี้ช่างไร้มนุษยธรรมชั้นดี คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ไฉนต้องไปโหดร้ายกับผู้อื่น? ส่วนหลานชายของขุนนางชั่วโยนความผิดให้คนใช้ คนใช้ที่น่าสงสารหลังจากถูกจับแล้วยังยอมรับผิดแทนเขา คนพาลชั่วร้ายพวกนี้ล้วนถูกจิตใจที่เห็นแก่ตัวครอบงำ ความเห็นแก่ตัวเป็นภัยร้ายของสังคม ความจริงคนเราควรต้องมีความเที่ยงธรรม จึงจะสามารถแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ มิเช่นนั้นเมื่อจิตญาณมืดมนสุดท้ายย่อมต้องถูกฟ้าดินลงโทษ คนชั่วสองคนนี้ถูกจิตใต้สำนึกกดดันอย่างหนัก จึงได้สร้างศาลาคุณธรรมขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ครอบครัวของขุนนางตงฉิน