อรหันต์จี้กงชี้บาปเพื่อเตือนสติให้ประพฤติธรรม ผู้บรรลุญาณพูดสัจธรรมกับนกบนต้นไม้
อรหันต์จี้กงเสด็จประทับทรง วันที่ 25 ตุลาคม 2524 กลอนว่า:
หมู่ผีเสื้อล้อมป่านกน้อยบิน
สุขหากินรวมหมู่ไร้กังวล
ธรรมชาติเสกสรรค์เหมือนเวทมนตร์
ตะวันหม่นแสงแอ่นเอี้ยงกลับคืนรัง
นกบินรั้งผลัดขนคือถิ่นเดิม
นอนเสริมพลังเหนือวิมานดูน่าชัง
อยู่ตึกสูงจิตตกต่ำสุดจะยั้ง
เกียรติยศดังไฟเผาเศษขี้เถ้า
อรหันต์จี้กง :ผีเสื้อร่อนร่ายอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ ฝูกนกบินร่อนอยู่เหนือเวหา ไร้ขอบเขตพรมแดนขวางกั้นไร้มนุษย์ปกครอง ช่าวเพลิดเพลินยิ่งกระไร! มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกกิเลส ถ้าหากอยู่เพื่อส่วนรวม รักษากฎ ไม่โลภไม่ปล้น ไม่ข่มขืนลวนลาม แม้มีกฎหมายสักพันข้อ ก็ไม่มีอำนาจอะไรมากดขี่ เมื่อไม่ผิดกฎก็เหมือนไม่มีกฎ ความสุขในมวลมนุษย์ก็ไม่ต่างไปจากหมู่นกและผีเสื้อ ดังเช่น “นายจังโจวแปลงผีเสื้อ” หรือ ผู้ทรงณานแปลงนก”
หยางเซิง :อาจารย์เครับ “นายจังโจวแปลงผีเสื้อ” มีสาระในด้านท่องเที่ยวอย่างสุขสราญแล้ว “พระแปลงนก” ใช่เป็น “อรหันต์แห่งรังนก” หรือไม่
อรหันต์จี้กง :ถูกแล้ว คนเราควรมีความรู้สึกเช่นนี้จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างสบาย การสูญเสียหรือได้ไม่ควรกังวลให้มากนักดังนี้นถ้าของนี้ได้มาถ้าไม่ตั้งใจถือครองให้ดี เราก็จะสูญเสียมันไปสักวันหนึ่ง ถ้าหากสามารถตรวจตราสาเหตุแห่งการสูญเสียนั้นได้ ถ้าเช่นนั้นละก็ การสูญเสียไปทางหนึ่ง เราก็อาจได้รับการชดเชยอีกทางหนึ่ง ที่น่าวิตกก็คือ เมื่อสมหวังก็ระเริง หรือเมื่อผิดหวังก็ประพฤติบ้าๆ บอๆ ดังนั้นความสำเร็จจะกลายเป็นความสูญเสีย ความสูญเสียเปลี่ยนเป็นความสูญเสียสลาย ณ ขณะนี้ ตำราทองได้เกิดขึ้นทั้งสามเล่มแล้วถ้าได้เผยแผ่ธรรมะออกไป ซึ่งเป็นการต้องการของสวรรค์เที่ยวเผยแผ่สู่คนที่มีบุญบารมี บุญกุศลก็จะสร้างขึ้นไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด
หยางเซิง :อาจารย์กล่าวถูกต้อง ลูกศิษย์ตั้งใจเผยแผ่ธรรมะเพื่อกอบกู้ผู้คน จะท่องเที่ยวไปทั่วๆ เพื่อส่งเสริมสัจธรรมเพื่อให้สมกับการตั้งใจไว้ เมื่อห้าปีก่อน มีวาสนาได้มาถึงศูนย์กลางของไต้หวัน ภายหลังก็ได้ช่วยอาจารย์เผยแผ่หนังสือ “เที่ยวเมืองนรก และเที่ยวเมืองสวรรค์” พูดได้เต็มปากว่าช่วยอย่างเต็มกำลังจนสำเร็จลุล่วงไป จนกระทั้งได้ก่อสร้างสำนักเซินเต๋อถัง แต่ทว่าจิตคนนั้นยากนักหยั่งถึง มีคนบางคนไม่ค่อยพอใจเนื่องจากขาดผลประโยชน์ทำให้ผมลำบากใจมากไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นอยางไร
อรหันต์จี้กง :ฮาฮ้า! ตั้งแต่โบราณมาถึงปัจจุบัน ความลี้ลับของสวรรค์และนรกถูกเปิดเผยก็เพราะหนังสือเที่ยวเมืองนรกและเที่ยวเมืองสวรรค์สองเล่มเท่านั้น ได้เผยแผ่สติปัญญาไปทั่วช่วยขจัดอวิชา มาบัดนี้ก็ได้เปิดเส้นทางใหม่ เพื่อประโยชน์ของผู้คน เพื่อฟันฝ่าอุปสรรค ไหนเลยจะมัวเกรงกลัวคลื่นลมของทะเลทุกข์ เดี๋ยวนี้สวรรค์เมตตา ไม่เหมือนสมัยก่อนการเผยแผ่ธรรมะ จะถ่ายทอดจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งเท่านั้นซึ่งไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความอุตสาหวิริยะของเจ้านั้นซาบซึ้งยังสวรรค์ เมื่อผลงานสำเร็จลงแล้ว ก็รีบถอนตัวออกมานั้นฉลาดมาก แม้หมื่นธรรมขันธ์ก็ไม่อาจพ้นจากหลัก “เหตุและผล” ขณะนี้บนสวรรค์สนับสนุนให้เผยแผ่ธรรมะ อยากให้ทุกบ้านช่อง ได้จักสร้างห้องพระ เพื่อทุกคนจะได้รับการเผยแผ่ และในการก่อสร้างสำนักเซินเต๋อถังนี้เป็นการต้องการของสวรรค์ ไม่สมควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวในสมัยก่อนมีพระองค์หนึ่งนามว่าฮุยเม้ง อยากสำเร็จธรรมโดยเร็วเดินจากวัดตงเสียนมาเข้าเฝ้า สัมฆนายาองค์ที่หก (นามว่าเวยหล่าน)ทรงถามว่าจะต้องไปอยู่ ณ ที่ใด สัมฆนายกทรง ตอบว่า “เมื่อพบอ๊วงให้หยุด พบโม้งให้อยู่” ดังนั้นเมื่อพระฮุยเม้งเดินทางถึงอ๊วงโจวก็เลยหยุด และก็ได้อาศัยอยู่ที่เขาโม้งซานต่อมาก็ได้สร้างวัดเผยแผ่ธรรมะ อาตมาถ้ายังคงอยู่ที่วัด “เล้งอุ้งยี่”(เป็นวัดที่พระอรหันต์จี้กง ออกบรรพชา) ละก็คงไม่มีใครรู้จักตั้งแต่โบราณมาคนที่เล่าเรียนฝึกธรรมะ มักจะท่องเที่ยวไปทั่ว เพื่อเผยแผ่ธรรมะ ใครใคร่ได้รับการเผยแผ่ก็สุดแท้แต่วาสนา ไม่ว่าจะเผยแผ่ธรรมะในสถานที่ใดก็ตาม ภายใต้ความลี้ลับนี้ มักมีตัววาสนาบารมีเป็นตัวจัดแจงเสมอ เจ้าสามารถเชื่อในเหตุผลไปสู่ความจริงแท้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ เพื่อประโยชน์ในบั้นปลายมีคำกล่าวว่า “มีบุญวาสนาก็รวมกันอยู่กันได้ เมื่อบุญวาสนาหมดก็แยกจากกันไป” คนที่ไม่ได้กินองุ่นมักพูดว่าองุ่นเปรี้ยว อาตมาอยากจะบอกแก่สำนักธรรมทั้งหลายว่าเผยแผ่คุณธรรมแทนสวรรค์ ต้องประพฤติตามทำนองคลองธรรม ต้องมีใจบริสุทธิ์ถ้าหากหวังประโยชน์ส่วนตัว ก็จะเป็นการสร้างบาปแทนสร้างธรรม หากประพฤติเช่นนี้สำนักธรรมก็จะเสียหาย สำนักจะเจริญหรือเลวทรามย่อมขึ้นอยู่กับคนทรง คนทรงที่บริสุทธิ์ ต้องไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ยืมเทพใช้สรอย ธรรมะจะกลายเป็นมาร จะเป็นการทำลายศรัทธาของผู้คน
หยางเซิง :คนทรงมีหน้าที่อันหนักหนวง แต่ศิษย์เห็นว่าคนทรงหลายคนไม่กลมเกลียวกัน จะมีวิธีใดที่จะให้คนทรงสามารถถ่ายทอดความแท้จริงโดยไม่ผิดพลาด?
อรหันต์จี้กง :พุทธพจน์กล่าวว่า บัดนี้ได้มาถึงช่วงท้ายของศาสนาความเที่ยงธรรมของฟ้าดินได้สูญเสียไป มักมีมารร้ายปะปนอยู่ดังนั้นถาดทรงเหมือนมีทรายแตกกระจาย มีคนทรงบางคนฝึกฝนไม่สมบูรณ์ คำพูดขัดกันก็มักกล่าวอ้างเป็นเทพมาเข้าทรง ผู้ที่ดูออกก็จะหัวเราะเอาได้ คนทรงนั้นมือทรงก็คือมือเทพประโยคอักษรจะอยู่เหนือปกติวิสัย สมเหตุสมผล ยึดทางสายกลาง จึงสามารถถ่ายทอดคำพูดจากสวรรค์ได้ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วการทรงก็จะเสมือนเมฆดำคลุมทั่ว พายุฝนสาดใส่ บิดเบือนความจริง ให้ร้ายกล่าวเท็จอย่างนี้เป็นคนทรงธรรมดาของชาวโลก ข้อเขียนก็จำจากคำของเจ้ามา ดังนั้นผู้ที่จะเผยแผ่คุณธรรมจากสวรรค์ ก่อนอื่นต้องฝึกหัดสมาธิจิตก่อน ดังเช่นผู้ทรงญาณเข้าญาณได้ ไม่มีสิ่งแวดล้อมรบกวนได้ จิตต้องว่างเปล่า ดังนั้นเมื่อเทพเข้าทรง จึงสามารถถ่อยทอดสัจธรรมได้ถูกต้อง ถ้าจิตจำสำนวนของเจ้ามา อักษรที่เขียนก็ไม่ใช่มาจากสวรรค์ อักษรแม้ผิดไปตัวเดียวความหมายก็แตกต่างไปราวฟ้ากับดิน ทิ้งความเลวร้ายไม่น้อย ดังนั้นอาตมาอยากจะขอร้องให้พวกเรา เวลาอ่านอักขระเข้าทรง ต้องคัดเลือกให้ดีๆ เลือกเอาแต่มีเหตุผลที่ถูกต้องแล้วคอยเชื่อ ไร้เหตุผลก็ทิ้งไปมิฉะนันจะกลายเป็นหลงงมงายไป ท่านเม่งจือกล่าวว่า “ถ้าเชื่อหนังสือหมด อย่ามีหนังสือจะดีกว่า” อาตมาจะขอเตือนว่า “เชือทรงสู้เชื่อเหตุผลไม่ได้” หวังว่าเราอย่าถูกน้ำใจคนฉ้อฉลได้ และอย่าให้อักษรมาหลอกลวง ต้องปัด “ตัวหลง” ออกเสีย จะได้พบความแท้จริงเป็น “ตัวของตัวเอง”เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็จะได้ชื่อว่า “ผู้บรรลุ” มิฉะนั้นจะเป็นคนโง่ที่ฝึกฝนธรรมะ
หยางเซิง :อาจารย์พูดถึงแก่นแท้ ชี้จุดความลี้ลับออกมากมาย
อรหันต์จี้กง :ฮาฮ้า! หลีกลี้ที่ถูกผิด โดดพ้นยศฐาบรรดาศักดิ์เสาะแสวงหา พระอรหันต์จี้กงฝึกฝนให้สำเร็จเป็นอรหันต์ “กายทิพย์” จะได้ไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี ทำไมต้องให้สิ่งแวดล้อมผูกมัด! หยางเซิงขึ้นปทุมทิพย์ ทำหนังสือต่อกันเถอะจะได้เสร็จตามคำบัญชา!
หยางเซิง :ผมนั่งนิ่งแล้ว เชิญอาจารย์ออกเดินทางได้
อรหันต์จี้กง :ศิษย์รักนั่งอยู่บนปทุมทิพย์มีความรู้สึกอย่างไร
หยางเซิง :ห้าหกปีมานี่ นั่งแต่ปทุมทิพย์ พุ่นแล่นทะยานทั่วรู้สึกนั่งสบายดี สนุกเหลือหลาย!
อรหันต์จี้กง :นั่งจนชินแล้ว ฝ่าลมพายุ คลื่นฝน จนหายกลัวและไม่มึนงง เที่ยวทั่วทั้งสมภพ ต้องมีวิสัยนักผจญภัยจึงจะได้รับพลังจากฟ้าดินมา!
หยางเซิง :อาจารย์ยกยอเกินไป ทุกอย่างก็ได้รับบารมีจากท่านอาจารย์อุ้มชูมา!
อรหันต์จี้กง : “เที่ยวสวรรค์นรก” หนังสือสองเล่ม เผยแผ่ไปทั้งในและนอกประเทศ ทำให้กระดาษขึ้นราคา ผู้คนแย่งกันอ่าน เราศิษย์อาจารย์ได้รับพลังอันนี้ไม่น้อย บนหนทางธรรมะได้ตั้งแนวชี้นำผู้ลุ่มหลง หวังว่าผู้คนอย่าหลงแต่ได้จนมึนงงพอข้ามแม่น้ำก็รื้อสะพาน จะละเลยต่อเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้รุ่นหลังไม่สามารถจะเดินข้ามไปได้ อย่างนี้จะเสียแรงสวรรค์ที่จุติธรรมะสู่โลกได้
หยางเซิง :พวกเราได้แต่ไถหว่าน คนข้างหลังเก็บเกี่ยวก็เป็นบุญวาสนาของพวกเขา ปลูกต้นไม้ให้เขาอาศัยร่มเงาก็เป็นการสร้างบุญ กุศลนับไม่ถ้วนมิใช่หรือ!
อรหันต์จี้กง :ฮาฮ้า! จิตใจของศิษย์ข้ามิใช่ธรรมดา มีความเชื่อมั่นอันยิ่งใหญ่ อาตมาก็ชอบเที่ยวไปทุกแห่งหน ทุกหนทุกแห่งเปรียบเหมือนบ้าน ศิษย์รักกับอาจารย์มีใจที่เชื่อมั่นตรงกันจึงสามารถท่องเที่ยวได้ทั้งสามโลก สะสมเนื้อหาสาระ มาแต่งหนังสือเพื่อโปรดชาวโลก
หยางเซิง :ลูกศิษย์มีนิสัยชอบใส่รองเท้า ไม่ใส่ถุงเท้า ไม่รู้เป็นโรคอะไรไม่ทราบอาจารย์มียารักษาได้ไหม?
อรหันต์จี้กง :ฮาฮ้า! ไม่ชอบใส่ถุงเท้าเป็นแบบอย่าง “เท้าอรหันต์”
หยางเซิง :แต่ผมไม่ได้ตั้งใจออกบวช
อรหันต์จี้กง :เดี๋ยวนี้การฝึกฝนธรรมะไม่ต้องออกบวช อยู่บ้านก็เผยแผ่ธรรมะได้ ยิ่งสามารถโปรดผู้คนได้ง่ายเนื่องจากปัจจุบันธรรมะเผยแผ่ไปทั่ว ใครมีบุญบารมีก็สามารถรับได้ การฝึกฝนธรรมะอยู่ในบ้านไม่เสียหายต่อการงาน ครึ่งทิพย์ครึ่งหยาบอยู่ระหว่างเพื่อนฝูง สามีภรรยาร่วมฝึกฝน ในบ้านก็ฝึกฝนธรรมะ ภายนอกบ้านก็สร้างบุญสร้างกุศลเพื่อสาธารณประโยชน์ดังนี้ไม่เพียงฝึกฝนธรรมะเฉพาะตน ยังเป็นการชักชวนชาวบ้านรวมฝึกฝนด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งเด็กผู้ใหญ่สุขสบายทำให้ชาวโลกมีสุขเหมือนกันหมด
หยางเซิง :อาจารย์กล่าวถูกต้อง ลูกศิษย์ได้เห็นทุกวัดทุกสำนักผู้ฝึกธรรมะล้วนเป็นผู้ฝึกธรรมะในบ้าน ทุกผู้ทุกนามตั้งอยู่บนฐานอันมั่นคง มีศรัทธาในการเผยแผ่คุณธรรมไปอย่างกว้างขวาง จิตใจได้รับการชำระให้สะอาด
อรหันต์จี้กง :ยุคสมัยได้แปรเปลี่ยนไป ฝึกธรรมะอยู่กับบ้านสามารถลดปัญหาครอบครัวได้มาก “เท้าอรหันต์” หมายถึงเท้าที่ยืนบนความมั่นคงจึงสามารถเผยแผ่ธรรมะได้ ฉันเองก็เป็นอรหันต์แปลงกายมา ใช้นามว่า “โซ้วเอียน” ทำตัวบ้าๆ บอๆ มาโปรดผู้คน ออกบวชก็อยู่กับชาวบ้าน ที่วัดเล้งอุ่นมณฑลซีฮู ก็เพียงทิ้งรอยอนุสรณ์ไว้ เราศิษย์อาจารย์ก็มีบุญวาสนาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเธอก็มีนิสัยไม่ดีนี้ไว้ ด้วยเหตุนี้ ชาตินี้เลยต้องอยู่ด้วยกันทำหนังสือ “เที่ยวเมืองนรก-สวรรค์” เป็นอนุสรณ์ใช้โปรดชาวโลก แต่ปณิธานยังไม่ทันจบ ก็มีบัญชาใหม่ เป็นโองการอันยิ่งใหญ่ ต้องการให้เรามาช่วยกันให้เสร็จสมบูรณ์ อย่าให้สิ่งภายนอกมาทำให้เสียงาน หรือหมดกำลังใจเสียเรื่อง สำเภาทิพย์บางครั้งก็ราบรื่น บางครั้งก็เจอพายุ ขอให้เราสำนึกตัวอยู่เสมอ อย่าสนใจชาวบ้านเขาว่า เมื่อเสร็จภารกิจอันยิ่งใหญ่ ย่อมบัเกิดความสบายเป็นแน่แท้ เราตอนนี้มาถึงแดนสุขาวดี เมื่อตอนแต่งหนังสือ “เที่ยวเมืองสวรรค์” เธอก็มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ชมทั่ว วันนี้มาถึงที่นี่ ก็มีทัศนียภาพอีกแบบหนึ่งให้ดู
หยางเซิง :อื่อ! ตลอดทางได้แต่คุยกัน เผลอแผล็บเดียวก็มาถึงที่นี่ เห็นต้นไม้บางตา ได้ยินเสียงนกร้อง ทุกหนแห่งเสียงไพเราะจับใจ อยู่ในโลกมนุษย์ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟังแล้วรู้สึกสบายใจนัก!
อรหันต์จี้กง :นี่คือ “วิหคสวรรค์” มันผิดจากนกธรรมดาแน่นอนแต่ก็มาจากนกที่ฝึกฝนธรรมะสำเร็จ เหมือนกับมนุษย์ที่ฝึกฝนธรรมะจนสำเร็จอรหันต์ และยังมีความพิสดารออกไป คือวิหกสวรรค์ ร้องเพลงมีเสียงแปลกพิสดารต่างออกไปอีก
หยางเซิง :เหมือน “คนเหนือคน” “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” “เหนือนกยังมีนก” ไม่ทราบว่า “วิหคสวรรค์” เหล่านี้ฝึกฝนอย่างไรมา
อรหันต์จี้กง :พวกเราไปนมัสการ “อรหันต์แห่งรังนก” ก็จะรู้เรื่องโดยตลอด เดินหน้าไปวิมานเสรีของอรหันต์เถอะ
หยางเซิง :ครับผม! ที่นี่ต้นไม้เขียวชอุ่มงาม หญ้าก็เขียวเหมือนปูเสื่อ เหมือนอยู่ในวิมานอีกแห่งหนึ่ง ข้างหน้ามีวิมานอยู่หลังหนึ่งชื่อ “วิมานเสรี” แต่ก็เห็นฝูงนกกระโดดโลดเต้นอยู่บนขื่อยังมีผู้ถือศีลหลายคนเข้าๆ ออกๆ แต่ละคนดูกระฉับกระเฉง เดินเหินเบาลอยไม่เหมือนคนธรรมดา
อรหันต์จี้กง :พวกเขาเป็นวิหคสวรรค์แปลงกายมา เพราะอยู่บนอากาศบินจนเคยชิน ดังนั้นเวลเดินเหินจึงลอยๆ
หยางเซิง :ไม่ต้องแปลกใจ นกก็สามารถแปลงเป็นร่างคน
อรหันต์จี้กง :อย่าสงสัย อย่าสงสัย คนยังกลายเป็นสัตว์ได้ นกแปลงเป็นคนทำไมจะเป็นไปไม่ได้ พวกเราเดินเข้าไปในวิมานเสรีกันเถอะ
หยางเซิง :ครับผม! ผมจะตามหลังอาจารย์เข้าไป เห็นมีพระคุณเจ้านั่งเข้าฌานอยู่รูปหนึ่ง ทั้งบนขื่อและทั้งสี่ด้านมีนกสวยๆ อยู่ล้อมรอบ มีทั้งร้องเพลง กระโดดโลดเต้น ทั้งสองข้างมีผู้ออกบวชยืนอยู่ พอเห็นเราเข้าไป ก็พนมมือกล่าวสาธุต้อนรับพวกเรา
อรหันต์จี้กง :พวกที่แปลงกายออกบวชนี้ ได้ธรรมะชั้นสูงแล้วอีกพวกที่บินเข้าสู่วิมานแล้วร้องเพลงนี้ ไม่นานนักก็สามารถแปลงกายเป็นคนได้ ผู้ที่นั่งอยู่นี้คือ อรหันต์แห่งรังนก และวิมานนี้ก็เป็นวิมานรังนกนั่นเอง
หยางเซิง :นามของท่านพระคุณเจ้าได้ยินมานานแล้ว แต่ไม่เคยพบหน้า วันนี้มีบุญได้พบ ถือว่าเป็นบุญบารมีอย่างยิ่ง ผมเป็นคนทรงสำนักเซินเต๋อถัง เมืองไถจง ไดรับคำสั่งให้ติดตามอาจารย์ เพื่อทำหนังสือ“วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” วันนี้มาถึงวิมานเสรีแดนสุขาวดี ขอคารวะท่านอรหันต์แห่งรังนกขอได้โปรดสั่งสอน
พระคุณเจ้า : เจริญพร! เกาะประเสริฐแดนใต้(เกาะไต้หวัน) ท่านหยางเซิงและท่านอรหันต์จี้กง แห่งสำนักเซินเต๋อถังได้รับบัญชาให้จัดทำหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” กล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดของชีวิตสัตว์หกช่องทาง อย่างชัดเจน ท่านพระสังกะจายได้กล่าวชมเชยเป็นที่ยิ่ง ด้วยบารมีของพุทธะ จัดทำหนังสือช่วยให้เผยแผ่ธรรมะ ให้เกิดความเมตตา กรุณาละเว้นการฆ่าสัตว์ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ เป็นการงดการสร้างบาป จะได้หลุดพ้นจากวงเวียนกรรม ได้เมตตามหากุศลหนังสือเล่มนี้ ดุจดังสารวิเศษ เป็นแนวทางในการโปรดสัตว์ทั้งสามโลกย่อมสรรเสริญการมาของทั้งสองในวันนี้ อาตมาได้รู้ล่วงหน้าแล้ว แต่กำลังอยู่ในฌานกับเสียงนก เลยลืมท่านทั้งสองไป จึงได้ต้อนรับช้าไปหน่อย ขอท่านอรหันต์จี้กงและท่านหยางเซิงอย่าถือสา
อรหันต์จี้กง :พระคุณเจ้ากำลังเพลินอยู่ในธรรมชาติอันไพศาลเราศิษย์อาจารย์ไร้มารยาทมารบกวนพระคุณเจ้าขออย่าได้ถือโทษเลย
พระคุณเจ้า :ท่านอรหันต์จี้กงกับฉันต่างก็เป็นพระด้วยกัน ต่างก็มีความสามารถ อย่าเย้าเล่นกันเลย
หยางเซิง :ภาษาของพระคุณเจ้ามีสำเนียง เวลาพระคุณเจ้าพูดก็มีความรู้สึกของ “ญาณ” ด้วย
พระคุณเจ้า :ฉันไม่มีฤทธิ์เดชอะไรหรอก บนนภามีเสียงนกร้องเพลงเจื้อยแจ้วอยู่ มีเสียงบนริมฝีปากเท่านั้น ผู้คนก็ยังสรรเสริญอยู่! ปัจจุบันคนนิยมเลี้ยงนกมาก ตึงสูงๆ มีมากมาย ต้นไม้ก็ถูกโค่นไปมาก พวกนกไม่มีที่ทำรัง พวกนกก็บินเข้าไปอยู่ตามป่าเขา บ้างก็ถูกจับไปใส่กรง เลี้ยงอยู่ในบ้านให้อาหารให้การดูแลที่อยู่ ฉันขอกล่าวขอบคุณแทนพวกนก แต่ทว่านกที่ถูกขังในกรงนั้น บางครั้งก็มิได้ร้องเพลงหรอกหากแต่ร้องทุกข์เนื่องจากคนไม่สามารถเข้าใจได้ มิฉะนั้นคงปล่อยให้มันเสรีไปนานแล้ว
หยางเซิง :สำเนียงของพระคุณเจ้าหวานซึ้ง ศิษย์ฟังแล้วจับจิตยิ่ง กลับถึงสำนักเมื่อไรต้องเชียร์ให้ผู้คนปล่อยนก
พระคุณเจ้า :ขอบคุณ ท่านหยางเซิงผู้เมตตา พวกคุณอยู่ที่เขื่อน “เม่งเต๋อ” ได้ปล่อยนกนับจำนวนไม่น้อยแล้ว ฉันนี้จดจำเสมอนกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันไพศาล ถ้าหากไม่เป็นอันตรายต่อผู้คน ขอให้ชาวโลกโปรดอย่าจับเลย เป็นการสูญเสียความกรุณา ความรัก เหมือนเช่นฉัน ฉันเอาเชือกมากั้นถนนไว้ผู้คนขี่รถไปมา ทั้งรถทั้งคนก็ล้มลง แถมถูกจี้เอาทรัพย์สินเงินทอง แล้วเอาเชือกมักขังไว้ในบ้าน ให้เจ้ากินดีทั้งสามมื้อและให้เจ้าร้องเพลงให้ข้าฟัง หรือยิ่งกว่านั้นเอาเนื้อมาปิ้งย่างมีใครจะพอใจบ้างล่ะ?
หยางเซิง :พระคุณเจ้าเปรียบเปรยได้เยี่ยม ชาวโลกได้ฟังท่านพูดแทนพวกนก คงจะมีความรู้สึกไม่น้อย ศิษย์มีคำถามอยากจะถาม ขอเชิญอาจารย์ตอบให้ด้วย
พระคุณเจ้า :คุณหยางเซิงถามมาได้
หยางเซิง :ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ นกสำเนียงไพเราะมีวิมานเสรี โบยบินสะดวก ไม่ทราบว่าพวกเขารับประทานอะไรครับ?
พระคุณเจ้า :วิหคสวรรค์ไม่กินหนอน กินแต่ผลไม้บ้าง เกสรบ้างและน้ำบ้างเหมือนกับนักบวช พวกมันบำเพ็ญเพียรในแดนมนุษย์มานานแล้ว จนได้บุญบารมี เมื่อวิญญาณกลับสู่สวรรค์วิญญาณจึงใสสะอาด อาศัยอยู่ในสุขาวดีพุทธเกษตรอาศัยในวิมานนี้ก็ยิ่งเร่งบำเพ็ญเพียร โดยไม่คิดดื่มกิน เหมือนตัวหนอนสร้างรังมันจะไม่กินอะไรเลย แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลง นกก็เช่นเดียวกัน อาศัยอยู่ในวิมานเสรี ค่อยๆทิ้งขนแปลงร่าง มีคำกล่าวๆ ว่า “นกกระจอกแม้ตัวเล็กแต่ก็ครบเครื่อง”เมื่อวิหคสวรรค์ค่อยๆ ทิ้งขน มันก็จะเปลี่ยนร่างเป็นคน แล้วก็บำเพ็ญเพียรต่อไป
หยางเซิง :ช่างอัศจรรย์จริงๆ
พระคุณเจ้า :ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับ “พระแห่งรังนกโปรดไป่ไถหลัง”ที่เล่ากันในโลกมนุษย์ให้ฟัง เธอจะเอาลงในหนังสือก็ได้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน เมื่อคนสามารถบำเพ็ญเพียร นกก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้ นกกับคน แม้ร่างกายจะไม่เหมือนกัน แต่วิญญาณไม่ต่างกัน มนุษย์มีจินตนาการอยากจะแปลงร่างเป็นนก จะได้บินไปในนภากาศอย่างอิสระเสรี วิมานเสรีเป็นจุดหมายของนก ยินดีต้อนรับนกกลับสู่รัง ก็หวังว่าผู้คนจะปล่อยนกกลับสู่ป่าเขา
เรื่อง พระแห่งรังนกโปรดไป่ไถหลัง ในสมัยโบราณ ณ สุขาวดีแดนพุทธเกษตร มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งพบว่า ลูกหลานในโลกก่อกรรมสร้างเวรไม่คิดกลับเนื้อกลับตัว ไม่สามารถกลับสู่สวรรค์ ก็มีบัญชาสั่งให้เทพสององค์ให้ลงมายังโลก ช่วยเตือนสติชาวโลก เทพทั้งสององค์กล่าวว่า “ข้าทั้งสองกลัวจะหลงกลิ่นไอของโลก กลัวจะกลับสวรรค์ไม่ได้” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าเธอหลงกลิ่นไอของโลก ฉันจะให้คนไปตามเจ้ากลับมา” ดังนั้น เทพทั้งสองก็ลงมาจุติในโลก เทพองค์หนึ่งไปจุติที่บ้านตระกูลไป่ ได้ชื่อว่า “ไป่เล้อเทียน” รับราชการมีตำแหน่งไถ่หลังส่วนเทพอีกองค์หนึ่งไปจุติที่บ้านตระกูลหม่า ได้ชื่อว่า “หม่าเทียนจั้ง” รับราชการตำแหน่งเป็นนักวิชาการที่หอสมุดอี้หลินหม่าเทียนจั้งผู้นี้หมั่นศึกษาธรรมะจากพระคัมภีร์อยู่เสมอ จนสามารถรู้ถึงอดีตกรรมได้ ในที่สุดก็ลาออกจากราชการเข้าไปในป่าใหญ่ถือบวชภายหลังสร้างสมบารมีได้เต็มที่แล้ว เมื่อตายก็สามารถกลับไปสู่สวรรค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เจ้าลงไปยังโลกมนุษย์นั้นได้โปรดมนุษย์มากี่มากน้อย” หม่าเทียนจั้ง ตอบว่า “เทพที่ไปจุติที่ตระกูลไป่ นามว่าไป่เล้อเทียน รับราชการเป็นไถ่หลังถูกโลกีย์ครอบงำ ไม่สามารถกลับสู่สวรรค์ได้” พระพุทธเจ้าตอบว่า “เจ้าไม่ได้โปรดมนุษย์แม้แต่คนเดียว แถมยังสูญเสียเพื่อนร่วมทางไปด้วย เจ้ากลับสู่สวรรค์คนเดียว เจ้ามีเหตุผลอะไรหรือ? เจ้าต้องลงไปโลกมนุษย์อีกครั้ง ไปโปรดเจ้าไป่เล้อเทียน เราจะรักษาตำแหน่งเอาไว้” หม่าเทียนจั้งคิดในใจว่า ไป่เล้อเทียนตอนนี้มีอายุใกล้แปดสิบแล้วถ้าหากเขากลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็คงไม่ทันได้โปรด ก็ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ มาถึงตำบลฉินวั้งลิ่น ที่สะพานน้ำเขียว เห็นข้างทางมีต้นสนแก่ๆต้นหนึ่ง ข้างบนมีรังนกอยู่รังหนึ่ง หม่าเทียนจั้งจึงลงไปจุติในไข่นก เกิดมาเป็นหน้าคนร่างนก ขนานนามว่า “พระแห่งรังนก” ทุกๆวันจะทำการเทศน์ธรรมโปรดคน อยู่มาวันหนึ่งไป่ไถ่หลังขึ่ม้าจะเข้าวังผ่านมาทางสะพาน ขณะกำลังจะข้ามสะพาน มองเห็นผู้คนกำลังฟังธรรมะอยู่ ไป่ไถ่หลังก็ใช้ให้คนไปดูว่าเขามุงดูอะไร ผู้คนตอบว่า บนต้นไม้นี้มีพระอาจารย์แห่งรังนก ทั้งวันจะเฝ้าสั่งสอนธรรมะโปรดสัตว์เมื่อได้ความก็กลับมารายงานให้ไป่ไถ่หลังทราบ ไป่ไถ่หลังฟังแล้วก็ไสม้าเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วถามอาจารย์ว่าท่านเทศน์ธรรมะอะไร? อาจารย์ตอบว่า “ท่านเดินถนนของท่าน เราเทศน์ธรรมะของเราพบกันก็ไม่ลงจากม้าต่างคนต่างมุ่งไปข้างหน้า” ไป่ไถ่หลังจึงลงจากหลังม้าแล้วถามว่า “อาจารย์ท่านถือกำเนิดอยู่ที่ใด กลางวันท่านจาริกแสวงหาอะไร กลางคืนพักอยู่ที่ใด” อาจารย์ตอบว่า “ฉันกำเนิดอยู่สวรรค์ชั้นอรูป อาศัยบนต้นสนเขียว ตอนกลางวันอยู่ที่สี่แยกคอยเทศน์โปรดคน กลางคืนอาศัยอยู่ในธรรมชาติอันว่างเปล่า” ไป่ไถ่หลังก็ถามต่อไปว่า “อะไรคือธรรมะแท้? อะไรเป็นญาติโยม? อะไรคือสวรรค์? อะไรคือที่นรก?”อาจารย์ตอบว่า “ฉันอาศัยพระคัมภีร์พุทธองค์เที่ยงแท้สรรพพุทธเจ้าคือญาติโยม พบคนดีคือสวรรค์ พบคนพาลคือนรก” ไป่ไถ่หลังถามต่อ “อะไรคือเต๋า” อาจารย์ตอบว่า ความชั่วทั้งหลายให้ละเว้น ความดีทั้งหลายให้ปฎิบัติสิ่งเหล่านี้คือเต๋า” ไป่ไถ่หลังตอบว่า “พูดง่ายๆแบบนี้เด็กสามขวบก็ตอบได้” อาจารย์เลยสวนกลับไปว่า “เด็กสามขวบตอบได้ ผู้ใหญ่แปดสิบปฏิบัติไม่ได้” ไป่ไถ่หลังพูดต่อไปว่า “ฉันเห็นอาจารย์ อาศัยอยู่บนต้นไม่แก่ๆ สูงแค่ห้าฟุตจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ “อาจารย์เลยตอบเป็นกลอนว่า
ข้าแสวง ความว่างเปล่า ใช่หมอกม่าน
ขอเตือนท่าน อย่าแพร่งพราย ความสับปรับ
ในทะเล มิใช่ถิ่น ที่ข้ากลับ
ที่สำหรับ สุขสงบ แดนนิพพาน
ข้าแสวง ความว่างเปล่า ใช่หมอกม่าน
ขอเตือนท่าน อย่าแพร่งพราย ความสับปรับ
ในทะเล มิใช่ถิ่น ที่ข้ากลับ
ที่สำหรับ สุขสงบ แดนนิพพาน
ร่างอาศัย ไม้แก่ สูงห้าฟุต
มั่นดั่งพุทธ ฝากเท้า นภาเด่น
ศศิธร ส่องแสง เคล้าลมเย็น
ไร้ทุกข์เข็ญ ไร้ขอบเขต ชั่วนิรันดร์
อาจารย์พูดว่า “ฉันเห็นว่า เธอมีอันตรายมากกว่าฉันมากยิ่งนัก” ไปเล้อเทียนตอบว่า “ตำแหน่งข้าคลุมเขาเจิ้นเจียนนี้ อยู่เหนือคนนับหมื่น มีอะไรน่ากลัวหรือ?” อาจารย์ตอบว่า “ใบไม้เป็นเชื้อของไฟ ลมหายใจไม่อาจจะหยุด เช่นนี้แล้วไม่อันตรายหรือ” อาจารย์เลยแต่งกลอนอีกบทหนึ่งว่า
เพื่อยศฐา ทุกวัน เฝ้าเจ้านาย
เช้าเย็นบ่าย เฝ้านาย เฝ้าเสือสิงห์
ดั่งผีสิง ค่อนคืน ยังเฝ้าอิง
บานเช้ายิ่ง สายหยุด ทุกข์ชรา
ไป่ไถ่หลัง พอได้ฟังกลอนบทนี้ พลันก็เกิดสติปัญญาขึ้น รู้แจ้งเห็นจริงอยากจะยกอาจารย์เป็นครู พลางกล่าวตอบว่า “ขอผลัดผ่อนเวลาสักระยะหนึ่งก่อน จะกลับมานมัสการอาจารย์แล้วจะออกบวช” อาจารย์ก็อนุญาตตาม แต่ไป่ไถ่หลังไปแล้วก็ยังถูกโลกีย์ครอบงำอยู่ไม่สามารถมานมัสการอาจารย์ได้ มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์รู้ว่า เขามีความผูกพันอยู่ลึกซึ้งมากเลยมาที่จวนของท่านไป่ด้วยตนเองแต่ได้สามารถพบได้เลยเขียนกลอนทิ้งไว้บนกำแพงว่า
ทั้งปืนผา หน้าไม้ ศัตราวุธ
ชีวิตทุกข์ สี่สิบปี ยศฟูเฟื่อง
มีทั้งถูก มีทั้งถูก ยังเฝ้าอิง
บานเช้ายิ่ง สายหยุด หมื่นพันเรื่อง
ทุกๆเรื่อง ผ่านมือ ท่านตัดสิน
ทรัพย์สิน เงินทอง ไหลสู่ท่าน
อิ่มหนึ่งบ้าน หมื่นบ้านทุกข์ บาปทวี
ไกลสุดแดน นามกระเดื่อง ชั่วชาตินี้
มิอาจหนี เคืองแค้น เป็นร้อยชาติ
อยู่มาวันหนึ่ง ไป่ไถ่หลังออกมาห เห็นกลอนบนกำแพงพลันก็รู้แจ้งรีบไปพบภรรยากล่าวว่า “ฉันแม้จะมีลาภยศสูงส่ง แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงผิดปกติเมื่อถึงเมืองนรกแล้ว ก็คงรับเวรกรรมที่ก่อไว้มากทีเดียว ฉันตอนนี้ยินยอมที่จะออกไปถือบวช จะได้ลดบาปเวรไปได้บ้าง” ภรรยาตอบว่า “ท่านคะท่านคิดผิดแล้ว ตลอดเวลามานี้ ทั้งครอบครัวได้อาศัยบุญบารมีของท่านผู้เดียว อย่าว่าแต่บาปเวรแปดร้อยชั่งเลยแม้เป็นพันเป็นหมื่นก็ตาม พวกนางทั้งหลายจะแบ่งแบกหามแทนท่านให้หมด ขอให้ท่านอย่าเป็นห่วงไปเลยไปฝึกธรรมะจะเกิดประโยชน์อะไร?” ไป่ไถ่หลังจึงพูดกับภรรยาว่า “ถ้างั้นคืนนี้ข้าจะจัดเลี้ยงอาหารให้เต็มที่ ต้องจุดตะเกียงตกแต่งให้แต่ไม่สามารถพบได้เลยเขียนกลอนทิ้งไว้บนกำแพงว่า สวยงาม พวกเราทั้งบ้านจะได้มีความชื่นอุรากัน” ขณะที่รับประทานอาหาร ภายหลังท่านไป่ไถ่หลังเป็นผู้เป่าเทียนดับ ไม่มีใครกล้ารับว่าทำดับ ไป่ไถ่หลังจึงถามภรรยาคนที่หนึ่งว่า “ตะเกียงเจ้าเป่าดังใช่ไหม?” ภรรยาใหญ่ตอบว่า “บ่าวไม่ทราบ” เลยถามภรรยารองว่า “เจ้าเป่าตะเกียงดับใช่ไหม?” ภรรยารองก็ตอบว่า “บ่าวก็ไม่ทราบ” เลยถามภรรยาสามว่า “เจ้าเป็นคนเป่าดับใช่ไหม?” ภรรยาสามตอบว่า “หนูก็ไม่ทราบค่ะ” ภายหลังก็ไปถามพวกลูกๆ “ลูกเป่าตะเกียงดับใช่ไหม?” พวกลูกๆก็ตอบว่า “อันที่จริงบิดาท่านเป็นผู้เป่าดับ ยังมาถามหาคนอื่นเป่าอีก” ไป่ไถ่หลังจึงพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าได้ดูใจลูกบ้านออกแล้ว ฉันเพียงเป่าตะเกียงเล็กๆ ดับไปดวงหนึ่งเท่านั้น ทั้งบ้านไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็ไม่มีใครกล้าออกรับแทน ถ้าก่อกรรมทำชั่วภายหลังไปถึงเมืองนรกแล้ว ยมบาลไม่เคยลำเอียง อยู่มนุษย์โลกถ้าสร้างบุญบารมีไว้ เมื่อไปถึงเมืองนรกก็มีคนเคารพนับถือ พาไปสู่สุขาวดีแดนพุทธเกษตร ฉันก่อกรรมเอาไว้เมื่อถึงเมืองนรห นรกทั้ง 18 ขุม บาปกรรมแปดร้อยชั่ง พวกเจ้ายอมรับแทนหรอกหรือ?” เมื่อปลงตกดังนี้แล้ว ฉันก็จะออกบวชล่ะแล้วแต่งเป็นกลอนว่า
ทุกคนสุข สราญ อยู่ร่วมเคียง
ดับตะเกียง เพียงดวงหนึ่ง ลองใจแฟน
เล็กใหญ่นิด มีใคร กล้ารับแทน
ใครใคร่แบก เวรกรรม ที่ข้าก่อ
ไป่ไถ่หลังพูดต่อไปว่า “ถ้าหากตัวเองมีเจ็บไข้ เจ็บปวดทรมานก็ต้องทนเอาเอง ไม่มีใครสามารถจะเจ็บปวดแทนได้” วันต่อมาไป่ไถ่หลังก็เดินทางไปยังตำบลฉินวั้งลิน ที่สะพานน้ำเขียวไมนมัสการอาจารย์แห่งรังนก ฝึกฝนเรียนธรรมะ
กล่าวฝ่ายภรรยาทั้งสี่ของท่านไปเห็นท่านได้จากไปฝึกธรรมะนึกถึงเยื่อใจของสามี-ภรรยาพลางน้ำตาไหล ใจทุกข์ทรมานคนรับใช้ก็เลยรับอาสาไปตามท่านไป่ให้ เมื่อคนใช้ไปถึงท่านก็เข้ารายงานว่า “บ่าวได้รับคำบัญชาจากคุณหญิง ให้มาอ้อนวอนท่านกลับจวน เพื่อสามี-ภรรยาจะได้อยู่ร่วมกัน”ไป่ไถ่หลังตอบว่าฉันอยู่นี่คอยเฝ้าท่านอาจารย์ฝึกฝนเรียนธรรมะ วันๆ มีแต่สุขสบายเหมือนเทวดา ไม่ทุกข์ไม่โศก สบายยิ่งนัก คนรับใช้กล่าวต่อไปว่า “เยื่อใยระหว่างสามีภรรยานั้นล้ำลึก เจ้านายจะตัดทิ้งได้ลงคอหรือไม่คิดถึงลาภยศที่สูงส่งหรอกหรือ ขอให้เจ้านายกลับจวนเถอะ สามี-ภรรยาจะได้พบหน้า” ไป่ไถ่หลังตอบว่า “สามีภรรยาเหมือนนกในป่าไม้เดียวกัน พอถึงเวลาต่างตัวก็ต่างบิน ลาภยศนั้นมีประโยชน์อันใด เผลอแผล็บเดียวก็หมดสิ้นแล้ว บาปเวรกรรมนั้นเล่าใครจะรับฉันแจ้งประจักษ์ในโลกดี จะไม่กลับจวน ฉันจะเขียนหนังสือฝากไปให้คุณหญิง” เมื่อผู้รับใช้กลับถึงจวน แจ้งแรื่องให้คุณหญิงทราบพร้อมหนังสือ หนังสือในจดหมายเขียนว่า
เป็นขุนนางคอยพะวงอยู่ทุกวัน
เสื้อยศนั้นเก็บพับไว้เลิกยื้อแย่ง
ความบ้านความเมืองข้าปรุงแต่ง
ใครใคร่แบ่งกรรมเวรข้าในนรก
เปลี่ยนขุนนางออกบวชเป็นภิกษุ
ลอกปุถุชนเปลี่ยนกายทิพย์ไม่วิตก
ฝากคำมิตรศรีภรรยาจิตไม่งก
ทุกสิ่งยกให้เลิกถามข่าวคราวกัน
คุณหญิงใหญ่พูดขึ้นว่า “ท่านตัดสินใจละโลกแน่แล้ว พวกเราพี่น้องก็จะสละโลกออกบวชบ้าง” คุณหญิงทั้งสามกล่าวพร้อมกันว่า “พร้อมที่จะออกบวช” ดังนั้นคุณหญิงใหญ่จึงเขียนจดหมายให้ผู้รับใช้นำไปให้ท่านไป่ไถ่หลังกล่าวว่า “คุณหญิงทั้งสี่พร้อมใจออกบวช มีจดหมายถึงท่านครับ” ไป่ไถ่หลังพอกางหนังสือออกพบว่า
พอรับหนังสือเปิดออกมอง
น้ำตานองอาบหน้าสุดอดกลั้น
หญิงก็เด็ดมิคิดพบกันอีก
ภรรยาหลีกสามีตัดเยื่อใย
ท่านบรรลุตัดใจยึดถือพุทธ
น้องนงนุชก็พร้อมบวชชีไป
ขอเพียงพบสุขาวดีแดนไกล
เหนือปทุมไพรกราบแม่กวนอิม
เมื่อท่านไป่ไถ่หลังอ่านจบก็พูดว่า “หญิงดีพบได้ยากที่มีจิตศรัทธา รอให้ฉันกลับถึงจวนก่อน จะได้ปลอบเตือนทั้งบ้านออกถือบวช” พลางบอกคนรับใช้ว่า “เจ้ากลับไปก่อนฉันจะตามหลังไป” เมื่อคนรับใช้กลับมาถึงจวนเข้ารายงานต่อบรรดาคุณหญิงบรรดาคุณหญิงต่างดีอกดีใจแต่งตัวคอยออกต้อนรับ พอไป่ไถ่หลังมาถึงจึงพูดว่า
กิ่งทอง ก้านหยก เหมือนมีดคม
ไข่มุกกลม เหนือหัว ดั่งกระบี่
แป้งหอม น้ำปรุง คนหลอกผี
น้ำตามี ดุจน้ำกรด ลวกผู้คน
คุณหญิงใหญ่พูดขึ้นว่า “ท่านถึงแม้จะละทิ้งพวกบ่าวได้ แต่ไม่คิดถึงตึกสูงใหญ่ เสื้อผ้าแพรพรรณบ้างหรอกหรือ?” ไป่ไถ่หลังกล่าวว่า
ตึกสูงใหญ่ ไม่นาน ก็รกร้าง
อะไรบ้าง สมบัติหรือ ก็เปลี่ยนไป
ตึกร้อยห้อง จะมี ประโยชน์ใด
มิอาจไป่ พ้นต้อง สูญสลาย
คุณหญิงใหญ่ถามว่า
“ท่านถึงแม้จะละทิ้งตีกรามบ้านช่องได้ แต่เงินทองพันหีบนั้นเล่า ใจท่านตัดทิ้งได้หรือ?” ไป่ไถ่หลังตอบว่า
ทองคำหรือ ครึ่งหนึ่ง ใช่เป็นทอง
ร่วมเคียงน้อง ใช่เครือญาติ อยู่เคียงกาย
สองแขนนั้น ปัดทิ้ง ทางเกิดตาย
ที่สุดท้าย เงินทอง ตกผู้อื่น
ไป่ไถ่หลังยังกล่าวต่อไปว่า
ยี่สิบปี เคียงนาง ไร้ทุกข์ยาก
จำจากพราก แตกสลาย นับแต่นี้
มีดตัดกาย หักใจ หมดใยดี
เราต่างพลี ชีวิต ฝึกบำเพ็ญ
คุณหญิงใหญ่จึงกล่าวว่า “ท่านมีจิตตั้งมั่นๆ ที่จะถือศีลภาวนาเป็นชายที่แปลกแท้ๆ ฉันเองก็ออกถือศีลตาม” ไป่ไถ่หลังพูดว่า “เธอเป็นหญิง จะรู้จัการถือศีลได้อย่างไร?” คุณหญิงใหญ่กล่าวว่า “วันนี้ฉันได้เห็นกระจ่างแจ้งแล้ว เหมือนหมากกระดานหนึ่ง แม้เดินผิดสักตัวหนึ่งก็แพ้แล้ว” เหมือนเช่น “ขุนนางในวังฝันตีสาม กษัตริย์หมื่นปีดังเช่นหมากกระดานหนึ่ง” แล้วต่อเป็นกลอนว่า
มงกุฎเพชรบัดนี้ละทิ้งนา
สามีภรรยาแม้รักสลัดหลุด
เกิดเป็นหญิงเพราะบุญน้อยบาปไม่หยุด
วอนพระฉุดตั้งจิตมั่นฝึกพุทธะ
ท่านบำเพ็ญฉันบำเพ็ญเรียนธรรมะ
ขอคุณพระช่วยอุดหนุนสู่มานะ
ศาสนาสามองค์ล้วนบุรุษนะ
โพธิสัตว์กวนอิมนั้นเป็นหญิง
ไป่ไถ่หลังพูดว่า “คุณหญิงใหญ่ตั้งใจจะถือบวชแล้ว คุณหญิงรองล่ะจะว่าอย่างไร? คุณหญิงรองตอบว่า “บ่าวก็จะถือศีลบวชเช่นเดียวกัน” ไป่ไถ่หลังจึงพูดว่า “เธอเข้าใจออกบวชว่าอย่างไร?” คุณหญิงรองตอบว่า “บ่าวจำได้ว่าสมัยก่อนท่านพ้งกือสือเอาเงินทองของมีค่าไปจมลงในแม่น้ำ ลูกสาวท่านพ้งกือสือย่อมอยู่อย่างคนจนปลูกแตงเลี้ยงชีพต่อมาก็สามารถบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จวันนี้บ่าวก็จะเจริญรอยตาม พลางกล่าวเป็นกลอนว่า
เสื้อไข่มุกงดงามสลัดทิ้ง
หมอนมุ้งสิ่งไฉไลเลิกเด็ดเดี่ยว
จงมุ่งมั่นเรียนอย่างธิดาพ้งเจียว
ฝึกจิตเปียวแปรเปลี่ยนสุขสงบ
ท่านก็ฝึกบ่าวก็ฝึกมุ่งค้นพบ
แสวงพบทางสู่จิตสยบ
สิบแปดอรหันต์ชายนักรบ
ฉันเคารพพระบุญชูศรีโพธิสัตว์
ไป่ไถ่หลังจึงกล่าวว่า “คุณหญิงก็พร้อมจะฝึกฝน แล้วคุณหญิงสามจะมีความเห็นอย่างไร?” คุณหญิงสามตอบว่า “บ่าวก็ใคร่ขอฝึกบำเพ็ญเพียร” ไป่ไถ่หลังจึงถามว่า “แล้วเจ้ารู้การฝึกการบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร?” คุณหญิงสามตอบว่า “บ่าวก็ใคร่ขอฝึกบำเพ็ญเพียร” ไป่ไภ่หลังจึงถามว่า “แล้วเจ้ารู้การฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร?” คุณหญิงสามตอบว่า “สมัยก่อนกษัตริย์เหลียงอู๋ยอมสละสมบัติ ไม่เป็นกษัตริย์ไปออกบวชจนสำเร็จธรรมะ ราชินีถึงทำลายการถือศีลกินเจ เลยไปเกิดเป็นงูเหลือม กษัตริย์เหลียงอู๋นึกถึงความเป็นสามีภรรยา จึงไปวิงวอนอรหันต์จี้กงไปช่วยนางให้รู้สำนึกผิด ถึงได้พ้นทุกข์ในภายหลัง คุณหญิงสามกล่าวเป็นกลอนว่า
สามีตัดเยื่อใยกันวันนี้
ณ บัดนี้ถือมังสาฝึกธรรมอยู่
วันนี้บ่าวจะหัดอย่างเหลียงอู๋
จิตใจสู้ฝึกฝนธรรมแจ้งปัญญา
ท่านก็ฝึกบ่าวก็ฝึกสมกันดี
สุขาวดีแดนพุทธต่างเฝ้าหา
พุทธเจ้าสามพันองค์ล้วนบุรุษนา
โผเซียนนารีโพธิสัตว์ก็มีเอย
ไป่ไถ่หลังพูดว่า “คุณหญิงสามก็จะถือศีล คุณหญิงสี่ว่าอย่างไร? คงถือศีลไม่ไหวเพราะยังสาวแส้อยู่” คุณหญิงสี่จึงกล่าวว่า “บ่าวถึงแม้จะเป็นหญิงอายุน้อยก็เรียนธรรมะได้” ไป่ไถ่หลังพูดว่า “กลัวว่าครึ่งทางจะเลิกลา” คุณหญิงสี่จึงพูดว่า “บ่าวจำได้ว่าองค์หญิงเมี่ยวเซียนไม่ยอมอภิเษกสมรส ภายหลังสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมชื่อเสียงขจรขจาย บ่าวก็จะฝึกตามเจ้าแม่กวนอิม” แล้วกล่าวว่า
แรกรุ่นวัยสิบแปดจิตคงมั่น
เพื่อมุ่งมั่นละเกิดตายตัดหมุนเวียน
บ่าวจะเรียนแบบอย่างเมี่ยวเซียน
แม้นตัดเศียรผจญเสือก็ไม่หวั่น
ท่านก็ฝึกบ่าวก็ฝึกใจเบิกบาน
ทางนิพพานลำบากก็ไม่พรั่น
แปดถ้ำเทวดาชายสร้างกัน
พระแม่เจ้าสุขาวดีหญิงบำเพ็ญ
ไป่ไถ่หลังจึงกล่าวว่า “ทั้งบ้านใหญ่เล็กล้วนถือศีล ภายภาคหน้าก็ตามอยู่แดนสุขาวดี ไม่เสียแรงที่ข้านั้นถือศีล” แล้วกล่าวว่า
โอ้โพธิสัตว์ช่วยเหลือข้าขอบคุณ
ที่เกื้อหนุนคุณหญิงทั้งสี่นุช
รู้สำนึกพบกันแดนมนุษย์
ทะเบียนพุทธเจ้าทั่วโลกรู้
ทั้งครอบครัวใหญ่เล็กต้องเพียรสู้
คุณธรรมชูเชิดหญิงปลดคู่
พ้นทะเลทุกข์ขึ้นฝั่งคู้
ชาติก่อนรู้บำเพ็ญชาตินี้ต่อ
เมื่อไป่ไถ่หลังกล่าวกลอนจบลง ก็ให้คนทั้งบ้านไปหาอาจารย์แห่งรังนก พอออกมานอกประตูใหญ่ก็เห็นหนังสือบนกำแพงเขียนไว้ว่า
ความสงสาร เกาะกุมอยู่ เต็มอุรา
อารมณ์พา สกัดกั้น ฝุ่นกิเลส
รู้สำนึก กลับใจตั้ง จิตวิเศษ
ธรรมเวทย์ ลอกเรียนปราชญ์ ปรัชญา
ไป่ไถ่หลังเลยเขียนต่อว่า
สายสะพาย เสื้อยศ ใจไม่พิศ
กระท่อมนิด ผ้าหยาบ ธรรมชาตินา
ใครถามข้า ถึงหนทาง สู่มรรคา
ยอดภูผา หมู่เมฆินทร์ จันทร์ฝากฟ้า
ไป่ไถ่หลังเดินทางมาถึงครึ่งทาง ก็พบเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อลีกวนเฉามีคนหนึ่งในบ้านมาจากทะเล พบเห็นวิมานหลังหนึ่ง บอกว่าเป็นบ้านของไป่เล้อเทียน วันนี้ก็บังเอิญพบที่นี่เลยเขียนกลอนมอบให้ไป่ไถ่หลัง กลอนว่า
เร็ว ๆ นี้ มีคนมา แต่ทะเล
ก่อนโพล้เพล้ มีคนเห็น วังปราสาท
ในปราสาท เห็นวิมาน ใสสะอาด
ฟ้าประทาน ไป่เล้อเทียน ผู้เพียรธรรม
ไป่เล้อเทียนพออ่านจบก็ยิ้มแล้วเขียนตอบไปว่า
ข้าแสวง ความว่างเปล่า ใช่หมอกม่าน
ขอเตือนท่าน อย่าแพร่งพราย ความสับปรับ
ในทะเล มิใช่ถิ่น ที่ข้ากลับ
ที่สำหรับ สุขสงบ แดนนิพพาน
เมื่อไป่ไถ่หลังกล่าวจบ ก็เดินทางพร้อมครอบครัวไปนมัสการอาจารย์แห่งรังนก ฝึกฝนธรรมะบำเพ็ญเพียรจนกระทั่งบรรลุธรรม
อรหันต์จี้กง :วันนี้ขอบคุณอาจารย์แห่งรังนก ที่มีกลอุบายอันลึกซึ้ง ที่สามารถโปรดไป่ไถ่หลังจนสำเร็จ ชาวโลกเมื่อได้อ่านหนังสือนี้คงทะลุแจ้งในปัญญา หยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนักเถอะ
หยางเซิง :วันนี้ได้ฟังเรื่องราวของอาจารย์แห่งรังนกแล้วหูตาสว่างขึ้นเป็นกอง ขอขอบคุณ
อาจารย์ :ไม่ต้องเกรงใจ ขอส่งท่าน
หยางเซิง :ผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์กลับสำนักเถิด
อรหันต์จี้กง : ถึงสำนัก แล้ว ลงจากปทุมทิพย์ วิญญาณกลับเข้าร่าง